ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 234 ชันสูตรศพ
บทที่ 234 ชันสูตรศพ
เข้าใจว่าเสด็จพี่องค์รัชทายาทของเจ้าเป็นคนมักมากในกาม…สวี่ชีอันพลั้งปากตอบเพียงเท่านั้น ยายตัวร้ายเข้าใจผิดว่าเขาได้คลี่คลายคดีแล้ว
“องค์รัชทายาทถูกใส่ความหรือไม่นั้น ตัดสินตอนนี้ยังเร็วเกินไป” สวี่ชีอันส่ายหน้า
มั่วโลกีย์หลังเมาสุรา บุรุษดื่มสุราไปมาก สติก็ลอยล่องได้ง่าย สามารถทำเรื่องที่ยามปกติไม่กล้าทำได้ หากเป็นไปตามที่หลินอันบรรยายเช่นนั้นจริงๆ องค์รัชทายาทที่สุขุมรอบคอบเสมอมา ราวกับกำลังยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งก้อนบาง ยิ่งอดกลั้นเท่าไร หลังเมาสุราก็จะยิ่งปะทุรุนแรงเท่านั้น
“เหตุใดพระองค์จึงคิดว่าองค์ชายสี่กับฮองเฮาให้ร้ายองค์รัชทายาท” สวี่ชีอันเอ่ยถามคำนี้ ทั้งกินแตงโมรอ[1]และก็เพื่อสืบคดี
องค์ชายสี่เป็นพี่ชายร่วมบิดามารดาของฮว๋ายชิ่ง ฮองเฮาล้วนเป็นผู้ให้กำเนิด อีกทั้งองค์ชายสี่เป็นโอรสคนโตที่เกิดจากฮองเฮา ว่ากันตามเหตุผล อย่างไรก็ถูกทำนองคลองธรรมยิ่งกว่าพี่ชายร่วมบิดามารดาของหลินอัน
แต่เพราะเรื่องศึกชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทเมื่อสองร้อยปีก่อน กระทั่งปัจจุบันยังคงบันทึกอยู่ในประวัติศาสตร์ กลายเป็นรอยพู่กันที่แต้มด้วยหมึกสีเข้มในใจของปัญญาชนแห่งต้าฟ่ง มีเงามืดทางใจในศึกชิงตำแหน่งองค์รัชทายาท
ดังนั้นจักรพรรดิหยวนจิ่งแต่งตั้งโอรสคนโตที่เกิดจากสนมเป็นองค์รัชทายาทก็ไม่ได้มีปัญหาอันใด
“แน่นอนว่าฮองเฮาอยากให้องค์ชายสี่เป็นองค์รัชทายาทน่ะสิ ข้าจะบอกเจ้าให้นะ ในบรรดาเสด็จพี่ทั้งหลาย ก็มีองค์ชายสี่กับองค์รัชทายาทที่สนใจเรื่องบ้านเมืองมากที่สุด หากองค์ชายสี่ไม่อยากเป็นองค์รัชทายาท จะกระตือรือร้นเยี่ยงนี้หรือ”
“ฝ่าบาททรงแต่งตั้งโอรสคนโตที่เกิดจากสนมทั้งที่มีโอรสที่เกิดจากฮองเฮาก็ผิดประเพณีจริงๆ” ต่อหน้ายายตัวร้าย สวี่ชีอันก็ไม่เลี่ยงความสงสัย
คำพูดเหล่านี้แม้จะมีวงแสงที่รับสั่งให้สืบคดีคุ้มกะลาอยู่ เขาก็ถามมากไม่ได้ ทว่าต่อหน้ายายตัวร้ายสามารถเอ่ยวาจาได้อย่างไม่ยำเกรง
ล้วนเป็นคนของตน
“เพราะปีนั้นท่านแม่ของข้าเป็นที่โปรดปรานที่สุด แล้วก็งดงามที่สุดด้วย” ยายตัวร้ายเชิดคางขึ้นอย่างภาคภูมิใจ ใบหน้างดงามดุจภาพวาด
ก็ตามที่ข้าเห็นตอนพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ประจักษ์ชัดว่าฮองเฮาเหนือกว่าเฉินกุ้ยเฟยหนึ่งขั้น บุคลิกและรูปโฉมเช่นนั้น แม้จะผ่านวัยที่งามสะพรั่งที่สุดของหญิงสาวไปแล้ว เสน่ห์ยวนเย้าบนใบหน้ายังคงเหนือกว่าสาวงามทั่วไป…หากฮองเฮาอายุยี่สิบปี เกรงว่ารูปโฉมยังจะเหนือกว่าหลินอันและฮว๋ายชิ่งเสียอีก…
ทว่าเรื่องได้รับความโปรดปรานก็มิได้อาศัยความงามเพียงอย่างเดียว ยังมีปัจจัยอีกหลายด้าน เช่น นิสัย เล่ห์เหลี่ยม และทักษะที่มิอาจพูดได้เต็มปาก…สรุปได้ว่ามีปัจจัยหลากหลาย
จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่โปรดฮองเฮาเช่นนั้นเลยหรือ ถึงแต่งตั้งโอรสคนโตที่เกิดจากสนมเป็นองค์รัชทายาท
เมื่อเห็นสวี่ชีอันพึมพำเงียบๆ ยายตัวร้ายก็พลันระแวงเล็กน้อย “เจ้าพูดเรื่องนี้ลับหลัง มีฮว๋ายชิ่งควบคุมอยู่ในเงามืดหรือไม่”
สวี่ชีอันมองใบหน้าสวยสดใสปานดอกท้อขององค์หญิงรอง แล้วถามกลับ “หากใช่ล่ะ”
ยายตัวร้ายเลิกคิ้วเรียวขึ้นคล้ายกับแม่ไก่น้อยที่ท่าทางองอาจห้าวหาญ ก่อนจะรู้สึกท้อแท้พร้อมย่นคิ้วเรียว
“ข้ายังคงต้องยอมรับ ความคิดของฮว๋ายชิ่งช่างลึกล้ำ ต่ำทรามไร้ยางอาย…”
นางเอ่ยอย่างน้อยใจ “ข้าสู้นางไม่ได้”
อืม ยอมรับว่าสู้ฮว๋ายชิ่งศัตรูคู่ปรับไม่ได้ต่อหน้าข้าได้อย่างไม่หวาดหวั่น แสดงว่านานวันองค์หญิงก็ยิ่งไว้ใจข้า…สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ พึงพอใจเล็กน้อย
บัดนี้จู่ๆ เขาก็ใจเต้นแรง รับรู้ว่ากลุ่มสนทนาหนังสือปฐพีมีคนใช้งานแล้ว
“องค์หญิง ข้าจะไปสุขาเสียหน่อย โปรดรอสักครู่” สวี่ชีอันยืนขึ้นและออกจากห้องโถงพุ่งตรงออกไป
เมื่อขันทีเล็กที่รออยู่ด้านนอกเห็นเขาออกมาก็สาวเท้าตามไปทันที ทว่าพอเห็นสวี่ชีอันเดินไปทางสุขาก็ชะงักฝีเท้าไม่ตามไป
เขาเข้าไปในสุขา หยิบกระจกหยกใบเล็กตรวจดูข้อความที่ส่งมา
หมายเลขหก ‘นักบวชเต๋าจินเหลียน พอจะปิดกั้นคนอื่นให้ข้าได้หรือไม่ ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับหมายเลขสาม’
เหิงหย่วนเรียกหาข้าทำไม…
เมื่อสมาชิกพรรคฟ้าดินเห็นข้อความของหมายเลขหก อารมณ์ก็ต่างกันออกไป จากข้อความก่อนหน้านี้ บางคนเดาว่าหมายเลขสามก็คือญาติผู้น้องของสวี่ชีอันที่สละชีพในหน้าที่ที่อวิ๋นโจวผู้นั้น
น่าจะมีเพียงหมายเลขห้าที่ใจสงบดุจน้ำที่หยุดนิ่ง จิตใจแจ่มใส ไม่ได้ ‘คิดฟุ้งซ่าน’ มากมายเช่นนั้น
หมายเลขสี่คิดในใจ ฆ้องทองแดงนามว่าสวี่ชีอันผู้นั้นเพิ่งจะสละชีพในหน้าที่ เหิงหย่วนก็เรียกหาหมายเลขสามเพื่อ ‘สนทนากันอย่างลับๆ’ ดูเหมือนเขาก็คาดเดาตัวตนที่แท้จริงของหมายเลขสามได้เช่นกัน
เมื่อหมายเลขสองหลี่เมี่ยวเจินเห็นข้อความนี้ ในใจก็เศร้าใจเล็กน้อย พวกเขาล้วนเข้าใจว่าหมายเลขสามเป็นญาติผู้น้องของสวี่ชีอัน แท้ที่จริงหมายเลขสามคือตัวเขาเอง
และเขาก็ได้สละชีพในหน้าที่ที่อวิ๋นโจวไปแล้ว
พรรคฟ้าดินจะไม่มีหมายเลขสามอีกต่อไป
หมายเลขหนึ่งซุ่มอ่านไม่ได้แสดงความเห็น หมายเลขห้าไม่ได้คิดอะไรมาก กวาดตามองเนื้อหาที่ส่งมา แล้วโยนชิ้นส่วนหนังสือปฐพีไปด้านข้าง
หมายเลขเก้า ‘ได้’
หลี่เมี่ยวเจินตะลึงงัน และพลันตระหนักได้ว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนอาจจะต้องการอธิบายเรื่องนี้กับหมายเลขหกเป็นการส่วนตัว
นักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ตัวตนของทุกคนในพรรคฟ้าดิน
สวี่ชีอันรออยู่ไม่นานก็เห็นข้อความที่เหิงหย่วนส่งมาในกระจกหยก ‘หมายเลขสาม ข้าอยากพบหน้าใต้เท้าสวี่เป็นครั้งสุดท้าย’
เจ้าอยากพบก็มาพบสิ จะส่งข้อความถึงข้าทำไม…อ้อ เหิงหย่วนยังไม่รู้ว่าข้าฟื้นคืนชีพแล้ว…สวี่ชีอันพิจารณาแล้วตอบกลับ
‘เขาฟื้นคืนชีพแล้ว ท่านอยากพบเขาก็ไปหาเขาที่ที่ทำการปกครองได้’
ฝั่งนั้นเงียบไปนาน ในที่สุดก็ส่งกลับมาสามคำ ‘เรื่องจริงหรือ’
สามคำสั้นๆ สวี่ชีอันก็สัมผัสได้ถึงความตื่นเต้นและดีใจเป็นล้นพ้นของไต้ซือเหิงหย่วน อารมณ์อันยากจะเชื่อถือ อดกลั้นไปนานเช่นนี้ กลับออกมาเพียงสามคำ
‘อืม’
การตอบของสวี่ชีอันเรียบง่ายและมีพลังเช่นเดียวกัน
‘มิน่าเจ้าถึงไม่ยอมพบอาตมา เมื่อครู่อาตมาถึงกับแค้นเคืองใจ ช่างบาปกรรมแท้ ใต้เท้าสวี่เป็นคนดี คนดีก็ย่อมได้รับกรรมดี อามิตตาพุทธ อาตมาสุขใจยิ่งนักๆ’
บัดนี้ สวี่ชีอันบอกเรื่องราวการฟื้นคืนชีพของ ‘ญาติผู้พี่’ กับไต้ซือเหิงหย่วนอย่างรวบรัด
‘ไต้ซือ ข้าไม่อยากให้ตัวตนถูกเปิดเผย หวังว่าในวันหน้าหากพวกเราบังเอิญพบกัน จะส่งยิ้มให้กันได้’
‘อาตมาเข้าใจ’
อืม เจ้ายิ้มให้เอ้อร์หลางไปเถอะ ขอโทษนะไต้ซือ ข้าไม่มีทางเลือก ตอนนี้ข้าไม่อยากตายตกทางสังคมอีกแล้ว
หลังเก็บชิ้นส่วนหนังสือปฐพีเรียบร้อยแล้ว เขาก็กลับเข้าห้องโถง ยายตัวร้ายเอ่ยตำหนิ “นานอะไรขนาดนั้น”
“เมื่อครู่กำลังคิดเกี่ยวกับคดี คิดไปคิดมาก็เพลินไปหน่อย” สวี่ชีอันพลั้งปากอธิบายแล้วเอ่ย “องค์หญิง จากนี้ข้าต้องไปดูศพของพระสนมฝู ท่านจะไปด้วยกันหรือไม่”
ยายตัวร้ายรีบลุกขึ้น “อืม ไปสิ”
…
พระศพของพระสนมฝูถูกรักษาไว้ในห้องน้ำแข็ง ดูท่าทางของจักรพรรดิหยวนจิ่งแล้ว หากคดีไม่ถูกตรวจสอบให้กระจ่าง คงยากที่จะฝังศพของพระสนมฝู
สวี่ชีอันถือป้ายทองมายังห้องน้ำแข็งภายใต้การนำของยายตัวร้ายกับขันทีน้อย ขันทีที่เข้าเวรนำคนเข้าไป
พระสนมฝูถูกคลุมร่างไว้ด้วยผ้าสีขาว นอนอยู่บนไม้กระดานอย่างนิ่งสงบในห้องน้ำแข็งอันหนาวเย็น
ยายตัวร้ายต่อสู้กับความหนาวเหน็บอย่างช้าๆ กระชับเสื้อคลุมขนจิ้งจอกให้แน่นขึ้น
“องค์หญิง ไม่สู้รออยู่ด้านนอกดีกว่าหรือ” สวี่ชีอันทั้งกลัวว่านางจะจับไข้ แล้วพิจารณาว่ายายตัวร้ายน่าจะไม่เคยเห็นศพมาก่อน
ยายตัวร้ายส่ายหน้าอย่างดื้อรั้น “ข้าก็อยากร่วมด้วย ทำบางอย่างเพื่อเสด็จพี่องค์รัชทายาท”
สวี่ชีอันสั่งให้ขันทีเปิดผ้าสีขาวออก จากนั้นสบโอกาสตอนไม่มีใครสนใจจับมืออันอ่อนนุ่มขององค์หญิงเอาไว้ พลังปราณถูกถ่ายโอนเข้าไปอย่างต่อเนื่อง
ร่างบอบบางของยายตัวร้ายแข็งทื่อ สะบัดมือออกโดยไม่รู้ตัวราวกับถูกแมงป่องต่อย
ทว่ามือใหญ่ที่หยาบกร้านและอบอุ่นยังคงจับไว้แน่นเฉกเช่นห่วงเงิน ความเขินทะลักล้นขึ้นมาจากในใจ องค์หญิงรองผู้สง่า ร่างกายแสนมีค่าอันบริสุทธิ์ผุดผ่องของนางเคยถูกชายล่วงเกินเสียที่ไหน
‘ทำไมเขาทำแบบนี้…’ ยายตัวร้ายทั้งอาย ทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ
วินาทีต่อมา กระแสปราณที่อบอุ่นก็ทะลักจากกลางฝ่ามือ ไหลไปตามท่อนขนที่ขาวเนียน ให้ความอบอุ่นแก่มือเท้าและกระดูกทั้งหมด ขับความหนาวจากห้องน้ำแข็งให้สลายสิ้น
นางไม่รู้สึกหนาวขดอีกต่อไป ถึงขั้นอยากบิดขี้เกียจ
เสียงทุ้มต่ำของสุนัขรับใช้ดังขึ้นที่ข้างหู “องค์หญิง ห้องน้ำแข็งหนาวยิ่ง หากท่านไม่ไป ข้าน้อยก็ใช้ได้เพียงวิธีนี้เท่านั้น แม้การสืบคดีจะสำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าเทียบกับร่างอันแสนมีค่าของพระองค์ ก็เทียบไม่ติดสักนิด”
‘เขากุมมือข้าก็เพื่อขับความหนาว…เทียบกับร่างกายของข้าแล้ว การสืบคดีเทียบไม่ติดเลย…’ ยายตัวร้ายชอบฟังถ้อยคำหวาน ในใจจึงไม่ขุ่นเคืองในทันที แต่ยังคงขวยเขิน
นางเหลือบมองสองขันทีตรงหน้าด้วยท่าทางราวเป็นวัวสันหลังหวะ[2] ถ่มน้ำลายเบาๆ แล้วเข้าไปใกล้สวี่ชีอันอย่างแนบเนียน ใช้ประโยชน์จากเสื้อคลุมตัวใหญ่บดบังสายตา คลุมมือของตนที่ถูกกอบกุมเอาไว้
แม่เจ้าโว้ย มือเล็กขององค์หญิงทั้งนิ่ม ทั้งเกลี้ยงเกลา ทั้งอ่อนนุ่มจริงๆ…สวี่ชีอันคิด
จีบหญิงสาวจะต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน ต้องกล้าพุ่งชน หยอกเย้าบ่อยๆ นานวันเข้าความประทับใจก็จะซึมลึกอยู่ในใจของนาง
แน่นอนว่าเหมาะกับหญิงสาวไร้เดียงสาส่วนหนึ่งเท่านั้น หากอีกฝ่ายเป็นรถยนต์ที่เลขหน่วยกิโลสูง ตัวรถแขวนเต็มไปด้วยยางสำรอง เช่นนั้นก็ไม่เหมาะจะใช้การหยอกเย้านี้
วิธีก็แสนง่ายดาย ใช้หน้ารถหรูมีชื่อชนไฟท้ายรถของนางตรงๆ
“ใต้เท้าสวี่ ท่านดูสิ”
ขันทีน้อยเลิกผ้าสีขาวออก ไม่กล้ามองศพพระสนมฝูมากนัก แล้วถอยไปด้านข้าง
สวี่ชีอันคลายมืออันอ่อนนุ่มขององค์หญิง เดินไปที่ข้างศพ มองสำรวจพระสนมที่ประสบเคราะห์ร้ายโดยไม่คาดคิด
นี่เป็นสตรีที่งดงามคนหนึ่ง แม้ใบหน้าที่ซีดเซียวจะทำให้ใบหน้าของนางเสียหาย ทว่าอวัยวะบนใบหน้าก็งามวิจิตรมากทีเดียว สวมเสื้อชั้นเดียวสีขาว รูปร่างปรากฏรอยนูน
สวี่ชีอันยื่นมือไปปลดเสื้อของพระสนมฝู แต่ก็ถูกขันทีน้อยห้ามไว้ แล้วส่ายหน้าด้วยสีหน้าตระหนก “ใต้เท้าสวี่ ไม่ได้…”
ไม่ได้จริงด้วย…ข้ายังอยากผ่าร่างนางอยู่เลย…สวี่ชีอันรู้อยู่แล้ว มองขันทีที่เฝ้าห้องน้ำแข็งพร้อมเอ่ย
“หยิบเอกสารชันสูตรศพและสำนวนคดีให้ข้าดูหน่อย”
ขันทีออกไปทันที ชั่วขณะหนึ่งก็หยิบเอกสารส่งให้สวี่ชีอัน
ไม่มีร่องรอยของการถูกกระทำชำเรา…ข้อมือและแขนปรากฏรอยฟกช้ำ…ยามเสียชีวิตเสื้อผ้าหลุดลุ่ย มีร่องรอยการถูกฉีกขาดอย่างรุนแรง…ยามเสียชีวิตผมสลวยยุ่งเหยิง ซึ่งสอดคล้องกับลักษณะของการขัดขืน…
พยายามกระทำชำเราแต่ไม่สำเร็จ เสียชีวิตจากการตกตึก…สวี่ชีอันวินิจฉัยเบื้องต้น
เมื่อมองลงไปก็เห็นบันทึกที่ไม่สะดุดตาดึงดูดความสนใจของเขา
ยามเสียชีวิตใบหน้าหันขึ้นฟ้า!
หือ? ยามเสียชีวิตใบหน้าหันขึ้นฟ้า?
โดยทั่วไปคนกระโดดตึกฆ่าตัวตายจะหันหน้าลงพื้น ทิ้งตัวกระโดดลง การหันหน้าเข้าหาฝูงชนแล้วหันหลังกระโดดตึกอย่างเกินจริงแบบในละครโทรทัศน์เหล่านั้น อันที่จริงพบไม่บ่อยนัก
ด้วยเหตุนี้หลังจากคนตกตึกตายจะหันหลังให้ฟ้า หน้าจะหันลงพื้น
แน่นอนว่าหากเป็นตึกสูง ระหว่างที่ร่างกายมนุษย์ตกลงมาจะได้รับผลกระทบจากแรงต้านอากาศและแรงลม ซึ่งทำให้พลิกกลับได้
ทว่าตึกที่พระสนมฝูตกลงมา ตามบันทึกของสำนวนคดีมีความสูงเพียงสองชั้นครึ่ง เช่นนั้นยามกระโดดตึกมีลักษณะท่าเป็นแบบใด ส่วนใหญ่ยามตกถึงพื้นก็จะเป็นท่านั้น
ถูกองค์รัชทายาทผลักลงไปงั้นหรือ
นี่ไม่สอดคล้องกับคำตัดสินที่ว่าพระสนมฝูไม่ปรารถนารับความอัปยศจึงกระโดดตึกตาย…เช่นนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะผลักคนตกตึก อืม หากความขุ่นเคืองยังไม่จางหายก็มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงหลังจากเมาสุรา
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวี่ชีอันก็ยื่นมือไปทางศพของพระสนมฝูอีกครั้ง
“ใต้เท้าสวี่! ” ขันทีน้อยห้ามเอาไว้และกล่าวเตือน “จะรบกวนศพของพระสนมฝูไม่ได้”
นี่เป็นผู้หญิงของฝ่าบาท แม้จะเสียชีวิตแล้ว ก็ใช่ว่าข้าราชบริพารจะสามารถล่วงเกินพระศพได้
“ไสหัวไปเสีย” สวี่ชีอันถีบเขาออก “ข้าได้รับสั่งให้สืบสวนคดี นี่ก็ไม่ให้จับ นั่นก็ไม่ให้แตะ เจ้าจะพูดทำหอยอะไร”
หอยหรือไม่พูดดีกว่า นั่นเป็นความเชี่ยวชาญขั้นพื้นฐานที่สุดของสวี่ชีอันเลย
ขันทีน้อยถูกเท้าถีบเช่นนั้น จึงไม่กล้าเปล่งเสียงอีก
สวี่ชีอันยันหลังคอของพระสนมฝูขึ้นและคลำท้ายทอยของนาง สองมือคลำลงไปจนสุดตั้งแต่ไหล่ ไปด้านหลัง จนถึงบั้นท้าย เพราะเนื้อบั้นท้ายที่อวบอัด เขาจำต้องบีบเพื่อคลำหากระดูก
ตามโครงสร้างร่างกายมนุษย์ การหงายหลังตกตึก สิ่งที่สัมผัสกับพื้นก่อนคือส่วนศีรษะและไหล่ แล้วก็ส่วนบั้นท้ายที่นูนออกมาที่สุด
อย่างไรเสียก็เป็นผู้หญิงของจักรพรรดิ มิอาจปลดอาภรณ์ได้ สวี่ชีอันไม่สามารถตรวจสอบเลือดเนื้อส่วนบั้นท้ายว่าได้รับความเสียหายหรือไม่ ทำได้เพียงพิสูจน์ผ่านการสัมผัส
“หงายหลังตกตึกจริงๆ…” เขายืนยันเรียบร้อย
นี่ก็ตัดความเป็นไปได้ที่จะมีคนเคลื่อนย้ายศพและอำพรางที่เกิดเหตุหลังจากเกิดเหตุการณ์กับพระสนมฝู
“เจ้าพบสิ่งใดหรือไม่” ยายตัวร้ายเอ่ยถามทันที
สวี่ชีอันบอกสิ่งที่พบและความคิดของตนกับยายตัวร้าย อันที่จริงก็เล่าให้ขันทีน้อยที่คอยคุมเขาฟังด้วย
“จะบอกว่าพระสนมฝูไม่ได้กระโดดตึกเองหรือ” ยายตัวร้ายจับใจความเนื้อหาออกมาทันที
ยังถือว่าฉลาดอยู่บ้าง…สวี่เอ่ยชม “องค์หญิงทรงปราดเปรื่องยิ่งนัก ใช่ว่าคนทั่วไปจะบรรลุได้”
พอยายตัวร้ายได้ฟังก็ดีใจ
เมื่อออกจากห้องน้ำแข็ง สวี่ชีอันก็ทำความสะอาดมือภายใต้การปรนนิบัติของขันที แล้วพาหลินอันออกไป
“องค์หญิง ฟ้าเริ่มมืดแล้ว วันนี้ตรวจสอบแค่นี้ก่อน วันพรุ่งนี้ข้าค่อยมาใหม่” สวี่ชีอันชำเลืองมองนาฬิกาแดด
ยามเซินหนึ่งเค่อ[3]
ตามระบบของต้าฟ่ง หลังวันวสันตวิษุวัต[4] เวลาออกเวรคือปลายยามเซิน แต่หลังศารทวิษุวัต[5] เวลาออกเวรคือต้นยามเซิน
แม้พิธีเซ่นไหว้ฤดูใบไม้ผลิจะผ่านไปแล้ว แต่วสันตวิษุวัตยังมาไม่ถึง จึงยังคงออกเวรในช่วงต้นยามเซิน ทว่าตอนนี้เวลาเลิกงานล่วงเลยไปประมาณหนึ่งเค่อแล้ว
จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ไม่ให้ค่าจ้างล่วงเวลากับข้าเสียด้วย เลิกงานก็คือเลิกงาน…เขาโบกมืออำลาหลินอัน
…
บัดนี้จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับอยู่ในห้องบรรทม กำลังศึกษาคัมภีร์เต๋าอยู่อย่างออกรส
เมื่อเทียบกับพระราชสาส์นที่น่าเบื่อหน่ายและการบริหารราชการแผ่นดินที่จัดการไม่จบไม่สิ้น คัมภีร์เต๋าที่แฝงด้วยสัจธรรมแห่งความอายุยืนในมือยิ่งทำให้จักรพรรดิหยวนจิ่งโหยหาและหมกมุ่น
สิ่งที่ทำให้มนุษย์ลุ่มหลงที่สุดในโลกคืออะไร
ก็อำนาจไง!
แต่อายุขัยของมนุษย์ธรรมดามีจำกัด ผ่านฤดูร้อนหนาวเพียงไม่กี่สิบปี ถึงแม้มือจะกุมอำนาจ มองกราดอยู่เหนือสี่มหาสมุทร แล้วจะทำอะไรได้
ท้ายที่สุดยังคงต้องแพ้ให้กับเวลาและแปรเปลี่ยนเป็นดินเหลืองกำหนึ่ง
มีเพียงชีวิตอมตะเท่านั้น จึงจะทำให้มนุษย์โหยหา เพราะนี่หมายความว่ามือจะกุมอำนาจไปได้ตลอดกาล
จักรพรรดิหยวนจิ่งวางคัมภีร์ลง หลับตาขบคิด พิจารณาความลี้ลับในหนังสือ จากนั้นก็ยกชาโสมขึ้นจิบ แล้วทอดถอนใจเบาๆ
ถือโอกาสจากช่องว่างนี้ ขันทีใหญ่กราบบังคมทูลรายงาน “ฝ่าบาท สวี่ชีอันออกจากวังแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งครุ่นคิดพักหนึ่งก่อนจะตรัส “วันนี้เขามาทำอะไรในวัง”
อย่างไรเสียก็เพิ่งจะแต่งตั้งสวี่ชีอันเป็นผู้ดำเนินการหลัก จักรพรรดิหยวนจิ่งยังคงสนใจว่าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ จะสืบสวนคดีอย่างไร
ขันทีอาวุโสไปเรียกตัวขันทีน้อยมาทันที แล้วพาเขาเข้ามายังห้องบรรทม
ขันทีน้อยก้มศีรษะคารวะ
จักรพรรดิหยวนจิ่งประทับอย่างหย่อนยาน กวาดสายพระเนตรมองขันทีน้อยอย่างแผ่วเบา “สวี่ชีอันทำอะไรบ้าง คดีมีความคืบหน้าหรือไม่”
ขันทีอาวุโสเอ่ยทันที “เจ้ากราบทูลกับฝ่าบาทอย่างละเอียด อย่าได้ตกหล่น”
……………………………………………….
[1] กินแตงโมรอ เป็นสแลงจีนซึ่งคล้ายคำว่า ‘รอเผือก’ หรือ ‘ปูเสื่อ’ ของไทยที่มักจะใช้เวลามีข่าวประเด็นร้อน
[2] วัวสันหลังหวะ หมายถึง คนมีความผิดคอยหวาดระแวงอยู่เสมอ
[3] ยามเซิน คือช่วงเวลา 15.00 – 17.00 น. หนึ่งเค่อ หนึ่งเค่อ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที ในที่นี้นักเขียนระบุว่าเป็น 15.15 น.
[4] วสันตวิษุวัต เป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืน ถือเป็นวันเปลี่ยนฤดูกาลของประเทศทางซีกโลกเหนืออย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งจะตรงกับวันตรงกับวันที่ 20 หรือ 21 มี.ค.
[5] ศารทวิษุวัต เป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืนเช่นเดียวกับวสันตวิษุวัต ซึ่งซีกโลกเหนือจะย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง ซึ่งจะตรงกับวันตรงกับวันที่ 22 หรือ 23 ก.ย.