ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 230-4 ศพกระตุก (2)
บทที่ 230-2 ศพกระตุก (2)
นี่น่าจะเป็นการตายครั้งที่สองของข้า ครั้งที่แล้วตายเพราะพิษสุรา…แม่งเอ๊ย ยังไม่ได้ลบไฟล์ภรรยา 120G เลย แค่คิดก็อายแล้ว…แต่โชคดีที่โลกนี้ไม่มีคอมพิวเตอร์กับมือถือ อ้อ โลกนี้มีหอนางโลมกับสำนักสังคีตนี่นา แบบนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภรรยาในฮาร์ดดิสแล้ว
พรุ่งนี้คนทั้งหมู่บ้านคงจะมากินข้าวที่บ้านข้าสินะ…ฮว๋ายชิ่งกับหลินอันเป็นองค์หญิง ด้วยสถานะจึงไม่สะดวก คงจะมาไม่ได้…ไฉ่เวยต้องมาแน่นอน หากนางไม่มา ถ้าข้าฟื้นขึ้นมาจะไปขอหย่าเชียวล่ะ…ฝูเซียงจะมาหรือไม่นะ อ้อ นางน่าจะยังไม่รู้ข่าว ‘การตาย’ ของข้ากระมัง
“ท่านแม่ ท่านกลับไปพักที่ห้องก่อนเถิดเจ้าค่ะ ข้ากับพี่รองจะอยู่เฝ้าวิญญาณให้พี่ใหญ่เอง” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยเสียงเครือ
จากนั้นอาสะใภ้ก็พูด “พี่ใหญ่ของเจ้าล่องลอยอยู่บนแม่น้ำมาตั้งนาน พอกลับมาบ้านแล้วจะให้เขาอยู่คนเดียวไม่ได้อีก แม่ไม่เป็นอะไรหรอก แม่จะเฝ้าวิญญาณอยู่ที่นี่ ตอนนั้นที่พ่อของเจ้าส่งเขามาให้ข้า เขาตัวเท่าฝ่ามือเอง ข้าเคยดูแลเด็กที่ไหนกัน พ่อของเจ้าเป็นทหาร ทั้งยังไม่มีเงินทอง จึงจ้างแม่นมมาไม่ได้ ข้าจึงต้มนมแพะให้เขาดื่ม ดูแลเขาจนหัวหมุนอยู่ทุกวัน…”
พูดถึงตรงนี้ อาสะใภ้ก็โศกเศร้าขึ้นมาอีก
ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็นึกได้ว่าจริงๆ แล้วอาสะใภ้รักเขา แม้ว่าภายหลังสองอาหลานจะแข็งกระด้างใส่กันและไม่พอใจกันมากเพียงใดก็ตาม
สวี่ชีอันรู้สึกซาบซึ้ง
“ยิ่งโตยิ่งชอบทำให้คนเกลียดนัก ในหมู่พวกเจ้าสามคน เขาหน้าตาขี้เหร่และเจ้าเล่ห์ที่สุด ทุกครั้งที่ข้าคอยดูแลเอาใจใส่เจ้ากับเอ้อร์หลาง เขาก็จะอิจฉา คิดว่าข้าปฏิบัติต่อเขาไม่ดี คิดว่าตนเป็นเด็กไม่มีแม่…”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว” อารองสวี่เอ่ยด้วยความโมโห
“ทำไมข้าจะพูดไม่ได้” อาสะใภ้ตวาดแหว “ข้าเลี้ยงเขาจนโต คอยเช็ดอึเช็ดฉี่ให้ พอจะไปก็ไปเสียอย่างนี้ รู้แบบนี้ตอนนั้นข้าน่าจะไปเลี้ยงหนูเสียยังดีกว่า”
แล้วก็ร้องไห้เสียงดังอีก
“นายท่าน ฮูหยิน” เหล่าจางคนเฝ้าประตูรีบร้อนวิ่งเข้ามาแล้วยืนอยู่นอกห้องตั้งศพ “ด้านนอกมีแม่นางผู้หนึ่งกล่าวว่าจะมาเฝ้าวิญญาณให้ต้าหลางขอรับ”
ใคร
คำถามนี้แวบผ่านไปในใจสวี่ชีอัน ขณะเดียวกันก็แวบผ่านสมองของพวกอารองและอาสะใภ้ด้วย
“นางกล่าวว่านางชื่อฝูเซียงขอรับ” คนเฝ้าประตูเหล่าจางกล่าว
สีหน้าของสวี่ต้าหลางและอารองสวี่ดำมืดพร้อมกัน
สวี่ชีอันผู้ไม่ไปหอคณิกา สวี่เอ้อร์หลางเป็นสุภาพชนเที่ยงธรรม ส่วนสวี่ผิงจื้อก็ดูแลบ้านรักภรรยายิ่ง…สวี่ชีอันรู้สึกขมขื่นในใจ
อารองสวี่เหลือบมองภรรยาแล้วค่อยๆ พยักหน้า “ข้าจะไปพบนางข้างนอกเอง”
อาสะใภ้มองดูแผ่นหลังของสามีแล้วเช็ดน้ำตา ก่อนหันไปถามลูกชายข้างกาย “เอ้อร์หลาง ฝูเซียงคือใครหรือ”
แค่เพียงได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่ามิใช่แม่นางจากสกุลมีเกียรติ
สวี่เอ้อร์หลางกล่าวเสียงเข้ม “ฝูเซียงคือนางคณิกาของสำนักสังคีต ว่ากันว่าชื่นชมความเก่งกาจด้านบทกวีของพี่ใหญ่มาก”
สวี่หลิงเยวี่ยผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ฉลาดเฉลียวขมวดคิ้วมุ่น มาหาหน้าบ้านดึกๆ ดื่นๆ ทั้งยังบอกว่าจะเฝ้าวิญญาณให้พี่ใหญ่ เกรงว่าความสัมพันธ์คงจะไม่ธรรมดา
อารองสวี่ไปพบฝูเซียงที่โถงหน้า นางสวมชุดกระโปรงยาวสีขาว ศีรษะประดับดอกไม้ขาว แต่งกายสะอาดสะอ้านเรียบร้อย
ชั่วขณะที่เห็นฝูเซียง เพลิงโทสะในใจของอารองสวี่ก็พลันมลายหายไปเพราะสีหน้าเศร้าสลดของสตรีผู้นี้ ดวงตานางแดงก่ำดุจลูกท้อ ความโศกที่หว่างคิ้วนั้นไม่ใช่สิ่งโป้ปดเลย
“แม่นางฝูเซียง เหตุใดจึงมาเยี่ยมเสียดึกดื่นเช่นนี้เล่า” อารองสวี่พูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ
“ใต้เท้าสวี่ ข้าอยากจะเฝ้าวิญญาณให้สวี่หลางเจ้าค่ะ…” ฝูเซียงลุกขึ้นคำนับ
“มันไม่เหมาะสม” อารองสวี่ปฏิเสธทันที
แม้ว่าบ้านสกุลสวี่จะไม่ได้เคร่งครัดธรรมเนียมปฏิบัติมากนัก แต่ก็เป็นบ้านที่มีเกียรติมีกฎระเบียบ ฝูเซียงไร้หัวนอนปลายเท้า มีสิทธิ์อะไรมาเฝ้าวิญญาณให้ต้าหลาง
“ตอนที่บ่าวมาที่จวน ก็ได้สลัดฐานะหญิงรับใช้ในสำนักสังคีตออกไปแล้ว ตอนนี้ไม่อาจกลับไปเมืองชั้นในได้ เมืองชั้นนอกก็ไม่ปลอดภัย หากใต้เท้าสวี่จะขับไสไล่ส่งข้า เช่นนั้นข้าไปก็ได้เจ้าค่ะ” ฝูเซียงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
…สวี่ผิงจื้อถอนหายใจ ผู้หญิงคนนี้รักต้าหลางอย่างลึกซึ้งจริงๆ
เมื่อมาถึงห้องตั้งศพและได้เห็นร่างของสวี่ชีอัน ฝูเซียงที่แสร้งทำเข้มแข็งมาตลอดในที่สุดก็พังทลาย วันนี้นางเพิ่งได้รับข่าวจากแม่เล้าของสำนักสังคีต รู้ข่าวร้ายว่าสวี่ชีอันสิ้นแล้ว
นางสลบไปทันใด พอฟื้นขึ้นมาก็ร่ำไห้อยู่นาน คิดจะมาส่งสวี่ชีอันเป็นครั้งสุดท้าย
สวี่หลิงเยวี่ยได้ยินเสียงร้องไห้เจ็บปวดของฝูเซียง ทันใดนั้นก็นึกถึงความสัมพันธ์ของผู้หญิงคนนี้กับพี่ใหญ่
ฝูเซียงไม่ได้อยู่เฝ้าวิญญาณที่จวนสกุลสวี่ นางจากไปอย่างรู้ความ ทีแรกสวี่ผิงจื้อคิดจะให้นางนอนค้างอยู่ในจวน คิดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ฝูเซียงโกหกเขา สำนักสังคีตจะปล่อยให้คณิกาผู้หนึ่งหลุดพ้นจากสายตาได้อย่างไร
สาเหตุที่ฝูเซียงกล่าวเช่นนั้นเพราะกลัวว่าสกุลสวี่จะไม่ยอมให้นางมาพบหน้าสวี่ชีอันเป็นครั้งสุดท้ายต่างหาก
…
วันต่อมา ญาติมิตรของสกุลสวี่ก็เริ่มมาแสดงความเสียใจ
ตระกูลฝั่งปู่ของสวี่ชีอันมีลูกชายเพียงสองคน คุณชายใหญ่ของสกุลสวี่ตายในสนามรบเมื่อยี่สิบปีก่อน ตอนนี้ลูกชายของเขาก็มาสิ้นไปอีกคน ไฟธูปของเชื้อสายนี้จึงดับลงแต่เพียงเท่านี้
คนในครอบครัวสวี่ถอนหายใจอย่างขมขื่น
นอกจากคนสกุลสวี่แล้ว หัวหน้าของสวี่ชีอันคนก่อนอย่างนายอำเภอจูแห่งอำเภอฉางเล่อ หัวหน้ามือปราบหวัง และเหล่ามือปราบกลุ่มหนึ่งก็มาด้วยเช่นกัน
หลังจากที่นายอำเภอจูเคารพศพเรียบร้อยก็เอ่ยพลางถอนใจ “หนิงเยี่ยนจากไปตั้งแต่อายุน้อยเช่นนี้ ช่างน่าเสียดายนัก”
พวกหัวหน้ามือปราบหวังเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความทอดถอนใจ
“ไม่ทราบว่าหนิงเยี่ยนได้ทิ้งคำพูดไว้หรือไม่” นายอำเภอจูเอ่ยถาม
สวี่ผิงจื้อส่ายหน้า
หากเป็นไปได้ ข้าอยากจะลองทำพิธีเต้นแบกโลงบ้างสักครั้ง… สวี่ชีอันคิดติดตลก การรับรู้ของเขาค่อยๆ ฟื้นกลับมาแล้ว แต่ร่างกายยังอยู่ในสภาวะตายชั่วคราว
“แม่นางไฉ่เวย เจ้าทำอะไรอยู่”
จู่ๆ สวี่เอ้อร์หลางก็ส่งเสียงบูดบึ้งขึ้นมา
จากนั้นก็เป็นเสียงของฉู่ไฉ่เวย “ขะ ข้าแค่อยากจะตรวจให้แน่ใจ…”
เสียงของนางฟังดูแล้วน่าปวดใจนัก
ฆ้องทองคำหนานกงเชี่ยนโหรวและจางไคไท่ก็มาไหว้ศพเช่นกัน เมื่อมองไปที่ศพ เหล่าจางก็ถอนหายใจกล่าว “อัจฉริยะเช่นนี้กลับสิ้นชีพไปกลางคัน ช่วงนี้เว่ยกงอารมณ์ไม่ค่อยดีเลย เป็นเรื่องยากเกินกว่าจะรับได้จริงๆ”
จางไคไท่คือฆ้องทองคำจำนวนน้อยที่รู้จักสวี่ชีอันดี
“คนเลว”
สวี่หลิงอินตะโกนใส่หนานกงเชี่ยนโหรว ไม่นานก็ถูกลวี่เอ๋อพาออกไป
ตอนนี้เอง ทันใดนั้นสวี่ชีอันก็ได้ยินเสียงตะโกนบอก “ถวายบังคัมองค์หญิงฮว๋ายชิ่ง”
ทั่วทั้งห้องตั้งศพตกอยู่ในความเงียบ จากนั้นเสียงร้อง ‘ถวายบังคัมองค์หญิง’ ก็ดังขึ้นเป็นทอดๆ
คนตระกูลสวี่ตะลึงลาน ‘นี่มันเรื่องอะไรกัน’ พิธีศพของสวี่ต้าหลางกลับมีองค์หญิงแห่งราชวงศ์มาร่วมงานด้วยอย่างนั้นหรือ
ตอนนี้เอง ความโศกเศร้าเสียใจของคนตระกูลสวี่ก็รุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ที่แท้ต้าหลางก็รู้จักแม้กระทั่งองค์หญิง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ต่อไปเขาจะต้องมีอนาคตที่ราบรื่นแน่นอน
ไม่แน่ตระกูลสวี่อาจจะกลายเป็นตระกูลใหญ่แห่งเมืองหลวง ตอนนั้น บรรพบุรุษจะมีสง่าราศี ทั้งตระกูลจะได้รับเกียรติจนสามารถขึ้นสวรรค์ได้
ยายตัวร้ายไม่ได้มาสินะ อืม นางเป็นนกยูงขนทองที่ถูกขังอยู่ในวัง ไม่ได้มีอิสระอย่างฮว๋ายชิ่ง
แม่ดอกบัวของข้า พริบตาก็มารวมตัวกันสามคนแล้ว…
สวี่ต้าหลางนึกถึงเรื่องตลกในชาติก่อนขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ ทายาทเศรษฐีเสียชีวิตกะทันหัน ในพิธีศพ บรรดาแฟนของเขาต่างก็มาร่วม คนนี้ทำแท้งเพื่อเขา คนนั้นท้องลูกของเขา คนนี้อายุสิบแปด เพิ่งคบกับเขาเมื่อสามปีก่อน คนนั้นทิ้งสามีมาหาเขา…
จากนั้น งานศพของทายาทเศรษฐีก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นการปะทะย่อมๆ
ที่โชคดีก็คือ ทายาทเศรษฐีผู้นั้นตายแล้วจริงๆ
พวกเจ้าอย่าพูดถึงจดหมายเชียว ไม่อย่างนั้นถ้าข้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาจริงๆ ก็ไร้ความหมาย สวี่ชีอันคิดอย่างร้อนรน
แต่กลัวอะไรก็ได้อย่างนั้น
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างทุกข์ใจ “ตอนที่เขาอยู่ชิงโจวได้เขียนจดหมายมาให้ข้าฉบับหนึ่ง บรรยายให้ข้าฟังถึงอาหารเลิศรสของที่นั่น ข้าอ่านจบก็โกรธจนอยากใช้ตะเกียบแทงเขาให้ตาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะตายไปจริงๆ”
ได้ยินเช่นนั้น สวี่หลิงเยวี่ยก็เงยหน้าขึ้นอย่างแปลกใจ นางเช็ดจมูกแดงเรื่อแล้วเอ่ยเสียงสะอื้น “พี่ใหญ่ก็เขียนจดหมายให้ข้าด้วย”
ฮว๋ายชิ่งเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าก็ได้รับ”
พูดจบ สตรีทั้งสามก็ตกอยู่ในความเงียบงันพร้อมกัน
สวี่ชีอัน “…”
ฮว๋ายชิ่งฉุกคิดขึ้น แววตาสาดประกายเบาบางแล้วเอ่ยถาม “เช่นนั้นเขา…”
ตอนนี้เอง เสียงแมวร้องแหลมก็ดังขึ้นมา ดึงดูดสายตาของทุกคนในห้องตั้งศพไป
แมวสีส้มเดินหางตั้งฝ่าฝูงชนเข้าไปในห้องตั้งศพ แล้วพุ่งไปยังโลงศพของสวี่ชีอัน
ญาติตระกูลสวี่ผู้หนึ่งเอ่ยอย่างตกใจ “รีบจับแมวตัวนั้นไว้ มันจะกระโดดผ่านร่างคนตายแล้วทำให้ศพกระตุก”
สีหน้าของคนในตระกูลสวี่เปลี่ยนไปยกใหญ่
ฮว๋ายชิ่ง ฉู่ไฉ่เวย และหลิงเยวี่ยที่อยู่ใกล้ที่สุดไม่สนใจแนวคิดเช่นนี้ จึงไม่ได้เข้าไปหยุดมันไว้แต่แรก
‘เมี้ยว’
แมวส้มบินผ่านหัวของสวี่ชีอันแล้วส่งเสียงร้องแหลม มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน “สวี่ชีอัน ตื่น!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนนั่นเอง… จิตเดิมของสวี่ชีอันสั่นไหว รู้สึกเพียงแค่วิญญาณกับกายเนื้อเริ่มผสานรวมเข้าด้วยกัน
ต่อมา เขาก็ฟื้นคืนสติและรู้สึกถึงการควบคุมความเคลื่อนไหวของกายเนื้อได้อีกครั้ง
เขารู้สึกคันที่ใบหน้าจึงยกมือขึ้นเกา เกาจนก้อนเนื้อหลุดออกมาชิ้นใหญ่
ข้าขยับตัวได้แล้ว…สวี่ชีอันดีใจ ผุดลุกขึ้นมาจากโลงทันที
ในห้องตั้งโลงศพทั้งข้างนอกข้างในตกอยู่ในความเงียบสงัด
ลุก ลุก ลุกขึ้นมาแล้ว?!
ในสายตาของทุกคน ภาพนี้ทั้งน่าตะลึงและน่าสะพรึงยิ่งนัก
“มะ แม่จ๋า…ศพกระตุกแล้ว!!!”
ใครบางคนกรีดร้องขึ้นมา
………………………………