ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 224-1 พ่อมดแห่งความฝันปรากฏตัว
บทที่ 224-1 พ่อมดแห่งความฝันปรากฏตัว
‘คำพูดของหมายเลขสามแปลกประหลาดยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าอยู่ห่างจากเมืองหลวง แต่ประหนึ่งว่าเหตุฉุกเฉินจะเกิดขึ้นรอบตัวข้า…’ คิ้วที่เรียวยาวและละเอียดอ่อนของหลี่เมี่ยวเจินย่นเล็กน้อย
ความจริงแล้วคืนนี้นางมีธุระ หลังผ่านพายุแห่งความขัดแย้งทางทหารในวันนั้น ด้วยสัญชาตญาณอันเฉียบแหลมของนักพรตแห่งนิกายสวรรค์ นางสัมผัสได้ถึงความอาฆาตที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใต้รอยยิ้มของผู้ตรวจการจาง
ดังนั้นจึงคิดว่าจะแวะไปจุดพักเปลี่ยนม้าก่อนพลบค่ำเพื่อจัดการบางอย่างเล็กน้อย และดูสถานการณ์ว่ามีทางหนีทีไล่หรือไม่
แต่หมายเลขสามซึ่งเป็นสหายที่รู้จักกันในกลุ่มสนทนานับว่าสำคัญที่สุดสำหรับนาง อีกฝ่ายทั้งซื่อสัตย์กล้าหาญ ฉลาดหลักแหลม เป็นปัญญาชนที่น่ายกย่องคนหนึ่ง หากหมายเลขสามเกิดเรื่อง นางไม่สามารถนิ่งดูดายได้
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ก็เห็นว่าบนกระจกหยกอันเล็กมีข้อความปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ
‘คดีที่อวิ๋นโจว ผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังแท้จริงคือสมุหเทศาภิบาลซ่ง ผู้ตรวจการจางไขปริศนาได้แล้ว เดิมทีวางแผนจะไปจับกุมซ่งฉางฝู่ด้วยความเร็วปานสายฟ้า แต่ซ่งฉางฝู่รู้สึกถึงอันตรายเสียก่อน พร้อมทั้งได้วางแผนสร้างความสับสนให้แก่ผู้ตรวจการจางและหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ปิดประตูเมืองอย่างลับๆ ตอนนี้เมืองไป๋ตี้มีภัยอยู่ทุกแห่ง เกรงว่ากลุ่มผู้ตรวจการจางอาจคาดเดาไม่ได้ หมายเลขสอง เจ้าเร่งส่งกำลังพลไปช่วยเหลือโดยด่วน’
ผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังคือสมุหเทศาภิบาลซ่งงั้นหรือ!
หลี่เมี่ยวเจินเหมือนโดนตีหน้าผากด้วยค้อน รู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ ซ่งฉางฝู่เป็นผู้บงการเบื้องหลัง ซึ่งหมายความว่าพรรคฉีที่สมรู้ร่วมคิดกับสำนักพ่อมดคือซ่งฉางฝู่
ซ่งฉางฝู่เป็นคนของพรรคฉีหรือ?
ไม่มีเวลามาคิดมากขนาดนั้นแล้ว หากเป็นอย่างที่หมายเลขสามกล่าว ความวุ่นวายในเมืองไป๋ตี้ก็ใกล้เข้ามาแล้ว ไม่สิ แม้กระทั่งการต่อสู้ที่ดุเดือดก็ได้ขยายเป็นวงกว้าง
หากผู้ตรวจการจางเป็นอะไรขึ้นมา อวิ๋นโจวทั้งหมดอาจจมดิ่งลงสู่ขุมนรกอย่างควบคุมไม่ได้ เจียงลวี่จงเป็นนักรบระดับสี่ เมื่อสงครามเริ่มขึ้น ผู้คนในเมืองย่อมได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเท่านั้น ฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ราชสำนักจะส่งกองทัพใหญ่เข้าโจมตีอวิ๋นโจวเป็นแน่ ภายใต้ไฟสงคราม ผู้คนจำนวนมากจะต้องตกอยู่ในสภาพยากลำบาก
หลี่เมี่ยวเจินลุกขึ้นยืนทันที มือของนางคว้าหอกเงินที่พิงโต๊ะไว้ แต่ในเวลานี้นางก็ตัวแข็งทื่อในทันใด
เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่แวบเข้ามาในหัว แล้วมารวมกันเป็นประโยคเดียว หมายเลขสามรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน?
หมายเลขสามอยู่ห่างจากเมืองหลวง แล้วจะรู้เรื่องที่อวิ๋นโจวได้อย่างไร?
มีการเดาที่คลุมเครือในหัว การเดานี้ทำให้เกิดความปั่นป่วนในใจนาง และระดับความตกใจไม่น้อยไปกว่าการกบฏของสมุหเทศาภิบาลซ่งเลย
ดังนั้นหลี่เมี่ยวเจินจึงหยุดนิ่งและยืนอยู่กับที่ มือที่ถือกระจกหยกอยู่สั่นเล็กน้อย ‘เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร’
หลังข้อความดังกล่าวถูกส่งไปแล้ว ผ่านไปจนค่อนวันยังไม่มีใครตอบกลับมา
หลี่เมี่ยวเจินเลิกคิ้วขึ้น พลางหันไปเอ่ยกับซูซูผีสาวซึ่งนั่งอยู่ข้างเตียง และก้มลงอ่านตำราอยู่ “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า รวบรวมกองทัพนางแอ่นเหิน”
ท่าทางการก้มหน้าอ่านตำราของซูซู ช่างดูเป็นสุภาพสตรีที่นิ่มนวลความฉลาดหลักแหลมและรู้หนังสือยิ่งนัก ชนิดที่ว่าสลักอยู่ในใจเลยทีเดียว
หากตำราที่อ่านไม่ใช่ ‘นิยายรักประโลมโลก’ เช่นนั้นก็สมบูรณ์แบบ
“โอ้”
ซูซูวางตำราเล่มน้อยที่อยู่ในมือลงอย่างไม่เต็มใจ บิดเอวเล็กคอดอย่างเต็มที่ แล้วเดินออกจากกระโจมไป
นางหดหู่ใจเล็กน้อยที่ตัวเอกชายซึ่งอยู่ในตำรานั้นล้วนเป็นปัญญาชนผู้หล่อเหลา สุภาพอ่อนโยน และเป็นผู้มีความรู้มาก
เมื่อนางสามารถก่อร่างใหม่ที่มีเนื้อหนัง แล้วเป็นนางสนมให้กับสวี่ชีอันชายมั่วโลกีย์ผู้นี้ ช่องว่างของความแตกต่างช่างใหญ่หลวงนัก
หลี่เมี่ยวเจินมองตามหลังผีสาวที่ออกไประดมกำลังพล ขณะนั้นก็ไม่ยอมเสียเวลา ส่งข้อความข่มขู่ไปด้วยความไม่พอใจ ‘หากเจ้าไม่ยอมบอก ข้าจะไม่ส่งทหารไปแม้แต่คนเดียว’
แน่นอนว่านี่เป็นแค่การข่มขู่ หลี่เมี่ยวเจินแทบรอไม่ไหวที่จะสวมปีก และบินไปยังเมืองไป๋ตี้ในทันที
หมายเลขสาม ‘อันที่จริงข้ารับภารกิจมาจากสำนัก จึงรีบร้อนเดินทางไปที่อวิ๋นโจวอย่างลับๆ’
หมายเลขสอง ‘เจ้าคิดว่าข้าโง่รึ’
หมายเลขสามเป็นศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ อย่างที่ทราบกันดี หลังจากฤดูใบไม้ผลิก็เป็นการคัดเลือกสอบช่วงฤดูวสันต์ เป็นโอกาสที่ปัญญาชนใต้หล้าทั้งหลายกระโดดผ่านประตูมังกร หมายเลขสี่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่าหมายเลขสามจะเข้าร่วมการคัดเลือกสอบช่วงฤดูวสันต์ และหมายเลขสามก็ไม่ได้ปฏิเสธ
สำนักอวิ๋นลู่และอวิ๋นโจวไม่มีความสัมพันธ์กันแม้แต่น้อย เรื่องอะไรกันที่ทำให้หมายเลขสามยอมสละเวลาอันมีค่าในการเตรียมตัวสอบและเดินทางลงทางใต้ มีผู้มากพรสวรรค์มากมายในสำนัก แล้วทำไมต้องเป็นหมายเลขสามด้วย
ศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่ได้รับคำสั่งจากอาจารย์ให้ไปทางใต้ กลับเข้าใจคดีที่อวิ๋นโจวอย่างละเอียดและชัดเจน ซึ่งไม่สมเหตุสมผลยิ่งนัก นอกเสียจากมีคนเปิดเผยข้อมูลให้กับเขา…ความจริงแล้วสวี่ชีอันสามารถเผยข้อมูลให้แก่ญาติผู้น้องได้ สมมติหมายเลขสามเป็นญาติผู้น้องท่านนั้นละก็
เช่นนั้นการพิสูจน์ว่าหมายเลขสามโกหกหรือไม่ ยังมีอีกหนึ่งวิธี นั่นก็คือการสอบถามหมายเลขหนึ่งให้เขาไปหยั่งเชิงถามข่าวที่สำนักอวิ๋นลู่
แต่มันใช้เวลานานเกินไป สถานการณ์ตอนนี้เปรียบเวลาเป็นดั่งชีวิต ดังนั้นถ้าหมายเลขสองเอ่ยปากถามออกไปตรงๆ นางหวังว่าหมายเลขสามจะสามารถเอ่ยความจริงได้
หมายเลขสาม ‘ก็ได้ เปิดเผยเลยแล้วกัน ข้าคือสวี่ชีอัน ข้าเองคือหมายเลขสาม’
หมายเลขสามคือสวี่ชีอัน!?
หลี่เมี่ยวเจินกลายเป็นหินแล้ว ณ ตอนนั้น หน้าเมล็ดแตงที่สวยงามพริ้มเพราซึมเซาราวกับหินแกะสลัก
ราวกับนางจะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างกำลังพังทลายอยู่ภายในใจตนเอง และแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ
ปัญญาชนที่ซื่อสัตย์ จิตใจมีแต่คุณธรรม…ผิด
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ต่ำช้าไร้ยางอาย เจ้าเล่ห์หื่นกาม…ถูก
ภาพลักษณ์ของหมายเลขสามอยู่ในช่วงกำลังพังทลาย และจัดโครงสร้างขึ้นมาใหม่ในใจนาง
เมื่อได้ยินข่าวร้ายในตอนแรก ในใจของหลี่เมี่ยวเจินห่างไกลจากความโกรธเคืองแล้ว นางรู้สึกว่าตนเองถูกหลอก ล้อเล่นกับความรู้สึก และถูกหลอกให้เป็นลิงเล่นกล
ตามจริงแล้ว นางรู้สึกดีกับหมายเลขสาม เพราะหมายเลขสามไม่มีความคิดลึกซึ้งและมักชอบแอบมองอยู่ห่างๆ เหมือนหมายเลขหนึ่ง ไม่เหมือนหมายเลขสี่ที่ดูแล้วเหมือนเป็นคนใจดี ความจริงแล้วเป็นคนหยิ่งผยองเสียไม่มี
ส่วนหมายเลขห้า หมายเลขหก และหมายเลขเก้านั้นมีจุดเด่นแตกต่างกันไป แต่เอ่ยถึงความประทับใจแล้วต่างก็เทียบหมายเลขสามไม่ได้
แต่เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง
เวลานี้ ในความทรงจำของหลี่เมี่ยวเจินนึกถึงสิ่งที่หมายเลขสามประเมินสวี่ชีอันขึ้นมา
“ไอ้คนหน้าไม่อาย ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก…” นางจับหอกสีเงินไว้แน่น ภายในทรวงอกของนางปั่นป่วนอย่างรุนแรง
หากอยู่ในยุคปัจจุบัน หลี่เมี่ยวเจินคงกลายเป็นผู้เสียหายที่ถูกทำข่าวในวันนี้แล้ว พาดหัวข่าวคือ หญิงสาวอายุสืบแปดปี โดนหลอกลวงทำลายความรู้สึกโดยเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต
เดี๋ยวนะ!
หลี่เมี่ยวเจินที่กำลังโกรธแค้น ทันใดนั้นก็จำเรื่องราวที่ไม่มีความสุขได้ขึ้นมา
หากหมายเลขสามคือสวี่ชีอัน วันนั้นที่นางทำหน้าจริงใจขอความช่วยเหลือตอนอยู่ในกองหนังสือปฐพี เพื่อขอให้พวกเขาช่วยวิเคราะห์คดี
วันถัดมาเขาได้ทำตัวหยิ่งต่อหน้าผู้ตรวจการจางและสวี่ชีอัน แถมยังอวดอ้างว่าตนเองแก้ไขคดีได้แล้ว…คิดมาถึงจุดนี้ หน้าอกของหลี่เมี่ยวเจินยิ่งปั่นป่วนมากขึ้นเรื่อยๆ ใบหน้ารูปไข่แดงก่ำ เกิดความคิดอยากจะชักดาบออกมาและฆ่าตัวตายเสียตอนนี้
สวี่ชีอันในตอนนี้ เกรงว่ากำลังหัวเราะเยาะตนเองอยู่กระมัง
นางยกมือขึ้นกุมใบหน้า รำพึงเสียงสั่น “เจ้าคนบ้า…”
…
เมืองหลวงที่อยู่ห่างไกล นักบวชเต๋าจินเหลียนจ้องชิ้นส่วนหนังสือปฐพีอยู่ เป็นเวลานานแล้ว ที่หมายเลขสามและหมายเลขสองไม่มีบทสนทนากันต่อ
“การสนทนาลับจบลงแล้วก็ไม่บอก” นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยอย่างโกรธเคือง
สวี่ชีอัน เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ ปกติจะคุยโอ้อวด ตอนนี้เป็นเช่นไรเล่า อายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีเลยกระมัง
นับประสาอะไรกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง นักบวชเต๋าจินเหลียนฝึกฝนลัทธิเต๋ามาหลายสิบปี ไม่ว่าอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็เคยผ่านมาหมดแล้ว คงไม่อารมณ์เสียเพราะเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้กระมัง
‘ฉึบๆ…’
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ มีเสียงแมวสีส้มกระโดดข้ามกำแพงที่อยู่ในสำนัก มันมองเข้าไปข้างในอย่างระมัดระวัง ราวกับว่ากำลังวางแผนที่จะแอบเข้าไปในครัวเพื่อขโมยอาหาร
แต่ในเวลานี้เจ้าแมวสีส้มตัวแข็งทื่อไปอย่างกะทันหัน ยืนนิ่งอยู่บนกำแพง หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ รูม่านตาสีเหลืองอำพันก็กลับมามีชีวิตอีกครั้ง หางยกขึ้นสูง ก่อนจะจากไปอย่างมีความสุข
ภายในห้อง นักบวชเต๋าจินเหลียนนอนอยู่บนเตียงด้วยใบหน้าสงบสุขเช่นกัน
…
ในที่สุดสวี่ชีอันก็เหลือบมองกระจกหยกบานเล็ก หมายเลขสองไม่ได้เยาะเย้ย กล่าวโทษ หรือดุด่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ถึงแม้จะค่อนข้างแปลกใจเล็กน้อย แต่เขาก็คาดเดาไว้แล้ว
“นางน่าจะนึกถึงวันนั้น ถ้าจิตคิดฟุ้งซ่านไปชั่วขณะล่ะก็ นี่คงเป็นข้อดีที่ทุกคนต้องมาตายด้วยกันกระมัง” สวี่ชีอันทอดถอนใจ
จากนั้น เขาก็ชำระจิตวิญญาณ รวมพลังที่จุดศูนย์ เรียกหาพระเสินซูที่อยู่ในสายธารแห่งปัญญา “ไต้ซือ ไต้ซือ…”
“ไต้ซือ ข้าน้อยเกิดอันตรายแล้ว หวังว่าจะได้รับความช่วยเหลือจากท่าน”
‘เรียก’ หาพระเสินซูตั้งค่อนวันแล้ว คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีการตอบรับ
สวี่ชีอันรู้สึกกังวลเล็กน้อย เหตุผลที่กล้ารีบเร่งไปที่เกิดเหตุเพื่อให้ม้าพานำหน้าสุดเพราะเขามีความมั่นใจ และไต้ซือเสินซูคือความมั่นใจของเขา
…………………………………………..