ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 225-3 การเสียสละของสวี่ชีอัน (1)
บทที่ 225-2 การเสียสละของสวี่ชีอัน (1)
ทว่าความจริงกลับโหดร้าย พ่อมดแห่งความฝันที่ปลอมตัวเป็นเจ้าเมืองยกมือขึ้น รวบรวมพลังปราณไว้ที่ฝ่ามือ แล้วใช้แรงกดไว้
เกิดระลอกคลื่นขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะกระเพื่อมกระจายออกไป
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาล รวมถึงฆ้องเงินจ้าวที่อยู่ภายในลานราวกับถูกค้อนทุบอกจนอาเจียนเป็นเลือด
แค่การเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว ถึงกับทำให้กลุ่มหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียชีวิต
เจียงลวี่จงดูเหมือนจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้มานานแล้ว เขาหลับตา แต่คราวนี้ไร้ซึ่งความโกรธแค้นเพราะอีกไม่นานทุกคนจะได้พบกันในอีกโลกหนึ่งแล้ว
พ่อมดแห่งความฝันกำหมัดของเขาอีกครั้ง เวลาควบคุมวิญญาณที่ถูกอัญเชิญมีจำกัด เขาไม่อยากจะเอ่ยอะไรมากกับเจียงลวี่จงอยู่แล้ว
ถึงอย่างไรสิ่งสำคัญที่สุดต่อจากนี้ก็คือควบคุมเมืองไป๋ตี้ รวมพลโจรภูเขา บุกโจมตีเมืองต่างๆ และต้องโค่นล้มอวิ๋นโจวให้ได้ก่อนที่ราชสำนักจะสามารถโต้กลับ
สิ่งที่สำนักพ่อมดมุ่งหวังกว่าสิบปี วันนี้ได้เวลาเก็บเกี่ยวผลแล้ว
หมัดหนึ่งถูกปล่อยออกไป พลังปราณเสียดทานกับอากาศ ปล่อยเสียงคำรามที่ทรงพลังจนกระแทกไปทางฝั่งห้องโถงใหญ่
ร่างหนึ่งหยุดอยู่ตรงกลาง นั่นคือฆ้องเงินจ้าว เขาถือกระบี่ด้ามยาวด้วยมือทั้งสองข้าง เอี้ยวตัวและคุกเข่า ส่งเสียงคำรามและฟันออกไป
นี่คงเป็นการฟาดฟันที่ดีที่สุดในชีวิตเขาแล้ว
พลังกระบี่พังทลาย กระบี่เล่มยาวแตกสลาย อาวุธเวทมนตร์ตรงหน้าอกของฆ้องทองแดงแตกหัก พลังปราณที่น่ากลัวผลักฆ้องเงินจ้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ทำให้ห้องโถงเกิดเสียงระเบิดดัง ‘ตูม!’
เจียงลวี่จงจิตใจสั่นไหว เขารีบคลานเข้ามา กอดลูกน้องที่กำลังจะตายตกในอ้อมแขนของเขา
ทันทีที่เขาสัมผัสฆ้องเงินจ้าว เจียงลวี่จงก็รู้ว่าเกินต้านลิขิตสวรรค์แล้ว กระดูกของเขาแตกหักไม่เหลือชิ้นดีแม้แต่ชิ้นเดียว แม้แต่อวัยวะภายในก็เช่นกัน
สำนักโหราจารย์อาจจะมียาชุบชีวิตที่ทำให้คนตายฟื้นขึ้นมา แต่อวิ๋นโจวไม่มี
เหตุผลที่ไม่ตายในทันที อาจเป็นเพราะความดื้อรั้นครั้งสุดท้ายของชายชาติทหาร
ฆ้องเงินจ้าวเป็นคนที่ดื้อรั้นมาโดยตลอด มักจะกระทำการใดโดยไม่สนใจผู้อื่น ไม่เชื่อฟังคำสั่งของเจียงลวี่จงซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหมือนกับที่เขาเพิ่งปล่อยมือไป
“เจ้ามีอะไรอยากจะบอกหรือไม่” เจียงลวี่จงเอ่ยเสียงเบา
ใบหน้าฆ้องเงินจ้าวเต็มไปด้วยเลือด ฝืนยิ้มออกมา เลือดกบปาก เอ่ยด้วยเสียงขาดๆ หายๆ “ใต้เท้าขอรับ ปีนี้ข้าได้รับเลี้ยงดูนางสนมอีกแล้ว นางอายุสินหกปี ช่างน่ารักยิ่งนัก แต่ข้ากลัวท่านรู้เข้า จึงไม่ได้นำมาเลี้ยงดูในจวน ท่านมักจะเรียกพวกเราฆ้องเงินทั้งหลายเข้าประชุมลับ ตักเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า เงินที่โลภมาต้องใช้ไม่เกินห้าร้อยตำลึงต่อปี รีดไถพ่อค้าหาบเร่ได้ครั้งละไม่เกินสิบเหวิน ร้านค้าและหอสุราต้องไม่เกินครั้งละสามเหรียญ ท่านรู้หรือไม่ พวกข้าสองสามคนหัวเราะเยาะท่านลับหลัง แม้แต่การฉ้อโกงยังต้องได้รับการควบคุม ใต้หล้านี้มีท่านเพียงคนเดียวแล้ว พวกข้าฆ้องเงิน ต่อหน้าทำเป็นเชื่อฟังท่าน ความจริงแล้วลับหลังจะชั่วช้ายังไงก็ได้ ไม่เช่นนั้นจะเลี้ยงดูนางสนมจำนวนมากเช่นนี้ได้อย่างไร…ขออภัย ใต้เท้า ที่ทำให้ท่านต้องผิดหวังแล้ว ดังนั้นอย่าได้มัวเสียใจกับคนอย่างพวกข้า ตามกฎของเว่ยกง ข้าควรถูกลากไปตัดหัวที่ไช่ซื่อโข่วแล้ว เหล่าทังชอบดื่มสุรา หากท่านยังมีชีวิตรอด โปรดจำไว้ว่าเทศกาลชิงหมิงของทุกปี ต้องรินสุราเหล้าให้เขาสองจอกด้วย…สุดท้าย สิ่งสุดท้ายที่จะขอ…ข้า ข้าไม่อยากตายในต่างที่ พาข้า กลับเมืองหลวง…”
พลังชีวิตในรูม่านตาของฆ้องเงินจ้าวหายไปแล้ว
“เฮ้อ!” ผู้ตรวจการจางถอนหายใจ พลางเอ่ยอย่างสำนึกผิด “เป็นข้าที่ไม่ระวังเอง เป็นข้าเอง…แต่ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้จะมีประโยชน์อะไร”
คำกล่าวนี้เจียงลวี่จงหัวเราะพลางเอ่ย แต่ความโศกเศร้าที่อยู่ภายในดวงตากลับปิดบังไว้ไม่มิด กระแสน้ำเชี่ยวกรากไหลออกมา กลายเป็นน้ำตาที่ร้อนระอุ
พ่อมดแห่งความฝันเดินตรงมาช้าๆ หัวเราะอย่างมีความสุข “พูดกันตามตรงแล้ว พวกเราไม่ได้วางแผนจะแบ่งแยกอวิ๋นโจว สนับสนุนโจรภูเขา และกักตุนกองกำลัง มันเป็นเพียงหมากรุกดำที่เตรียมการมาอย่างดีเท่านั้นเอง ควรเก็บไว้ใช้เมื่อมีความจำเป็นมากที่สุด และไม่ใช่ตอนนี้ แม้เสมียนตราแซ่โจวค้นพบว่าสมุดบัญชีมีปัญหา แต่ตามแผนของพวกข้า มันก็แค่เป็นการผลักหยางชวนหนานให้ออกไปรับโทษ ไม่คิดเลยว่าพรรคฉีจะโง่ถึงเพียงนี้ ถึงได้เปิดเผยความลับที่ได้ร่วมมือกับพวกข้า จนกระทบถึงพวกเจ้า เรื่องที่ยิ่งทำให้ประหลาดใจก็คือ แค่ฆ้องทองแดงคนเดียว นึกไม่ถึงว่าจะทำมาได้ถึงขั้นก่อกวนแผนการของข้าได้ ข้าจึงไม่มีทางเลือก ได้แต่ลงมือกับพวกเจ้าก่อนที่จะยึดครองอวิ๋นโจว ถ้าจะเกลียดก็ไปเกลียดฆ้องทองแดงแซ่จ้าวผู้นั้นเถอะ ถ้าไม่ใช่เพราะความเลวของเขา พวกเจ้าก็ไม่ต้องมาตาย ตอนนี้พวกเจ้าก้าวออกไปก่อน ข้าจะลากฆ้องทองแดงผู้นั้นออกมาฆ่าทิ้งเสีย”
เสียงพูดลดลง ทันใดนั้นก็มีลมแรงพัดเข้ามา พ่อมดแห่งความฝันยกมือขึ้น ทำให้ลูกธนูที่ลอบยิงสองดอกแตกสลาย
บนกำแพง ฆ้องทองแดงที่ห้าวหาญยืนตระหง่านอยู่ ในมือถือหน้าไม้อาวุธเวทมนตร์ที่ซ่งชิงจากสำนักโหราจารย์มอบให้ แต่ว่า ตอนนี้ได้กลายเป็นสิ่งของไปแล้ว
หนึ่งชีวิตของมัน สามารถยิงได้สามครั้งเท่านั้น
“ข้า…สวี่ชีอันผู้นี้ไร้ศักดิ์ศรีถึงเพียงนี้เลยหรือ เอ่ยออกมาได้เต็มปาก ‘ฆ้องทองแดงผู้นั้น?’”
ร่างกายเขาเปื้อนเปรอะไปด้วยเลือด แต่เป็นเลือดของผู้อื่นที่เพิ่งถูกเขาฆ่าแหวกผ่านเข้ามาตลอดทาง
สวี่ชีอันเอ่ยจบ สายตาของเขาจับจ้องไปยังฆ้องเงินสองคนที่เสียชีวิต รวมถึงฆ้องทองคำที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและไม่สามารถต่อสู้ได้อีก นั่นทำให้อารมณ์ที่คิดจะหลีกหนีจากการตายตกทางสังคมตกตะกอนในทันที
ดวงตาดำดิ่ง ใบหน้าไร้ความรู้สึก
…
ประตูเมืองทางทิศตะวันตก มีแสงสีเงินส่องลงมาจากท้องฟ้า ก่อนจะถูกตรึงไว้ที่กำแพงเมือง ก้อนอิฐแตกกระจาย ฝุ่นคละคลุ้งตลบไปทั่ว
หลี่เมี่ยวเจินสวมชุดเกราะเกล็ดปลาที่อ่อนนุ่ม รวบผมเป็นหางม้าสูง ด้านหลังสวมใส่ผ้าคลุมสีแดงเข้ม ยืนอยู่เหนือกระบอกปืนใหญ่ จ้องมองไปยังทหารกลุ่มหนึ่งที่กำลังง้างธนูอยู่ แล้วเอ่ยเสียงขรึม “เหตุใดถึงได้ปิดประตูเมือง”
หมายเลขสาม…เจ้าหัวขโมยสวี่ชีอันนั่นเอ่ยไว้ไม่มีผิด ประตูเมืองได้ปิดลงแล้ว แต่หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ทำลายเมืองและฆ่าคนอย่างประมาท เพียงมาที่หัวเมืองเพื่อสอบถามด้วยตนเอง
‘ชิ้ง!’ …นายพลท่านหนึ่งชักกระบี่ออกมา ชี้ไปทางหลี่เมี่ยวเจิน “ฆ่าสถานเดียว”
คิดไม่ถึงว่าจะไร้คำอธิบาย แถมยังชิงลงมือก่อน
เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรต้องเอ่ยแล้ว ดวงตาของหลี่เมี่ยวเจินดุดันขึ้นมาทันที
‘ผึงๆ…’ เสียงสายธนูที่ขยับอย่างชัดเจน ลูกธนูหลายสิบดอกพุ่งมาทางหลี่เมี่ยวเจิน
นางไม่คิดจะหลบ ตบไปที่กระเป๋าผ้าไหมเพียงครั้งเดียว ลมก็พัดโชยมาพันรอบลูกศร และเปลี่ยนทิศทางของลูกธนู
ทำให้ลูกธนูพุ่งผ่านหลี่เมี่ยวเจินไป พวกมือธนูกลายเป็นคนยิงไม่แม่นไปเสียแล้ว
‘เคร้ง!’
หลี่เมี่ยวเจินชักกระบี่บินออกมาจากฝักทันที แปรเปลี่ยนเป็นสายฟ้าสีเงิน พุ่งตัดผ่านลำคอของนายพลทีละคน เก็บเกี่ยวชีวิตอย่างโหดเหี้ยม
‘กุบกับๆ…’ เสียงกีบม้าของกองทัพนางแอ่นเหินที่ควบม้าเข้ามาใกล้ดังขึ้นอย่างแน่นขนัดจนฝุ่นตลบ
แม่ทัพกองร้อยสี่นายที่บรรลุขั้นกระดูกเหล็กผิวทองแดง นำเหล่านักรบขั้นหลอมวิญญาณสังหารเหล่าทหารที่ประจำอยู่ตรงหัวเมือง ร่วมกับพลังกระบี่บินของหลี่เมี่ยวเจินเก็บเกี่ยวชีวิตทหารรักษาเมืองจนสิ้น
“นายหญิง ท่านไม่ได้ใช้กระบี่บินมานานแล้วนะเจ้าคะ…” ผีสาวซูซูลอยละล่องลงมาจากปากปืนใหญ่ ก่อนจะกอดเอวของหลี่เมี่ยวเจินไว้จากด้านหลัง
กระบี่บินเล่มนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ลัทธิเต๋านิกายสวรรค์มอบให้หลี่เมี่ยวเจิน ปกติแทบจะไม่ค่อยได้ใช้ เมื่อใดที่ออกจากฝักหมายความว่าหลี่เมี่ยวเจินอยู่ในอารมณ์ที่แย่มากๆ
“ข้าโมโหมาก” หลี่เมี่ยวเจินเอ่ย
“เป็นเพราะท่านผู้ตรวจการถูกลอบสังหารหรือเจ้าคะ”
“ไม่ใช่ เป็นเพราะคนเลวผู้นี้”
“…”
ซูซูขมวดคิ้วงามของนาง ลังเลที่จะเอ่ย นางลืมเรื่องที่ตนเองเป็นเทพธิดานิกายสวรรค์แล้วหรือ จุดมุ่งหมายของนิกายสวรรค์ช่างสูงส่งและหลงลืมไม่ว่าเรื่องสุขหรือเศร้าได้โดยง่าย แต่หลังจากลงเขามาเมื่อไม่กี่ปีมานี้ หลี่เมี่ยวเจินนับวันยิ่งหุนหันพลันแล่น ทั้งยังชั่วร้ายขี้อิจฉาขึ้นทุกวัน
จอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินบังคับตนเองจนกลายเป็นผู้ที่มีความกระตือรือร้นในการช่วยเหลือคนอื่น
ชื่อของจอมยุทธ์หญิงนางแอ่นเหินนั้น เหตุผลหลักคือกระบี่บินเล่มนี้เบาราวกับนกนางแอ่น เข่นฆ่าผู้คนโดยไร้เงา อีกอย่างคือนางกระหายความยุติธรรม ที่ใดมีเรื่องอยุติธรรม นางจะบินไปที่นั่นทันที
กองทัพนางแอ่นเหินแสดงพลังการต่อสู้ที่แข็งแกร่งกระทั่งได้รับชัยชนะ กวาดล้างทหารยามอย่างรวดเร็ว จากนั้นทหารหญิงกระดูกเหล็กผิวทองแดงท่านหนึ่งไม่รีรอ พุ่งไปเปิดประตูเมืองโดยพลัน
หลี่เมี่ยวเจินกระโดดขึ้นจากพื้นเล็กน้อย จากนั้นคว้าหอกเงินให้มันยึดมั่นลงกับพื้นดินเพื่อพาร่างตนเองลงไปเบื้องล่าง
ภายใต้การนำของนาง ทำให้กองทัพนางแอ่นเหินเข้าเมืองไปได้โดยราบรื่น
……………………………………………………..