ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 22 สอนบทเรียนให้คุณชาย
ไฟโทสะลุกโชนขึ้นในใจของสวี่ชีอัน ชั่วขณะที่กีบเท้าม้ายกขึ้น เขาก็หยิบเหรียญทองแดงพวงนั้นออกมาจากอกเสื้อ แล้วขว้างออกไปเต็มแรง ขณะเดียวกัน อิฐเขียวใต้ฝ่าเท้าก็แตกร้าว เงาร่างของเขาพุ่งออกไปราวกับสายฟ้า
เหรียญทองแดงเจ็ดสิบสองเหรียญส่งเสียงหวีดหวิวกลางอากาศ สาดกระจายไปที่ศีรษะของคุณชายในชุดผ้าทอ
คุณชายผู้นั้นไม่ได้ตอบสนองต่อการโจมตีที่พุ่งเข้ามาหา สีหน้าสนุกสนานราวกับเหยียบย่ำมดปลวกยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา
กลับเป็นเด็กรับใช้คนหนึ่งที่ตอบสนองแทน ใบหน้าของเขาเปลี่ยนสียกใหญ่ โถมตัวพุ่งไปหาคุณชายแล้วผลักเขาตกลงจากหลังม้า ทั้งสองล้มลงมาเกลือกกลิ้งด้วยสภาพดูไม่ได้
‘ฟึ่บๆๆ…’ เหรียญทองแดงส่วนหนึ่งพุ่งไปยังความว่างเปล่า อีกส่วนฝังเข้าไปที่หลังม้าจนเลือดสาดกระเซ็นมาโดนใบหน้าของสวี่หลิงอิน
‘ตุบ!’
ขณะเดียวกัน สวี่ชีอันก็มาถึง เขาเอนตัวใช้ไหล่กระแทกม้าจนกระเด็น
ม้าพันธุ์ดีสูงใหญ่ถูกกระแทกไปไกลหลายเมตรพร้อมริ้วสีแดงบาดตาเส้นหนึ่งสาดไปบนถนนปูหินสีเขียว
พวกชาวบ้านกระจัดกระจายอย่างรีบร้อน ต่างพากันไปหลบอยู่ที่ไกลๆ เพื่อชมดูเรื่องตื่นเต้น
สวี่ชีอันกอดเสี่ยวโต้วติงเอาไว้ในอกแน่นทันที สังเกตสีหน้าของนางไปพลางเอ่ยปลอบไปพลาง “ไม่ต้องกลัวๆ พี่ใหญ่อยู่นี่แล้ว”
เสี่ยวโต้วติงเบะปาก ในที่สุดเมื่อนางคลายอาการตกใจจึงร้องไห้จ้าเสียงดังลั่น
พวกเด็กรับใช้ที่ล้อมรอบสวี่หลิงเยวี่ยไม่ได้สนใจนางอีก แต่พุ่งไปยังคุณชายชุดผ้าทอแทน
สวี่ชีอันถือโอกาสนี้ส่งเด็กสาวไปให้สวี่หลิงเยวี่ยที่ใบหน้างดงามซีดเผือดพร้อมเอ่ยเสียงเบา “พานางไปที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ ตีกลองร้องทุกข์ บอกว่าข้าเป็นคนบอกให้เจ้าไป แล้วให้หัวหน้ามือปราบหวังส่งคนไปเชิญอารองที่บ้านของนายกองจูแห่งกองดาบ อยู่ที่ถนนหวงหลิน ไปเร็ว!”
สวี่หลิงเยวี่ยมองสบตาสวี่ชีอันอย่างล้ำลึกแล้วอุ้มเสี่ยวโต้วติงวิ่งหนีไป
“เจ้าบังอาจฆ่าม้าของข้า” คุณชายชุดผ้าทอแสยะยิ้มและสะบัดตัวหลุดจากคนรับใช้ เขาโบกมือสั่งให้คนรับใช้ล้อมสวี่ชีอันไว้
ข้าอยากจะฆ่าเจ้ามากกว่า…
นั่นคือม้าย่ำหิมะมังกรดำที่หนึ่งพันทองก็ยังซื้อไม่ได้ ในกองทัพมันเป็นม้าที่มีเพียงระดับรองนายพลขึ้นไปเท่านั้นถึงจะขี่ได้
อารองสวี่มาจากกองทัพ สวี่ชีอันจึงได้เห็นได้ฟังบ่อยๆ แค่ชำเลืองมองก็ระบุคุณภาพของม้าตัวนี้ได้แล้ว ในยุคปัจจุบัน มันเทียบเท่ากับรถแลมโบร์กินีคันหนึ่งเลย
สามารถขับรถแลมโบร์กินีได้ก็ต้องเป็นทายาทบุคคลระดับสูง ทั้งยังต้องเป็นทายาทขุนนาง เพราะยุคนี้ทายาทเศรษฐีไม่มีค่าไม่มีสถานะ
นอกจากม้าย่ำหิมะมังกรดำแล้ว ยังมีชุดปักลวดลายสีฟ้าครามเหลือบม่วงอันวิจิตร ที่เอวมีเข็มขัดหยกขาวแกะสลักลายมังกรไร้เขา ห้อยถุงผ้าและเครื่องประดับหยกเสียงกรุ๊งกริ๊งเต็มไปหมด…รายละเอียดเหล่านี้ล้วนแสดงสถานะของคุณชายผู้สูงศักดิ์ออกมา
ทายาทบุคคลระดับสูง
“ข้าน้อยสวี่ชีอัน หลานชายของนายกองสวี่ผิงจื้อแห่งกองดาบ สองคนเมื่อครู่คือน้องสาวของข้า ไม่ทราบว่าทำสิ่งใดให้คุณชายขุ่นเคืองหรือ” สวี่ชีอันประสานมือ สะกดกลั้นความโกรธแล้วพูดจาเป็นมิตร
“เพื่อช่วยน้องสาว ข้าจึงได้สังหารม้าตัวโปรดของคุณชาย จะต้องชดเชยให้อย่างแน่นอนขอรับ”
ต้นเหตุของความขัดแย้งนี้ สวี่ชีอันใช้นิ้วเท้าคิดก็เข้าใจได้ว่าจะต้องเป็นเพราะคุณชายคนนี้เห็นสวี่หลิงเยวี่ยงดงามโดดเด่นจึงมีใจคิดเกี้ยวพา ถึงขั้นคิดจะลักพาตัวไปด้วยซ้ำ
อยู่ในที่ว่าการปกครองมาหนึ่งเดือน สวี่ชีอันจึงได้ยินเรื่องนิสัยและพฤติกรรมของคุณชายพวกนี้อยู่บ่อยๆ ทั้งยโสโอหังวางโตไม่เกรงกลัวผู้ใด
เรื่องฉุดคร่าผู้หญิงยิ่งไม่ต้องพูดถึง เรื่องฆ่าคนเป็นผักปลาก็เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
จะจัดการเก็บกวาดก็ทำได้ง่ายมาก เพียงแค่ข่มขู่แล้วหลอกล่อด้วยผลประโยชน์เท่านั้น ไม่ยินยอมหรือ ไม่เป็นไร เพียงแต่ทั้งครอบครัวก็อย่าคิดจะมีชีวิตอยู่ต่อเลย
ยิ่งผู้อาวุโสในบ้านมีตำแหน่งสูงก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ คิดว่าราชสำนักจะปลดขุนนางระดับสูงออกเพราะความเป็นความตายของประชาชนไม่กี่คนหรืออย่างไร
ในสายตาของราชการ แต่เดิมการข่มเหงรังแกชาวบ้านก็ไม่ใช่การก่อเรื่องอยู่แล้ว
ผู้ที่สามารถเอาชนะทายาทขุนนางได้ก็มีเพียงทายาทขุนนางด้วยกันเท่านั้น
สวี่ชีอันก็พอจะนับว่าเป็นทายาทขุนนาง สวี่ผิงจื้อเป็นขุนนางระดับเจ็ดชุดเขียว ดีร้ายก็เป็นขุนนางคนหนึ่ง ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดา
ทายาทขุนนางรังแกประชาชนตามอำเภอใจ แต่จะพะว้าพะวังกับผู้ที่กินเงินเดือนราชสำนักแบบเดียวกัน
เพราะสายน้ำในเมืองจิงจ้าวนั้นล้ำลึก!
พอคุณชายได้ฟังแล้วก็ชะงักไป ก่อนจะเอ่ยถาม “สวี่ผิงจื้อ ที่ทำเงินภาษีหายน่ะหรือ”
“ขอรับ!” สวี่ชีอันถอนหายใจโล่งอก
สีหน้าของคุณชายเหน็ดหน่าย เขาเอ่ยด้วยความเย็นชา “ทำให้มันพิการ แต่อย่าให้ถึงตาย”
โรคจิตหรือเปล่าเนี่ย…สวี่ชีอันเกือบจะพ่นคำหยาบออกไปแล้ว
พวกคนรับใช้ล้วนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ฝีมือไม่อ่อนด้อย แต่ละคนดึงกริชออกมาจากกระเป๋า
ในเมืองหลวง หากไม่มีตำแหน่งราชการห้ามพกดาบ หากไม่สวมเครื่องแบบราชการห้ามพกดาบ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะถูกโบยแปดสิบครั้ง ปรับหนึ่งร้อยตำลึง
ถ้ามารวมกลุ่มกวัดแกว่งดาบจะถูกประหารทันที
แต่กริชไม่อยู่ในกฎข้อนี้ คนกลุ่มนี้นับว่าอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายแล้ว
คนรับใช้ทั้งห้าไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเคยเรียนรู้ทักษะการต่อสู้แบบประสาน จึงทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น
คนรับใช้สองคนร่วมมือกันโจมตี พวกเขาแทงกริชออกมาพร้อมกัน สวี่ชีอันยกมือจับข้อมือของคนทั้งสองไว้ กำลังจะโต้กลับ แต่ทันใดนั้นพลันเห็นอีกสองคนพุ่งมาจากทางซ้ายขวา คนรับใช้ที่ช่วยเหลือคุณชายคนนั้นก็กระโจนขึ้นฟ้า กระแทกเข่าลงมาอย่างดุดัน
สวี่ชีอันจำต้องเก็บมือกลับ ยกมือขึ้นกันหน้าอก
‘ตุบ!’
กระดูกสะบ้าแข็งๆ กระแทกเข้าที่แขน เจ็บจนร้อนผ่าว
คนรับใช้ที่เหลืออีกสองคนก็แทงมีดมาจากด้านข้าง กริชของคนหนึ่งพลาดโดนอากาศ ส่วนอีกคนฟันลงมาโดนเอวของสวี่ชีอันจนเลือดไหล
“ตัดเส้นเอ็นแขนขาของมัน ทำให้มันพิการ” คุณชายชุดผ้าทอเอ่ยเสียงชั่วร้าย
สวี่ชีอันชำเลืองมองเขา ในสมองวิเคราะห์สถานการณ์เงียบๆ
พวกนี้ล้วนอยู่ระดับหลอมจิต แต่ไม่ใช่ขั้นสูงสุด หากสู้กันตัวต่อตัวข้าสามารถตีจนสมองสุนัขของใครคนหนึ่งหลุดออกมาได้ แต่พวกเขากลับเคยเรียนเคล็ดวิชาโจมตีประสาน…
กริชฟันลงมาอีกครั้ง สวี่ชีอันใช้ศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวที่เคยเรียนในชาติก่อน ทำทีเป็นค่อยๆ หมดแรง
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหลอมจิตระดับสูงสุดมีกำลังไร้ขอบเขต ปกติไม่เสียพลังกันง่ายๆ หรอก แต่เขาไม่อาจให้คนอื่นรู้รายละเอียดได้ ไม่อย่างนั้นก็หมดโอกาสแล้ว
พอเห็นว่านานแล้วคนรับใช้ก็ยังจับตัวสวี่ชีอันไม่ได้ คุณชายชุดผ้าทอขมวดคิ้วมุ่น เขายืนพูดจาเยาะเย้ยถากถางอยู่ไกลๆ “เจ้าคนแซ่สวี่ เจ้าคุกเข่าคำนับ ตะโกนเรียกท่านปู่สิ ข้าไว้ชีวิตเจ้าได้นะ”
สวี่ชีอันตอบกลับเสียงดัง “ท่านปู่ รสชาติของแม่ท่านไม่เลวเลยนะ”
พอยั่วโทสะสวี่ชีอันไม่ได้แต่ตัวเองกลับถูกยั่วยุแทน คุณชายชุดผ้าทอจึงเอ่ยเสียงดังลั่น “ฆ่ามัน”
‘ตุบ!’
หลังจากแลกหมัดกับคนรับใช้ที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว สวี่ชีอันก็ทำทีเป็นสู้ไม่ได้ เดินโซเซถอยหลัง
คนรับใช้อีกสี่คนมองเห็นโอกาสจึงเข้ามาล้อมไว้
ตอนนี้เอง อิฐเขียวใต้เท้าของสวี่ชีอันก็แตกออก กล้ามเนื้อที่น่องขาของเขาทำให้ขากางเกงขยายใหญ่ขึ้น เขาพุ่งไปราวกับลูกศร กระแทกจนคนรับใช้ทางด้านซ้ายกระอักเลือดออกมา กระดูกหน้าอกแตกหัก
พวกคนรับใช้นึกไม่ถึงว่าเขาจะเก็บซ่อนพลังเอาไว้ ไม่ทันตั้งตัวก็ปล่อยให้เขาหลุดออกจากวงล้อมไปแล้ว
สวี่ชีอันไม่ได้หนี เขาพุ่งตรงไปยังคุณชายชุดผ้าทอ ขณะที่อีกฝ่ายมีสีหน้าหวาดผวา เขาโอบรอบคอของคุณชายแล้วต่อยลงไปที่ท้องน้อยหนักๆ
คุณชายชุดผ้าทอตัวงอเป็นกุ้ง อ้วกพุ่งออกมาจากปากเขา
สวี่ชีอันต่อยลงไปอีกหลายหมัดโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยน ต่อยจนคุณชายชุดผ้าทอล้มลงกับพื้นพลางกอดท้องเอาไว้
ไฟโทสะในใจค่อยๆ สลายไป เขาไม่ได้ทำรุนแรงต่อ แต่เงยหน้าตะโกนใส่คนรับใช้ที่จะเข้ามาช่วย “อยู่กับที่ ห้ามขยับ มิเช่นนั้นข้าจะฆ่าเขา”
คนรับใช้จะขว้างหนูก็กลัวกระทบสิ่งอื่น[1] สุดท้ายก็ไม่ได้ขยับ
“ดี ดีมากๆ…” คุณชายชุดผ้าทองเงยหน้าขึ้น สีหน้าอาฆาตแค้น “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นผู้ใด”
‘ตุบ!’
สวี่ชีอันเหยียบหน้าเขาลงบนกองอ้วก ฝ่าเท้าลงแรงอย่างเงียบๆ แต่เจ็บจนคุณชายชุดผ้าทอกรีดร้องราวกับถูกกระชากหัวใจออกมา
“เช่นนั้นข้าจะสอนบทเรียนอย่างหนึ่งให้คุณชาย” สีหน้าของสวี่ชีอันอึมครึม “คนธรรมดาก็โกรธเป็น และเมื่อคนธรรมดาโกรธขึ้นมา เลือดก็จะสาดกระเซ็นไปทั่ว”
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอยู่พักหนึ่ง กลุ่มมือปราบสวมเครื่องแบบสีนิลติดอาวุธก็พาเจ้าหน้าที่สิบกว่าคนวิ่งมา
ผู้ที่นำหน้าก็คือหัวหน้ามือปราบหวัง
น้องเล็กถูกคนทุบตี เดิมทีหัวหน้ามือปราบหวังก็โกรธมากอยู่แล้ว พอเห็นชุดผ้าทอของคุณชาย สีหน้าของเขาก็แข็งกระด้าง ประกายตาส่องวาบ ก่อนกลับมาโมโหอีกครั้ง
“ผู้ใดอาจหาญนัก กล้ามาวิวาทกันบนท้องถนนในเขตปกครองของอำเภอฉางเล่อ”
เมื่อเห็นเหล่าสหายร่วมงานดึงอาวุธออกมาล้อมพวกคนรับใช้ไว้ สวี่ชีอันจึงปล่อยตัวคุณชายชุดผ้าทอ
คุณชายชุดผ้าทอชี้มือด้วยความโกรธเกรี้ยว “จับมันให้ข้า ข้าจะหั่นมันเป็นชิ้นๆ”
หัวหน้ามือปราบหวังทำเป็นไม่ได้ยิน พูดไปด่าไป “พวกสารเลว เอาตัวมันไปทั้งหมด”
เขาไม่สนใจว่าคุณชายชุดผ้าทอจะแสดงสถานะอย่างไร เขายังคงมีท่าทางหยาบๆ ประมาณว่า ‘ตัวข้าไร้อารยะ รู้จักเพียงท่องไปทั่วหล้า’
อาจเป็นเพราะรู้สึกว่ามือปราบผู้นี้ไม่มีความรู้และสมอง คุณชายชุดผ้าทอจึงเลิกโวยวายแล้วเดินไปยังสำนักงานราชการอำเภอฉางเล่อภายใต้การคุ้มกันของเจ้าหน้าที่ทางการ
หัวหน้ามือปราบหวังชะลอฝีเท้าไม่กี่ก้าวมาอยู่ข้างตัวสวี่ชีอัน “น้องชาย เจ้าเจอตอเข้าแล้ว ฐานะของไอ้ลูกเต่านั่นไม่ธรรมดาเลย เจ้าคิดดีหรือยังว่าจะจัดการอย่างไร”
พลังสายตาของเหล่าหวังโหดร้ายมาก
ข้าหลิวเจี้ยนหมิง[2]ไม่มีทางเลือก…สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา “บอกอารองของข้าแล้วหรือยัง”
เดินไปพลางพูดไปพลาง ไม่นานก็มาถึงที่ว่าการอำเภอแล้ว
……………………………………….
[1] จะขว้างหนูก็กลัวกระทบสิ่งอื่น อุปมาหมายถึง กระทำการเด็ดขาดไม่ได้เพราะกลัวโดนพวกพ้องตัวเอง
[2] หลิวเจี้ยนหมิง คือ ชื่อตัวละครจากภาพยนตร์เรื่องสองคนสองคม เข้าร่วมสังคมมืดในช่วงวัยกลางคน และได้เป็นสายของตำรวจ คำพูดประจำตัวคือ ‘ฉันแค่อยากจะเป็นคนดี’