ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 235 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (1)
บทที่ 235 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (1)
ขันทีน้อยก้มศีรษะ ก่อนเอ่ย “คุณชายสวี่ไปที่สวนเส้าอินขององค์หญิงหลินอันก่อนครู่หนึ่ง ทั้งสองพูดคุยกันที่ด้านหลังภูเขาจำลองเป็นเวลานาน ช่วงที่ออกมา ขอบตาขององค์หญิงหลินอันดูแดงก่ำ ราวกับเพิ่งผ่านการร้องไห้มาขอรับ…”
พอได้ยินเช่นนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว พลางเอ่ยขัด “พวกเขาทำอะไรอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง”
ขันทีอาวุโสเหลือบมองท่าทีของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็รู้แล้วว่าฝ่าบาททรงไม่พอพระทัย องค์หญิงและฆ้องทองแดงสวี่อยู่ด้วยกันสองต่อสองตรงด้านหลังภูเขาจำลองที่เงียบสงบ หลังจากนั้นองค์หญิงก็เดินออกมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
เรื่องนี้ชวนให้ขบคิดจริงๆ
“บอกความจริงมา” ขันทีอาวุโสกะพริบตาปริบ
“ขอรับ…ในเวลานั้นองค์หญิงหลินอันออกมาพร้อมกับกระบี่ พอฆ้องทองแดงเห็น จึงได้หลบอยู่ที่ด้านหลังภูเขาจำลอง เป็นหนูฉายที่บอกองค์หญิงว่าฆ้องทองแดงสวี่ซ่อนตัวอยู่ที่ภูเขาจำลอง” ขันทีตัวน้อยอธิบายอย่างรวดเร็ว ตัวสั่นด้วยความกลัว ไม่กล้าปิดบัง
ขุนนางอาวุโสมองไปทางจักรพรรดิหยวนจิ่งทันที เห็นว่าแสงอันดุเดือดในดวงตาของฝ่าบาทได้จางหายไปแล้ว เขาหยุดถอนหายใจสักพัก พลางเอ่ย “เจ้าพูดต่อไป”
“หลังจากนั้นใต้เท้าและองค์หญิงเข้าไปในห้อง ไล่หนูฉายออกมาจากห้อง พระองค์และใต้เท้าสวี่คุยกันอยู่ในห้องเป็นเวลาสองชั่วก้านธูป ส่วนเนื้อหาของการสนทนาหนูฉายไม่ทราบขอรับ” ขันทีตัวน้อยพูดมาถึงตรงนี้ สุดท้ายจึงได้แสดงความเสียใจของตนเองออกมาเล็กน้อย
“ไม่ใช่ความผิดของหนูฉาย แต่เป็น…แต่เป็นเพราะท่าทางของใต้เท้าสวี่ช่างแข็งกระด้างยิ่งนัก”
พูดจบ เขาใช้หางตา เหลือบมองจักรพรรดิหยวนจิ่งอย่างระมัดระวัง
ทำให้เขาผิดหวังแล้ว จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่ได้มีท่าทีใดๆ ขันทีน้อยทำได้เพียงแค่เอ่ยต่อไป “หลังจากนั้นใต้เท้าสวี่ได้พาหนูฉายและองค์หญิงหลินอันไปเยี่ยมพระศพของพระสนมฝู
ในกระบวน ใต้เท้าสวี่ต้องการสัมผัสพระศพของพระสนมฝู หนูฉายพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะขัดขวาง แต่ไม่สำเร็จ แถมยังถูกเตะอีก”
เช่นนั้นจะกล่าวได้อยากไรว่าปีศาจน้อยรับมือยาก การเตะนั้นขันทีน้อยจำได้แม่น และรอเวลาที่จะเอาคืนสวี่ชีอันอยู่
เป็นจริงอย่างที่คาดไว้ จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้วมุ่น
ขันทีอาวุโสที่อยู่เคียงข้างเขามาหลายสิบปี ได้เอ่ยถามแทนเจ้าเหนือหัว “สัมผัสอย่างไร”
“สัมผัสซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานขอรับ” ขันทีน้อยเอ่ยตอบ
เขาไม่กล้าพูดเกินจริง เพราะถ้าจักรพรรดิหยวนจิ่งโกรธ แค่ต้องการหาคนมาตรวจสอบและไปหาสวี่ชีอันเพื่อสอบถาม แล้วคำโกหกเกิดช่องโหว่ อาจได้รับความผิดฐานหลอกลวงจักรพรรดิ ขันทีน้อยไม่กล้าทำถึงเพียงนั้น
ขันทีอาวุโสเอ่ยถาม “หลังจากนั้นเล่า”
“หลังจากนั้น…พวกเขาก็จากไปแล้วขอรับ” ขันทีน้อยพูด “แต่ใต้เท้าสวี่บอกกับองค์หญิงหลินอันว่า การเสียชีวิตของพระสนมฝูเป็นเรื่องแปลกขอรับ”
“เรื่องแปลกงั้นหรือ” ในที่สุดจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ทรงตรัสอีกครั้ง ด้วยท่านั่งตัวตรง เอนกายไปข้างหน้าเล็กน้อย พลางจ้องมองขันทีน้อย
“ใต้เท้าสวี่บอกว่า การตกลงมาจากสิ่งปลูกสร้างระดับสูง ตามปกติควรคว่ำหน้าลง ไม่ใช่หงายหลังลง แต่พระสนมฝูเสียชีวิตโดยหงายหลังลง มีความไปได้สูงว่าถูกคนผลักลงไป”
ขันทีน้อยนำการวิเคราะห์ของสวี่ชีอัน กล่าวซ้ำตั้งแต่ต้นจนจบให้จักรพรรดิหยวนจิ่งฟัง
‘ถูกคนผลักลงมาจนตาย…’ จักรพรรดิหยวนจิ่งหรี่ตา มองขึ้นไปบนเพดานพลางครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะตรัส
“ออกไปก่อนเถอะ”
ขันทีน้อยคำนับอำลาและจากไป
ขันทีอาวุโสเอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ประจบ “สวี่ชีอันผู้นี้สมคำร่ำลืออย่างที่คาดไว้จริงๆ นะพ่ะย่ะค่ะ หน่วยตุลาการทั้งสามฝ่ายสืบสวนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวัน ยังไม่อาจแก้ปัญหาได้ แต่ทันทีที่เขามาก็พบเบาะแสในทันที เวลาในการคลี่คลายคดี อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทำเสียงไม่พอใจ “หน่วยตุลาการทั้งทั้งสามฝ่ายใช่ว่าไม่อาจสามารถจัดการกับคดีได้ แค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง ถึงกระนั้นสวี่ชีอันถือว่ามีความสามารถอยู่บ้าง”
เขายังคงพึงพอใจ
หยุดนิ่งไปสักพัก จักรพรรดิหยวนจิ่งจึงเอ่ย “ถ่ายทอดคำสั่งของข้า ให้สำนักราชเลขาธิการร่างพระราชกฤษฎีกา เรื่องคืนยศให้แก่สวี่ชีอัน”
ขันทีอาวุโสรับคำสั่งและออกจากห้องบรรทมไป แต่ไม่ได้ไปสำนักราชเลขาธิการในทันที กลับไปหาขันทีน้อยที่มาดูแลจัดการคดีของสวี่ชีอัน พลางแกว่งแขนตบเขาเสียงดัง ‘ปัง’
“พ่อบุญธรรม?”
ขันทีน้อยปิดหน้าอย่างน้อยใจ
“นี่ใช่เวลาอันสมควรหรือไม่ เจ้ายังคิดจะเล่นตลกกับข้า? เจ้าคิดว่าฝ่าบาทฟังไม่ออกหรือ รู้หรือไม่ว่าตนเองเพิ่งเดินเข้าประตูนรกไปแล้วครั้งหนึ่ง” ขันทีอาวุโสก่นด่าเป็นชุด
“เรื่องของพระสนมฝู ฝ่าบาททรงอารมณ์เสียมากแล้ว เวลานี้เจ้ายังเล่นตลกต่อหน้าฝ่าบาท การที่เจ้าไม่เกิดเรื่องในวันนี้ถือว่าเป็นความโชคดี ข้าให้เจ้าเฝ้าติดตามสวี่ชีอัน เจ้าก็ติดตามแต่โดยดี อย่าได้หาเรื่องใส่ตัว เขาเป็นผู้ที่มีความใกล้ชิดกับตำหนักหลัง ต่างก็เกี่ยวข้องกับพระสนม องค์หญิง และพระราชโอรสทั้งสิ้น เจ้าห้ามมีอดติและมีแนวคิดทางลบแม้แต่น้อย มิฉะนั้นจะเป็นการแทรกแซงต่อพระบัญชาองค์รัชทายาท”
สวี่ชีอันก่อเรื่องอันใดขึ้น ฝ่าบาทจะทรงตัดสินเอง ขันทีน้อยถ่ายทอดความรู้สึกของตนเองออกมา ถือว่าเป็นการแทรกแซงตระกูลขององค์จักรพรรดิ
ขันทีน้อยก้มศีรษะ เอ่ยด้วยความกลัวจนตัวสั่น “ลูกทราบแล้วขอรับ”
ขุนนางอาวุโสส่งเสียง ‘ฮึ’ ในลำคอ “ใต้เท้าสวี่ไล่เจ้าออกมา ถือเป็นการหวังดีต่อเจ้า หากได้ฟังในสิ่งที่ไม่ควรฟังจริงๆ ในวันที่คดีสิ้นสุด คงเป็นช่วงที่เจ้าหัวหลุดออกจากบ่าแล้ว”
ขันทีน้อยตอนแรกยังมึนงง ไม่นานเขาก็เข้าใจ จากนั้นใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นซีดเผือด มีเหงื่อเย็นไหลออกมาจากแผ่นหลัง
ความเกลียดชังที่ตนถูกสวี่ชีอันเตะนั้นมลายหายไปสิ้น
…
ยามพลบค่ำ
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนหลังม้า ลูกม้าตัวเมียสุดรักของเขาวิ่งเหยาะๆ เสียงดัง ‘กุบกับ กุบกับ’ เขาหรี่ตา มุ่งหน้าไปทางแสงแดดสีส้มที่สาดส่อง พร้อมกับฮัมเพลงเบาๆ
“จงเดินในเส้นทางที่ถูกทำนองคลองธรรม ชูธงต้านลม ไม่เที่ยวซ่องโสเภณี ไม่ละโมบมาก เป็นขุนนางที่ดี เจ้าก็จะอยู่ในใจปวงชน…”
ลูกม้าตัวเมียวิ่งเหยาะๆ จนเข้ามาถึงตรอกสำนักสังคีตแล้ว
พอเข้าตรอกมา สวี่ชีอันพลิกตัวลงจากหลังม้า จากนั้นโยนสายบังเหียนให้เด็กรับใช้สวมชุดเขียวที่เฝ้าอยู่ตรงทางเข้าตรอก พลางโยนเม็ดเงินไปให้เขาด้วย
ประตูหออิ่งเหมยปิดสนิท คิดไม่ถึงว่าจะปิดกิจการไปแล้ว?
สวี่ชีอันเหลือบมองแสงวับแวมที่อยู่ทางด้านทิศตะวันตก พลางเอ่ยในใจ ชั่วยามนี้ สำนักสังคีตควรเปิดทำการแล้วนี่นา
‘ปัง ปัง ปัง…’
เขาเงยหน้าขึ้นและเคาะประตูหออิ่งเหมย ไม่นานบานประตูก็เปิดออก ทันทีที่รอยแตกของประตูเปิดออก คนรับใช้สวมชุดเขียวที่อยู่ด้านในเอ่ยขึ้น
“หออิ่งเหมยไม่ต้อนรับแขกแล้ว ท่านโปรดไปที่อื่นเถอะขอรับ…”
ประตูเปิดออก หลังบ่าวรับใช้เห็นสวี่ชีอัน เขามีอาการมึนงงในตอนแรก เอ่ยด้วยน้ำเสียงติดขัด “ท่าน ท่านคือ…”
“ข้าคือสามีสวี่ของเหนียงจื่อพวกเจ้าอย่างไรล่ะ” สวี่ชีอันเลิกคิ้ว
“ผีหลอก!”
คนรับใช้กรีดร้องโดยพลัน ยกเท้ากระโดดถอยหลัง สองขาก้าวห่างออกไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นพบว่าตนเองยังอยู่ที่เดิม เป็นเพราะถูกสวี่ชีอันดึงเสื้อจากด้านหลังไว้
“จะตะโกนโวยวายไปไย ข้ายังมีชีวิตอยู่” สวี่ชีอันยกมืออีกข้างขึ้นมา ใช้ฝ่ามือตบไปที่เขาเบาๆ แต่เกิดเสียงดัง เอ่ยถาม
“ฝ่ามือของข้ายังอุ่นอยู่ใช่หรือไม่”
สัมผัสที่ร้อนรุ่ม บ่าวรับใช้ชุดเขียวถึงเชื่อว่าสวี่ชีอันที่อยู่ตรงหน้ายังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่สงสัยว่าเหตุใดรูปร่างหน้าตาของเขาถึงเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ แถมยังสวมหมวกขนสัตว์อีก
“ท่านกลับมาก็ดีแล้ว ฝูเซียงเหนียงจื่อน้ำตาไหลอาบแก้มทุกวัน หงอยเหงาเศร้าสร้อย แถมยังซูบผอมลงไปมากทีเดียวขอรับ” คนรับใช้รีบสาธยายเพื่อเจ้านายของเขาโดยไว
แม้จะอยากรู้มากถึงการฟื้นคืนชีพของสวี่ชีอัน แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม
“ข้าจะรีบไปรายงานกับนาง บอกว่าท่านกลับมาแล้วเดี๋ยวนี้แหละขอรับ”
“เจ้าบอกกับนางว่ามีแขกมาพบ และถามด้วยว่านางยินดีออกมาดื่มเป็นเพื่อนได้หรือไม่” สวี่ชีอันกล่าว
คนใช้รีบเข้าไปภายในตำหนัก และยืนอยู่ในลานด้านนอกห้องนอนของฝูเซียง ตะโกนเอ่ย “เหนียงจื่อ มีแขกมา และถามท่านว่าจะออกไปดื่มเป็นเพื่อนได้หรือไม่ขอรับ”
ฝูเซียงไม่ตอบ สาวใช้ที่อยู่ภายในห้องเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิออกมา “เหนียงจื่อไม่สะดวก ดื่มเป็นเพื่อนใครไม่ได้ทั้งนั้น ใครใช้ให้เจ้าเปิดประตู เจ้าอยากได้อุ้งเท้าสุนัขงั้นรึ”
สวี่ชีอันกระแอมไอ “ฝูเซียงเหนียงจื่อไม่ยอมอยู่เป็นเพื่อนแขกงั้นหรือ เช่นนั้นข้าคงต้องขอตัวไปก่อน”
ภายในห้องที่เงียบสงัด ต่อมาเสียงที่สั่นคลอนของฝูเซียงดังลอดขึ้น “สวี่หลาง?”
น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนไปอย่างมาก เวลานั้นฝูเซียงยังไม่กล้าที่จะยอมรับ
สวี่ชีอันหัวเราะพลางเอ่ย “เป็นข้าเอง”
เสียง ‘ปึงปัง’ ดังออกมาจากห้องราวกับชนอะไรบางอย่าง ตามด้วยเสียงอุทานของสาวรับใช้ “เหนียงจื่อ ช้าหน่อยเจ้าค่ะ…”
วินาทีต่อมา ประตูห้องถูกเปิดออก เป็นฝูเซียงที่สวมชุดยาวสีขาว
คนหนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา คนหนึ่งยืนอยู่ที่ลานบ้าน ราวเป็นภาพที่หยุดนิ่ง
สวี่ชีอันเอ่ยอย่างจำใจ “ข้างนอกหนาวนัก เจ้ากลับเข้าห้องเถอะ”
จากนั้นฝูเซียงก็ส่งเสียงร้องคร่ำครวญ กระโจนเข้าสู่อ้อมแขนของเขา พลางร้องไห้ด้วยเสียงแหลมชวนเศร้ารันทด
…
“เรื่องที่ผ่านมาก็เป็นเช่นนี้ ข้าไม่เพียงแค่ไม่ตาย ตรงกันข้าม ความโชคดีในความโชคร้าย กลับได้รับผลประโยชน์ค่อนข้างมาก”
สวี่ชีอันนั่งอยู่ที่โต๊ะ พลางดื่มสุราเลิศรสของสำนักสังคีต และหันไปอธิบายกับฝูเซียงถึงต้นสายปลายเหตุที่ตนเองฟื้นคืนชีพ
ฝูเซียงนั่งอยู่บนขอบเตียง กระโปรงแหวกขึ้น เผยให้เห็นขาเรียวยาวคล้ายงูหลามขาว บริเวณน่องขาวผ่องมีรอยฟกช้ำ โดยมีสาวใช้ช่วยทายาขี้ผึ้งให้
นั่นเป็นเพราะเมื่อครู่รีบร้อนวิ่งเกินไป จนไปชนกับบางอย่างเข้า
ตอนนี้อารมณ์ของฝูเซียงสับสนเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแค่ได้รับความสุขที่หายไปกลับคืนมา อีกทั้งยังมีความโศกเศร้าและใจสั่นที่ยากจะปกปิดอีก ในใจมักจะว่างเปล่าอยู่เสมอ
“เพียงแค่นึกถึงเรื่องการเสียชีวิตของสวี่หลาง หัวใจของข้าน้อยก็ยังคงว่างเปล่าไม่คลายเลยเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร สักพักเจ้าก็จะรู้สึกเฉยชาเอง”
เมื่อพระอาทิตย์ตกดิน สาวรับใช้ก็ยกอาหารมาวางเต็มโต๊ะ ทั้งสัตว์ปีกที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า ว่ายอยู่ในน้ำ และคลานอยู่บนพื้นดิน
ทั้งสองนั่งร่ำสุราที่โต๊ะอาหาร พูดคุยสัพเพเหระ ไม่ได้คุยเป็นเรื่องเป็นราว
“อันที่จริงดงบัณฑิตในเมืองหลวงมีปัญญาชนมากมายที่ชื่นชอบสวี่หลาง เมื่อวานสาวรับใช้ถูกแขกจากสำนักสังคีตถามข่าวการตายของท่าน ปัญญาชนเหล่านั้นส่งเสียงทอดถอนใจ และเอ่ยว่าสวรรค์พรากสวี่ชีอัน ถือเป็นการสูญเสียอนาคตกวีแห่งต้าฟ่ง”
“จะว่าไปแล้ว ตอนที่ข้าเผชิญหน้ากับกบฏหลายพันคน ทั้งต่อสู้เพียงลำพังและต่อสู้จนหมดแรงในวันนั้น ความจริงแล้วเคยเขียนกวีบทหนึ่งขึ้นมา” สวี่ชีอันลูบจอกสุรา
ดวงตาของฝูเซียงส่องประกาย มีรอยยิ้มที่สดใสและตั้งตารอปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง “ข้าน้อยใคร่รับฟังผลงานใหม่ของสวี่หลางเจ้าค่ะ”
ข้ามักจะรู้สึกเสมอว่าการเป็นผู้เชี่ยวชาญลอกความเรียงค่อนข้างน่าอาย…คิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะเป็นบุรุษตัวจริง…ในใจสวี่ชีอันคิดเช่นนี้ แต่ช่วงที่ควรเสแสร้ง มักจะทำได้อย่างยอดเยี่ยม
เขาเงียบอยู่สักพัก ทำจิตใจของตนเองให้ผ่อนคลาย เอ่ยอย่างช้าๆ
“อัศวินหนุ่ม ร่วมมือกับเหล่าอัศวิน ปฏิบัติกับผู้อื่นด้วยความจริงใจ ครั้งพบเจออยุติธรรมพลันโกรธจนผมตั้งชัน ยืนขึ้นและพูดคุย ร่วมเป็นร่วมตาย สิ่งที่พวกเราชื่นชมคือความกล้าหาญที่โดดเด่น ดุร้ายและหยิ่งผยอง”
ฝูเซียงมองเขาอย่างคลั่งไคล้ หยดน้ำที่กระเพื่อมในดวงตาคู่สวยเปี่ยมด้วยเสน่ห์และเลือนราง
ได้ลิ้มรสคำนี้ในหัวใจ แม้ว่ามันจะเป็นคำพูดที่ขาดความสมบูรณ์ แต่ภาพของเขาที่ต้องเผชิญหน้ากับกบฏหลายพันคน และเห็นความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิก็แวบเข้ามาในสมอง
นางยิ่งหลงใหลบุรุษผู้นี้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่สามารถถอนตัวได้
“อย่ามัวแต่เหม่อลอย ข้าจะบอกเจ้าว่ามันมีเป้าหมาย” สวี่ชีอันใช้นิ้วเคาะโต๊ะ
“เป้าหมาย?”
ฝูเซียงได้สติกลับคืนมา พลางส่งสายตาที่งงงวย
“ช่วยข้าแพร่กระจายเรื่องนี้ออกไป สำนักสังคีตเหมาะแก่การเผยแพร่เรื่องเกียรติยศเหล่านี้มากที่สุด”
คิดไม่ถึงว่าผู้ตรวจการจางไม่ได้เพิ่มกลอนของเขาลงในอนุสรณ์ ช่างสับสนเสียจริง เป็นผลให้เจ้าหน้าที่และดงบัณฑิตในเมืองหลวงยังไม่ได้อ่านผลงานชิ้นเอกของเขาจนถึงขณะนี้
พวกเขาจะใจร้อนเพียงใดกัน
“โอ้”
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว สาวรับใช้ก็ต้มน้ำร้อน และเตรียมปรนนิบัติสวี่ชีอันเพื่ออาบน้ำ
“พวกเจ้าไปได้” สวี่ชีอันไล่สาวรับใช้ออกไป เหลือแต่ฝูเซียงอยู่ในห้องคนเดียว
รอให้ฝูเซียงสวมชุดผ้าแพรโปร่งและก้าวเข้าไปในอ่าง สวี่ชีอันก็ถอดหมวกออก
ศีรษะล้านเลี่ยนเสมือนไข่ขนาดยักษ์ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
‘พรืด…’
ฝูเซียงอดใจไม่ได้ ระเบิดหัวเราะออกมา ขณะนอนอยู่บนขอบอ่าง ดอกไม้ที่ยิ้มแย้มก็พลอยสั่นสะท้านไปด้วย
มีอะไรน่าขันกัน แม้ว่าข้าจะเปลี่ยนเป็นคนหัวล้าน แต่ข้าก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกันนะ…สวี่ชีอันจ้องมองนาง
คาดว่าผมของเขานั้นต้องใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปีถึงจะกลับมายาวได้ดังเดิม
…
หน้าอกของฝูเซียงราวกับไม่ใช่หน้าอกอีกต่อไป ช่วงที่ศีรษะของสวี่ชีอันวางลงไป มันกลับเปลี่ยนเป็นระลอกคลื่นที่กระแทกกับศีรษะ
หากสวี่ชีอันพลิกตัวอีกครั้ง อาจกลายเป็นคลื่นกระแทกใบหน้า
สองคนที่อาบน้ำเสร็จแล้วนอนอยู่บนเตียง ขณะพูดคุยกันอยู่นั้น ฝูเซียงค่อนข้างเจ็บหน้าอกจนหายใจไม่ออก นางผลักหัวโล้นใหญ่ออกจากอกตนด้วยความโกรธทันที
‘สวบ!’
สวี่ชีอันดีดพลังปราณออกไปเพื่อดับเทียนจนมืดมิด
……………………………………………………..