ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 235-2 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (2)
บทที่ 235 เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท (2)
วันรุ่งขึ้น ภายใต้การปรนนิบัติของนางคณิกา เขาสวมเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวี่ชีอันบอกลาฝูเซียงอย่างอาลัยอาวรณ์จนไม่อยากจากกัน ขอบตาดำคล้ำทั้งสองข้าง
พวกสาวใช้ที่หออิ่งเหมย เมื่อเห็นหลังของสวี่ชีอันก้าวออกจากประตูตำหนักไป ก็มีการกระซิบขึ้นมา
“คุณชายสวี่ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ข้าคิดว่าเตียงในห้องเหนียงจื่อควรเปลี่ยนได้แล้ว”
“ใช่ ตอนนี้นั่งทีก็ส่งเสียงดัง จวนหักอยู่รอมร่อ ช่างลำบากเหนียงจื่อเสียจริง”
“รีบไปต้มน้ำเร็วเข้า เหนียงจื่อคงต้องการอาบน้ำ อีกอย่าง เตรียมยาแก้ไอไว้เสียหน่อย เสียงของเหนียงจื่อคงแหบแห้งไปหมดแล้ว”
เมื่อออกมาจากตรอกหออิ่งเหมย อากาศหนาวเย็นในฤดูใบไม้ผลิ ลมหนาวที่ใกล้เข้ามาทำให้สวี่ชีอันรู้สึกกระปรี้กระเปร่า เขาเดินตรงไปทางคอกม้า
ทันใดนั้น พลันรู้สึกเหมือนเหยียบก้อนเนื้อแข็งๆ บางอย่างใต้ฝ่าเท้าเข้า เมื่อมองลงไป ปรากฏว่ามันคือถุงหอมถุงหนึ่ง
หลังก้าวเข้าสู่ขั้นหลอมวิญญาณ ทักษะอัปเกรดจนเหยียบย่างเป็นถุงหอมได้แล้วหรือ…สวี่ชีอันรู้สึกดีใจเล็กน้อย ก้มลงหยิบขึ้นมาอย่างปกติ ตั้งใจจะเก็บมันไว้ในอกเสื้อ
ทันใดนั้นเขาก็ตกตะลึง
ถุงหอมนี้ เหมือนถุงหอมที่เขาแขวนอยู่ตรงเอวไม่มีผิด การเย็บปักที่ละเอียด ปักลวดลายเป็นรูปต้นสนฝีมือหลิงเยวี่ยทีละเส้นอย่างวิจิตร
ท่านอารอง?
ขณะที่จิตใจล่องลอยอยู่นั้น สวี่ชีอันเห็นชายหนุ่มสวมชุดขงจื๊อวิ่งออกมาจากคอกม้าอย่างรีบร้อน ชายหนุ่มคนนี้มีริมฝีปากสีแดง ฟันขาว ดวงตาสุกสว่างเหมือนดวงดาว มีใบหน้าที่หล่อเหลา เขาได้รับการถ่ายทอดยีนเด่นจากมารดามาอย่างสมบูรณ์แบบ
ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ…สวี่ชีอันคิดในใจ
ดวงตาของชายหนุ่มรูปงามยังคงลอยไปมาอยู่บนพื้น และในที่สุดก็ลอยมาหยุดอยู่ที่สวี่ชีอัน จากนั้นเขาก็ต้องประหลาดใจ
มุมปากของสวี่ชีอันกระตุก พลางยกมือขึ้นทักทาย “อรุณสวัสดิ์”
สวี่เอ้อร์หลางมองเขา พลางขยับริมฝีปาก “อรุณสวัสดิ์”
สองพี่น้องสบตากันเงียบๆ หลังจากนั้นไม่นาน สวี่ชีอันก็เป็นฝ่ายเริ่มทำลายบรรยากาศที่น่าอึดอัดใจ เดินเข้ามา และคืนถุงหอมให้เอ้อร์หลาง
“ระวังหน่อย ยังดีที่ข้าเป็นคนเก็บถุงหอมได้”
สวี่เอ้อร์หลางรับมาอย่างสงบเงียบ พยักหน้าพลางเอ่ย “ขอบคุณพี่ใหญ่”
สองพี่น้องไม่มีเรื่องพูดคุยกันชั่วขณะ ทำเพียงได้แค่เดินเคียงข้างกันไปที่คอกม้า จูงม้าของใครของมัน และเดินออกจากสำนักสังคีตไป
เวลานี้เพิ่งจะรุ่งสาง มีคนเดินอยู่ตามถนนน้อยมาก ยกเว้นคนขายของริมถนนและพ่อค้า
“เมื่อวานอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น…”
“เมื่อวานอยู่กับเพื่อนร่วมร่วมงาน…”
สองพี่น้องโพล่งขึ้นพร้อมกัน
สวี่ชีอันหันกลับไปมองตรอกสำนักสังคีต พลางเหล่มองไปที่น้องชาย แล้วเอ่ย “เพื่อนร่วมชั้นเล่า”
สวี่ซินเหนียนมองไปด้านหน้า เอ่ยอย่างเรียบเฉย “เพื่อนร่วมงานเล่า”
สองพี่น้องไม่มีบทสนทนากันอีกครั้ง
สวี่ชีอันจำได้ว่าเมื่อได้รับการปล่อยตัวจากคุกและกลับบ้าน เพราะ ‘โบราณกาลพันปีคงประดุจรัตติกาลของต้าฟ่ง’ สวี่ซินเหนียนถึงได้ตายตกทางสังคม และละอายใจจนแสร้งทำเป็นสลบไป
มองดูตอนนี้แล้ว อีกฝ่ายถูกเขาบังเอิญพบเข้าที่สำนักสังคีต ทว่าสีหน้ากลับไม่แปรเปลี่ยนไปเลย
ข้าไม่ได้เติบโตเพียงคนเดียว ผิวหน้าของเอ้อร์หลางก็หนาขึ้นมากเช่นกัน…อืม อาจเป็นเพราะข้าตายตกหลายครั้งจนชินกับความตายแล้ว…สวี่ชีอันเห็นตามข้างทางมีส้มเขียวหวานขาย รีบยื้อสายบังเหียนไว้ “หยุดก่อน”
สวี่ซินเหนียนยื้อบังเหียนตามไปด้วย และมองอย่างไม่เข้าใจ
สวี่ชีอันซื้อส้มมาหนึ่งจิน เรียกสวี่ซินเหนียงให้ลงจากม้า ขณะปอกเปลือกและเช็ดเสื้อผ้า ก็ได้เอ่ยไปด้วย
“กลิ่นเครื่องแป้งของพวกเหนียงจื่อสำนักสังคีตแรงเกินไป ใช้น้ำเปลือกส้มกลบเสียหน่อย สตรีที่ไวต่อการรับกลิ่นจึงจะไม่สามารถได้กลิ่น”
สวี่เอ้อร์หลางทำตามอย่างคล่องแคล่วไปด้วย ทั้งคว้าโอกาสที่จะเปิดโหมดปากร้าย เอ่ยเหน็บแนม
“พี่ใหญ่เป็นคนสมองไว ไม่เรียนหนังสือถือว่าน่าเสียดายนัก”
สวี่ชีอันเหลือบมองเขา “เป็นวิธีที่อารองสอนข้ามา”
สวี่ซินเหนียนดูเหมือนไม่อยากกล่าวอะไรอีก เขาก้มศีรษะ ตั้งใจใช้น้ำจากเปลือกส้มกลบเสื้อผ้า
หลังเสร็จการแล้ว สวี่ชีอันนำส้มเขียวหวานส่งให้สวี่ซินเหนียน ก่อนกล่าว “ข้าต้องเข้าไปทำธุระที่วังหลวง เจ้านำส้มกลับบ้านไปก่อน”
เอ้อร์หลางขมวดคิ้วเอ่ย “ทำคดี? เจ้าจะทำคดีอะไรอีก”
“คดีของพระสนมฝู เจ้าคงได้ยินแล้วล่ะสิ จักรพรรดิเฒ่าส่งมอบงานดังกล่าวให้ข้า” สวี่ชีอันอธิบาย
“คดีขยะเช่นนี้ เจ้าจะเข้าร่วมด้วยเหตุใด”
สำนักอวิ๋นลู่มีช่องข่าวกรองพิเศษ เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ไม่สามารถปกปิดตาและหูของสำนักได้
“ข้าหนีไม่พ้นอีกแล้ว”
สวี่ซินเหนียนหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าให้ท่านพ่อทุบตีโดยไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ใช้การรักษาบาดแผลเป็นเหตุผล คดีก็สามารถหลีกหนีได้พ้นไปโดยปริยาย อีกอย่าง คดีนี้สืบยากอย่างแน่นอน”
นึกไม่ถึงว่าเอ้อร์หลางจะเหมาะเดินในเส้นทางเป็นข้าราชการ ระดับความหน้าเนื้อใจเสือนั้นได้มาตรฐานทีเดียว…
สวี่ชีอันเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ความจริงแล้ว คดีในวังหลวงเป็นคดีที่น่าสืบสวนที่สุด”
เพราะยอดฝีมือหลายคนในวังหลวงล้วนเป็นซ่องโจรของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ความสัมพันธ์ที่ฉูดฉาดและซับซ้อนเหล่านั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ คดีของพระสนมฝูน่าจะเป็นคดีที่ ‘ปกติ’ ที่สุดนับตั้งแต่เคยทำมาเมื่อเขาข้ามมายังโลกใบนี้
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า มองไปยังส้มเขียวหวานอย่างรังเกียจ “ส้มเขียวหวานทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด ในบ้านไม่มีใครกินได้หรอก”
“ซื้อมาแล้วจะให้เสียเปล่าไม่ได้ ยกให้หลิงอินกินเสียก็สิ้นเรื่อง”
“เป็นความคิดที่ดี”
…
ศาลต้าหลี่
ปากประตูที่ทำการปกครองอันทันสมัยและดึงดูดใจ สวี่ชีอันที่อยู่บนหลังม้าเหลือบมองไปที่ ‘ศาลต้าหลี่’ ป้ายอักษรทองสามตัวขนาดใหญ่
ศาลต้าหลี่รับผิดชอบตรวจสอบหลักฐานในคุก เทียบเท่ากับศาลประชาชนสูงสุดที่อยู่ในภพก่อนของสวี่ชีอัน ร่วมกับฝ่ายตรวจการและกรมอาญา เรียกว่าตุลาการสามฝ่าย
โดยปกติหากพบคดีที่สำคัญ ฮ่องเต้จะให้ตุลาการสามฝ่ายตรวจสอบหลักฐานเช่นเดียวกับหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล จากเรื่องราวนี้จะเห็นได้ว่าเว่ยเยวียนที่ควบคุมที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและที่ทำการปกครอง จะมีอำนาจยิ่งใหญ่ขนาดไหน
จักรพรรดิหยวนจิ่งแค่ใช้เขาคนเดียว ควบคุมและถ่วงดุลเจ้าหน้าที่พลเรือนกับทหารทั้งกองร้อย
เช่นเดียวกัน นับว่าเป็นโชคดีของสวี่ชีอันยิ่งนัก ประจวบเหมาะที่เขาได้เข้าไปอยู่ในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล และได้รับการชื่นชมจากเว่ยเยวียน จากมือปราบคนหนึ่งในอำเภอฉางเล่อ กลายเป็นบุคคลที่สามารถเดินทางเข้ามาในเมืองหลวงได้
“รีบไปแจ้งแก่ขุนนางศาลต้าหลี่ ให้เขาออกมาพบข้า” สวี่ชีอันชูป้ายทองขึ้น พลางเอ่ยกับเจ้าหน้าที่รักษาการที่ทำการปกครองซึ่งพุ่งตัวออกมารับหน้า
“หากเขาไม่ออกมา ข้าจะเข้าพระราชวังกราบทูลฝ่าบาทว่าเขาจงใจขัดขวางการดำเนินการของคดี”
เจ้าหน้าที่ได้ยินเช่นนั้นจึงรีบกลับเข้าไปอย่างเร่งรีบ
สิบห้านาทีต่อมา ขุนนางศาลต้าหลี่พาขุนนางระดับเล็กสองท่าน และเจ้าหน้าที่กลุ่มหนึ่งของศาลต้าหลี่ออกมาทักทาย
“ใต้เท้าสวี่ ขออภัยที่ไม่ได้ออกมาต้อนรับ ขออภัยจริงๆ ขอรับ” ขุนนางศาลต้าหลี่หัวเราะแหะๆ ออกมา
สวี่ชีอันลงมาจากหลังม้า ทักทายอย่างกระตือรือร้น “ไอหยา จะรบกวนใต้เท้าให้ออกมาเองได้อย่างไร ข้าน้อยรู้สึกละอายใจ ละอายใจยิ่งนัก”
สวี่ชีอันให้ขุนนางศาลต้าหลี่ออกมาเข้าพบ แค่อยากทำให้เขาลำบากใจ เพื่อทำให้เขาเสียหน้า หนึ่งในขุนนางระดับเก้าผู้องอาจ ออกมาเข้าเฝ้าฆ้องทองแดงตัวเล็กๆ ถึงหน้าที่ทำการปกครอง ช่างเสียหน้ายิ่งนัก…ทุกคนมีวันหยุด เหตุใดจึงไม่ใช้โอกาสนี้ใช้อำนาจกลั่นแกล้งเสียเล่า
“เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้ว เป็นสิ่งที่ควรทำอยู่แล้วขอรับ”
ขุนนางชวนสวี่ชีอันเข้าไปด้านใน พร้อมเอ่ย “ใต้เท้าสวี่กลับมาได้เวลาพอดี คดีของพระสนมฝูเป็นของท่านแต่เพียงผู้เดียว แต่ว่าข้าขอเตือนใต้เท้าสวี่เสียหน่อย คดีนี้อันตราย อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเลยขอรับ”
นี่กำลัง มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
คดีของพระสนมฝู หากสืบต่ออาจกลายเป็นการล่วงเกินองค์รัชทายาท แต่ไม่ได้เป็นการล่วงเกินจักรพรรดิหยวนจิ่งเสียหน่อย
อย่างน้อยข้าก็ได้เปลี่ยนฐานันดรศักดิ์ นับประสาอะไรกับการล่วงเกินจักรพรรดิเฒ่า…สวี่ชีอันหัวเราะหึๆ ในลำคอก่อนกล่าวต่อไป
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร ก่อนตกหลุมพราง จะต้องพาตาแก่ที่ขัดตาเหล่านั้นไปด้วยอย่างแน่นอน อีกอย่าง มีป้ายทองอยู่ในมือ อำนาจที่ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลังนี้ ไม่ใช้ก็น่าเสียดายเปล่า”
ขุนนางศาลต้าหลี่หรี่ตา “ใต้เท้าสวี่ช่างเป็นคนช่างพูดช่างจาเสียจริงนะขอรับ”
“ใต้เท้าสวี่มาศาลต้าหลี่ในครั้งนี้ มาเพื่อองค์รัชทายาทงั้นหรือ? ”
“ถูกต้อง”
…
สวี่ชีอันเห็นองค์รัชทายาทอยู่ใน ‘ห้องขัง’ ถึงแม้จะเรียกว่าห้องขัง แต่ความจริงแล้วเป็นห้องที่สะอาดและเป็นระเบียบห้องหนึ่ง การประดับตกแต่งไม่ต้องหรูหรา แม้จะไม่ใหญ่โตมากมาย แต่ก็สมบูรณ์แบบ
องค์รัชทายาทถูกคุมขังอยู่ในห้อง ห้ามออกมาจนกว่าการสืบคดีจะคลี่คลาย
สมกับเป็นองค์รัชทายาท การถูกคุมขังจึงแตกต่างจากคนทั่วไป…สวี่ชีอันคิดในใจ
หลังรอให้เจ้าพนักงานปิดประตูออกไปแล้ว เขาคารวะก่อนเอ่ย “ข้าน้อยสวี่ชีอัน ขอเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทขอรับ”
“เจ้าคงมาตรวจสอบข้ากระมัง ท่านพ่อให้เจ้าเป็นหัวหน้าคดีนี้แล้วสินะ?” องค์รัชทายาทนั่งอยู่ที่โต๊ะ กำลังประเมินสวี่ชีอันอยู่
“ตุลาการทั้งสามฝ่ายหลีกเลี่ยง ไม่ยอมเข้ามาแทรกแซงเรื่องนี้ จึงโยนเผือกร้อนมาให้ข้าก็เท่านั้น อีกอย่าง บรรดาคนที่ข้าได้ล่วงเกินมีมากมายเกินพอแล้ว” สวี่ชีอันยักคิ้ว นั่งลงที่โต๊ะ แล้วรินน้ำให้ตนเองแก้วหนึ่ง
การกระทำเหล่านี้ล้วนอยู่ในสายตาขององค์รัชทายาท
“เชิญองค์รัชทายาทเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ในวันนั้นโดยละเอียดด้วยขอรับ”
องค์รัชทายาทพยักหน้าเบาๆ สักพักจึงเอ่ยอย่างช้าๆ “วันนั้นข้ารับอาหารกลางวันที่ตำหนักของเสด็จแม่ หิมะยังไม่ทันละลาย ข้าก็พาองครักษ์กลับตำหนักบูรพา ระหว่างทางพบข้าหลวงที่ดูแลพระสนมฝูนางหนึ่ง ข้าหลวงนางนั้นบอกว่า พระสนมฝูเชิญข้าให้ไปพบ
“ข้าเดินตามนางไปยังพระที่นั่งชิงเฟิง ซึ่งเป็นห้องบรรทมของพระสนมฝู หลังจากเข้าไปภายในพระที่นั่งชิงเฟิงแล้ว ข้าหลวงก็พาข้าขึ้นไปบนห้องใต้หลังคา ให้ข้าคอยอยู่ด้านนอก บอกว่าพระสนมฝูกำลังผลัดเปลี่ยนอาภรณ์อยู่
“ตอนนั้นข้าดื่มสุราไปมาก ทำให้คอแห้งเป็นผง จึงดื่มชาบนโต๊ะเพื่อดับกระหาย ไม่รู้ว่าผล็อยหลับไปได้อย่างไร
“จากนั้นก็ถูกเสียงกรีดร้องปลุกให้ตื่น คิดไม่ถึงเลยว่าพระสนมฝูจะตกลงจากที่สูงจนตาย กระทั่งข้าได้กลายเป็นผู้ต้องสงสัยในที่สุด”
สวี่ชีอันไม่ได้มีท่าทีอะไร ยังคงเอ่ยถาม “ตอนนั้นห้องใต้หลังคาไม่มีนางข้าหลวงอยู่หรือขอรับ?”
“นอกห้องไม่มี แต่ภายในไม่รู้”
“แล้วข้าหลวงนางนั้นเล่า?”
“หายไปแล้ว”
หายไปแล้วงั้นหรือ…ดวงตาของสวี่ชีอันฉายแสงคมชัด แขนของเขาวางอยู่บนโต๊ะ จ้ององค์รัชทายาทเขม็ง “องค์รัชทายาททรงรู้ได้อย่างไรว่านางข้าหลวงผู้นั้นหายไปแล้ว”
ช่วงเวลานั้น คิดไม่ถึงเลยว่าองค์รัชทายาทจะถูกรัศมีอันแหลมคมจากฆ้องทองแดงตัวน้อยผู้นี้ทำให้ตกใจกลัว
“แม้ตัวข้าจะอยู่ในคุก แต่ก็สามารถหาวิธีสอบถามเรื่องที่อยู่ภายนอกได้” องค์รัชทายาทเผยสีหน้าเย็นชา พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาหงุดหงิดกับความตกใจของตนเองเมื่อครู่นี้
เชื่อมโยงกับช่วงที่องค์รัชทายาทเห็นท่าทีที่สงบของตนเอง สวี่ชีอันเชื่อคำพูดของเขาแล้ว
“ปกติพระสนมฝูมีปฏิสัมพันธ์ส่วนตัวใดๆ กับองค์รัชทายาทหรือไม่ขอรับ” สวี่ชีอันถาม
“แน่นอนว่าไม่”
องค์รัชทายาทปฏิเสธท่าเดียว ในฐานะที่เป็นคนของตำหนักบูรพา เป็นไม่ได้ที่จะไม่มีปฏิสัมพันธ์เป็นการส่วนตัวกับพระสนมของจักรพรรดิ
“เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระสนมฝูจึงส่งคนมาเชิญองค์รัชทายาท ท่านไม่ฉุกคิดเอะใจแม้แต่นิด ทั้งยังไปตามนัดหมายเสียอย่างนั้น” สวี่ชีอันกล่าวแทงใจดำ
“ข้า…แน่นอน เป็นเพราะดื่มมากเกินไป ไม่ทันคิดไตร่ตรอง” องค์รัชทายาทมีสีหน้าที่ผิดปกติเล็กน้อย
ถุย ไม่ใช่เพราะละโมบในเรือนร่างของผู้อื่นหรอกหรือ
ความจริงแล้วในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นบุรุษ ย่อมเข้าใจความคิดขององค์รัชทายาทดี ฝูเฟยเป็นสตรีที่สวยทั้งหน้าตาและอุปนิสัย ภายภาคหน้าองค์รัชทายาทไม่จำเป็นต้องภวังค์
บังเอิญสุราที่เขาดื่มไปเป็นจำนวนมากในวันนั้น ยังเป็นสุราที่เสริมกำเนิดหยางพลังร้อนและบำรุงไต…คนที่มีประสบการณ์ดื่มมาแล้วต่างก็รู้กันดีว่า พฤติกรรมเหล่านั้นทำให้คนหยิ่งผยอง เรื่องที่ปกติไม่กล้าทำ ตอนนี้กลับกล้าที่จะทำมัน
คำพูดที่ปกติไม่กล้าพูด แตะริมฝีปากนิดหน่อยก็เปิดเผยออกมา
บังเอิญว่าขณะนั้นได้รับการเชื้อเชิญจากพระสนมฝู ไม่ว่าจะมีการเชื้อเชิญจริงหรือไม่ เพียงสมองสั่งการ ร่างกายก็สนองตอบแล้ว…
“ฟังดูแล้ว เหมือนจะมีคนจัดฉากให้องค์รัชทายาทนะขอรับ” สวี่ชีอันวิเคราะห์พลางเอ่ย
“เป็นธรรมดาที่จะมีคนวางแผนทำร้ายข้า ใต้เท้าสวี่ก็คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่” องค์รัชทายาทถอนหายใจอย่างโล่งอก
“เปล่า เปล่าเลย การทำคดีไม่สามารถมองในแง่มุมนี้เพียงทางเดียว ข้าเพียงลองพูดถึงความเป็นไปได้ ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่เป็นไปได้” สวี่ชีอันใช้ฝ่ามือยันกับโต๊ะ แล้วเอนกายเข้าไปใกล้องค์รัชทายาท พลางเอ่ยโดยเน้นทีละคำ
“วันนั้นองค์รัชทายาทดื่มมากเกินไป สติหลุดลอย อดไม่ได้ที่จะนึกถึงพระสนมฝูที่หมายปองมานานแล้ว ในทางกลับกันฝ่าบาทลุ่มหลงในการบำเพ็ญตน ไม่เข้าใกล้สตรี เมื่อความปรารถนาขององค์รัชทายาทถึงจุดขีดสุด จึงบังเกิดความกล้า กลับไปที่พระตำหนักชิงเฟิง และพยายามทำให้พระสนมฝูมีมลทิน คิดไม่ถึงว่าพระสนมฝูจะไม่ยอมเชื่อฟังแต่โดยดี ซ้ำยังขัดขืน ในระหว่างที่ต่อสู้กันนั้น ท่านสูญเสียการควบคุม จึงพลั้งมือผลักนางตกลงมาจนเสียชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นท่านก็ส่งคนไปลอบกำจัดข้าหลวงนางนั้น เพื่อสร้างเรื่องว่าท่านถูกใส่ร้าย”
“เหลวไหล!”
องค์รัชทายาทตบไปที่โต๊ะ ท่าทางโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “สวี่ชีอัน เจ้ากล้าพูดให้ร้ายข้า เจ้ากล้าใส่ความข้า”
“องค์รัชทายาททรงระงับโทสะลงก่อน นี่เป็นเพียงการคาดเดาของกระหม่อม ความจริงเป็นเช่นไร ยังคงต้องสืบหาหลักฐานกันต่อไป” รอยยิ้มของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความชมเชย
จุ๊จุ๊…ความฉลาดขององค์รัชทายาทยังคงมีไม่มาก เป็นเพราะสนใจในตำแหน่งมากเกินไปหรือ การควบคุมอารมณ์ในระดับนี้ ในอนาคตจะเป็นจักรพรรดิได้อย่างไร
องค์รัชทายาทและหลินอัน สองพี่น้องคู่นี้ต่างก็ไม่ใช่คนที่ฉลาด สวี่ชีอันเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งให้โอรสองค์โตรับตำแหน่งเป็นองค์รัชทายาทอาจมีความหมายแอบแฝง
หลังรอให้องค์รัชทายาทใจเย็นลง สวี่ชีอันเอ่ยถามอีกว่า “โหรของสำนักโหราจารย์เคยเข้าเฝ้าองค์รัชทายาทหรือไม่ขอรับ”
“เรื่องนี้แทรกแซงถึงข้า แทรกแซงถึงพระสนมฝู แทรกแซงถึงเมืองต้าฟ่ง เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะเชื่อโหรของสำนักโหราจารย์หรือ” องค์รัชทายาทหัวเราะเสียงเย็นพลางถามกลับ
สวี่ชีอันพยักหน้า อยู่เมืองหลวงมาตั้งนานแล้ว เขาสามารถมองวิธีการออกอยู่บ้าง
แม้สำนักโหราจารย์ต้องการที่จะพึ่งพาชนชั้นเจ้าและโชคชะตาของราชวงศ์ แต่สิ่งนี้สามารถเห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าตั้งแต่การเลื่อนขั้นฉู่ไฉ่เวยไปสู่ระดับหกเพื่อต้องการทำให้ชาวเมืองหลวง ‘ยอมรับ’
แต่ความจริงแล้ว ท่านโหราจารย์ระดับหนึ่งถือว่าแข็งแกร่งยิ่งนัก ดังนั้นสำนักโหราจารย์จึงไม่ใช่ข้าราชบริพารที่บริสุทธิ์ แต่เป็นความสัมพันธ์ที่เหมือนคู่ค้ากับต้าฟ่งมากกว่า
สามารถแทรกแซงถึงคดีขององค์ชายรัชทายาท จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่อาจไว้วางใจสำนักโหราจารย์ และสำนักโหราจารย์ก็ไม่จำเป็นต้องเต็มใจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องวุ่นวายเช่นนี้
“ข้าน้อยยังต้องการตรวจดูร่างกายขององค์รัชทายาท หวังว่าท่านจะให้ความร่วมมือ”
สวี่ชีอันจับมือขององค์รัชทายาท ตรวจสอบข้อมือ แขน สุดท้ายเป็นบริเวณลำคอของเขา…ไม่มีทั้งรอยเล็บและรอยขีดข่วน
“ข้าน้อยจะรีบสืบหาความจริงให้เร็วที่สุด หากองค์รัชทายาทถูกใส่ร้าย จะทวงคืนความบริสุทธิ์ให้กับท่านอย่างแน่นอน” สวี่ชีอันลุกขึ้นยืนแล้วโค้งคารวะ
“เดี๋ยวก่อน!”
องค์รัชทายาทตะโกนหยุดเขาไว้ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ช่วงนี้ใต้เท้าสวี่และหลินอัน ใกล้ชิดสนิทสนมกันเกินไปหรือไม่”
…………………………………………………..