ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 238 สวี่ผิงจื้อ ‘พวกเจ้าสองคนรอข้าก่อน’
บทที่ 238 สวี่ผิงจื้อ ‘พวกเจ้าสองคนรอข้าก่อน’
“เพียงหนึ่งปี ไม่รู้ว่าเหตุใดเสด็จพ่อถึงโกรธได้เพียงนี้ เขาขังเสด็จแม่ไว้ในตำหนักเย็น ถึงขั้นจะปลดฮองเฮา แต่ก็ถูกเหล่าข้าราชบริพารตักเตือน เวลานั้นข้ายังจำความไม่ได้” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งกล่าวอย่างจนใจ
“แม้ว่าปีต่อมาเสด็จแม่จะออกจากตำหนักเย็น แต่เสด็จพ่อก็ไม่เคยเสด็จไปยังห้องบรรทมของเสด็จแม่อีกเลย เสด็จพี่สี่ก็เจอกับการปฏิบัติอย่างเย็นชา ส่วนข้าก็ไม่เคยได้รับความรักจากเสด็จพ่อมาตั้งแต่เด็ก ความจริงเฉินกุ้ยเฟยเป็นคนขี้อิจฉาและจิตใจคับแคบ แม้ว่าต่อมาพระราชโอรสองค์โตจะถูกแต่งตั้งเป็นองค์รัชทายาท แต่นางก็ยังไม่วางใจและมองว่าข้ากับเสด็จพี่สี่เป็นศัตรูเสมอ นี่ไม่ใช่มุมมองที่คับแคบของข้า อีกอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดหลินอันถึงไม่ถูกกับข้า”
สวี่ชีอันฉุกคิดขึ้นในใจ “เฉินกุ้ยเฟยยุยงหรือ”
ฮว๋ายชิ่งพยักหน้าช้าๆ “หลินอันได้รับความโปรดปรานจากเสด็จพ่อและทรงตามใจนางในทุกๆ ด้าน ในช่วงสองสามปีแรก เฉินกุ้ยเฟยกังวลว่าตำแหน่งองค์รัชทายาทจะไม่มั่นคง จึงมักจะยุยงหลินอันให้ท้าดวลกับข้าเพื่อทำให้ข้าอับอาย”
หลินอันผู้น่าสงสารต้องถูกเจ้ารังแกอย่างหนักเป็นแน่…แม้ว่าหลินอันจะเป็นคนท้าดวล แต่สวี่ชีอันก็ยังรู้สึกเสียใจกับหลินอัน ไม่ใช่เพราะชื่นชอบยายตัวร้าย ภรรยาหลวงภรรยาน้อย คนนั้นก็ลูก คนนี้ก็ลูก
เพียงแค่รู้สึกว่าด้วยตำแหน่งของยายตัวร้าย นางคงถูกฮว๋ายชิ่งรังแกจนตาย
คิดอีกที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่เฉินกุ้ยเฟยต้องการ ยิ่งนางรู้จักลูกสาวของตัวเอง ก็ยิ่งทำให้นางไปยั่วยุ นี่ถึงจะบรรลุผล
ลองคิดดูว่า จักรพรรดิหยวนจิ่งโปรดปรานหลินอัน แต่นางถูกฮว๋ายชิ่งรังแกจนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่เกลียดชังฮว๋ายชิ่งหรือ
“เหตุผลที่ฝ่าบาทจะปลดฮองเฮาคืออะไรหรือ” สวี่ชีอันถาม
“ไม่มีเหตุผล ด้วยเหตุนี้ท่านจึงถูกกลุ่มขุนนางตักเตือน” ฮว๋ายชิ่งส่ายหน้า
การปลดฮองเฮากับการปลดองค์รัชทายาทเหมือนกัน เป็นทั้งเรื่องในครอบครัวของจักรพรรดิและเรื่องใหญ่ระดับชาติ ชนชั้นทหารไม่อาจหย่าร้างกับภรรยาได้ง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นถึงฮองเฮา พระมารดาของแผ่นดินอีก
ไม่มีเหตุผล เหล่าข้าราชบริพารจะยินยอมให้จักรพรรดิหยวนจิ่งปลดฮองเฮาได้อย่างไร
แต่หากไม่มีเหตุผล จักรพรรดิหยวนจิ่งอยู่ๆ จะโกรธและอยากปลดฮองเฮาหรือ
เบื้องหลังจะต้องมีเงื่อนงำอยู่เป็นแน่
“เรื่องนี้เกิดขึ้นในปีหยวนจิ่งที่เท่าไหร่หรือขอรับ” เมื่อสวี่ชีอันถามจบ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองละลาบละล้วงเกินไปจึงกล่าวเสริมว่า “อาจจะเกี่ยวข้องกับคดีพระสนมฝู…อะ ไม่ใช่นะขอรับ กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจจะสงสัยฮองเฮานะขอรับ”
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งหันมามองเขาและเอ่ยเรียบๆ “หากเจ้าสงสัยก็ถามมาตรงๆ มีเหตุผลอะไรมากมายเช่นนั้น”
สวี่ชีอันอับอายเล็กน้อย
“ปีหยวนจิ่งที่สิบสาม” ฮว๋ายชิ่งละสายตากลับ นางมองออกไปไกลๆ และกล่าวว่า “ส่วนเหตุผล ข้าไม่รู้เลย แม้ว่าภายหลังข้าจะถามเสด็จแม่อยู่หลายครั้ง แต่ท่านก็ไม่ตอบ”
ปีหยวนจิ่งที่สิบสาม คุ้นหูเล็กน้อย…สวี่ชีอันพยักหน้า “ขอบพระทัยองค์หญิงที่บอกกระหม่อม”
เดิมทีข้าคิดว่าจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่แต่งตั้งพระราชโอรสสี่เพราะองค์รัชทายาทค่อนข้างโง่เขลา แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเบื้องหลังจะมีเหตุผลที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้น จริงสิ แม้ว่าองค์รัชทายาทจะไม่ฉลาดนัก แต่พระราชโอรสสี่จะดีได้สักเพียงใด…อืม ไม่อาจตัดความเป็นไปได้ที่พระราชโอรสสี่จะซ่อนพลังไว้…ค่อยกลับไปถามเว่ยกง ด้วยสายตาอันร้ายกาจของเขา เขากล่าวว่าพระราชโอรสสี่เป็นอย่างไร พระราชโอรสสี่ก็เป็นอย่างนั้น
หลังจากเดินไปไม่กี่ก้าว จู่ๆ ฮว๋ายชิ่งก็พูดขึ้นมาว่า “เหตุใดวันนี้ถึงรีบจบ ด้วยความสามารถของเจ้า คงไม่ถึงกับต้องกลับบ้านเพื่อ ‘ไตร่ตรอง’ หรอกกระมัง”
สวี่ชีอันรู้สึกว่า ฮว๋ายชิ่งค่อนข้างตรงไปตรงมากับเขา ดังนั้นเขาก็ควรตรงไปตรงมาเช่นกัน จะได้เอื้อต่อการรักษาความสัมพันธ์อันดี
“กระหม่อมเพียงแค่อยากถ่วงเวลาก็เท่านั้น” สวี่ชีอันกล่าว
“ถ่วงเวลาหรือ” ฮว๋ายชิ่งขมวดคิ้ว
“ใช่ขอรับ” สวี่ชีอันได้กลิ่นตัวจางๆ จากองค์หญิงใหญ่และกล่าวอย่างจนใจ
“ข้าน้อยทำให้คนจำนวนมากขุ่นเคืองในคดีซังผอกับคดีอวิ๋นโจว ฝ่าบาทก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน เดิมทีฝ่าบาทตั้งใจจะแต่งตั้งข้าให้ดำรงตำแหน่งจื่อ แต่เพราะข้าน้อยฟื้นคืนชีพจึงยกเลิกไป ภายหลัง ฝ่าบาทรับปากว่าขอเพียงข้าตั้งใจสืบสวนคดีของพระสนมฝู ฝ่าบาทก็จะแต่งตั้งข้าให้ดำรงตำแหน่งจื่อแห่งอำเภอฉางเล่ออีกครั้ง”
ข้ายากลำบากจริงๆ
“เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะผิดคำสัญญาหรือ” องค์หญิงฮว๋ายชิ่งเห็นด้วย “แผนนี้ไม่เลว หากไม่แต่งตั้งบรรดาศักดิ์ เจ้าก็ถ่วงเวลาไปอีกหนึ่งวัน”
สวี่ชีอันมองนางอย่างคาดไม่ถึง สมกับที่เป็นลูกศิษย์ของเว่ยเยวียน ความคิดตรงกันมาก
ที่กล่าวกันว่ากษัตริย์ตรัสคำไหนคำนั้น ไม่ได้หมายความว่าจักรพรรดิจะไม่พูดโกหก แต่เป็นการอธิบายถึงนโยบายแห่งชาติกับพระราชโองการที่จักรพรรดิสั่งลงมา
ดังนั้นหากจักรพรรดิหยวนจิ่งไม่แต่งตั้งบรรดาศักดิ์หนึ่งวัน สวี่ชีอันก็จะถ่วงเวลาไปหนึ่งวัน เพื่อหลีกเลี่ยงจักรพรรดิชั่วไม่รักษาคำพูด
“นี่ก็สายแล้ว กระหม่อมขอตัวกลับจวนก่อน” สวี่ชีอันชำเลืองมองท้องฟ้า กลับจวนตอนนี้ เขาน่าจะยังทันอาหารกลางวัน
“อืม” ฮว๋ายชิ่งพยักหน้า
…
อีกด้านหนึ่ง ห้องบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่ง
ก่อนมื้อกลางวันครึ่งชั่วยาม จักรพรรดิหยวนจิ่งที่นั่งสมาธิเสร็จกลับมายังห้องบรรทม คนสนิทวิ่งเข้ามาอย่างชื่นมื่นและกล่าวด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“ฝ่าบาท คดีพระสนมฝูมีความคืบหน้าอย่างใหญ่หลวง มีความคืบหน้าอย่างใหญ่หลวงขอรับ”
จักรพรรดิหยวนจิ่งตกตะลึง เขาแสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาทันทีและเอ่ยเสียงต่ำ “ว่ามา”
ขันทีชราเล่าข้อมูลที่ขันทีน้อยมารายงานให้จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังโดยไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว จักรพรรดิหยวนจิ่งฟังเงียบๆ และไม่ได้แสดงท่าทีใด
“ฝ่าบาท…” ขันทีชราก้มหน้าเชื่อฟัง “กระหม่อมขอบังอาจถามสักประโยค องค์รัชทายาทถือว่าบริสุทธิ์หรือไม่”
จักรพรรดิหยวนจิ่งส่ายหน้าเบาๆ “ยังเร็วเกินไป…เพียงแค่สองวันก็สืบหาบริบทของคดีได้ สวี่ชีอันเป็นคนมีพรสวรรค์จริง แต่วิตกกังวลมากไปหน่อย”
เขาแค่นเสียงเย็นออกมา “ไปเร่งสำนักราชเลขาธิการให้ร่างพระราชกฤษฎีกาโดยเร็วที่สุด ไม่จำเป็นต้องเลือกวันมงคล”
คราวก่อนเขาให้ขันทีชราไปส่งพระราชกฤษฎีกาที่สำนักราชเลขาธิการ สำนักราชเลขาธิการรับไป แต่ก็ใช้เหตุผลว่าช่วงนี้ไม่มีวันมงคลมาถ่วงเวลา
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
…
อารองสวี่ที่รับผิดชอบลาดตระเวนยามกลางวันถือหมวกเกราะกลับมาที่จวน ดาบพกที่แขวนอยู่บนหลังส่ายไปมาตามการก้าวย่างของเขา
ช่วงกลางวันมีเวลาพักผ่อนครึ่งชั่วยาม สวี่ผิงจื้อที่เป็นหัวหน้ากองร้อยจะกลับมารับประทานอาหารที่จวนในเวลานี้และดื่มชาไปด้วย
ในครัวยังคงยุ่งอยู่กับอาหารมื้อกลางวัน อาสะใภ้ปลูกดอกคลีเวียที่ซื้อมาใหม่อยู่ในสวนด้านหลัง นางสวมชุดผ้าแพรสีฟ้าอ่อนและกระโปรงยาวสีเดียวกัน บนกระโปรงปักลวดลายซับซ้อน
เมื่อนางโน้มตัวไปปลูกดอกกล้วยไม้ก็เผยให้เห็นเอวที่เรียวบางและสะโพกที่อวบอิ่ม
อารองสวี่ถือหมวกเกราะยืนอยู่ไม่ไกลและกระแอม “ฮูหยิน ข้าหิวแล้ว เจ้าไปเร่งห้องครัวให้หน่อย”
อาสะใภ้ก้มหน้าก้มตาปลูกดอกไม้และไม่สนใจเขา
“ฮูหยิน”
“ตะโกนทำไม” อาสะใภ้กล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “คืนนี้ใต้เท้าสวี่จะไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมงานและไม่กลับมิใช่หรือ”
อารองสวี่ชะงัก “ฮูหยินเจ้ากำลังพูดถึงอะไร”
อาสะใภ้ปลูกดอกคลีเวียต้นสุดท้ายและปัดมือ นางเท้าเอวและยิ้มอย่างเย็นชา
“มีคำกล่าวว่าอย่างไรนะ ใช่ เลือดย่อมข้นกว่าน้ำ หลานชายสุดที่รักของเจ้ารวยแล้วก็ไม่ลืมเจ้า ข้ารู้ว่าเขาแอบยัดเงินให้เจ้า”
อารองสวี่ได้ยินก็ตกตะลึงและคิดในใจว่า ‘เรื่องที่ต้าหลางยัดเงินให้ข้าก็ผ่านมานานมากแล้ว เป็นก่อนที่เขาจะไปอวิ๋นโจว เหตุใดคดีเก่านี้จึงถูกคุ้ยออกมาอีก’
“มีที่ไหนล่ะ เมื่อวานต้าหลางเพิ่งโผล่ออกมาจากโลงศพและออกไปข้างนอกในวันนั้น ดึกดื่นก็ไม่กลับห้อง จะเอาเวลาไหนมายัดเงินให้ข้า”
อารองสวี่ไม่ยอมรับอย่างแน่นอนและก็จะไม่ยอมรับเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นเรื่องที่สมมติขึ้นมาอีก
เมื่ออาสะใภ้ได้ยินก็ฉุนเฉียว นางเลิกคิ้วและพูดเสียงดัง
“สวี่ผิงจื้อ เจ้าคิดจะนำเงินส่วนตัวห้าสิบตำลึงแอบไปเที่ยวหอนางโลมจริงๆ สินะ เมื่อเช้านี้เอ้อร์หลางบอกกับข้าว่าสวี่หนิงเยี่ยนแอบยัดเงินห้าสิบตำลึงให้เจ้า ข้าคิดว่าหากเจ้ายอมรับ ข้าก็จะปล่อยไป ไม่นึกว่าเจ้าจะคิดเก็บซ่อนไว้จริงๆ เจ้าไม่ยอมรับสินะ เอ้อร์หลางจะโกหกข้าหรือ สวี่ผิงจื้อเจ้ามันคนไม่มีมโนธรรม ข้าจัดการเรื่องต่างๆ ในบ้านหลังนี้ ทุ่มเททั้งกายและใจและยังเลี้ยงหลานชายผู้โชคร้ายของเจ้าจนโตอีก แต่เจ้าตอบแทนข้าเช่นนี้หรือ”
“เอ้อร์หลางล่ะ บอกให้เขาออกมา” อารองสวี่โกรธเกรี้ยว
“หึ เอ้อร์หลางกำลังนอนพัก เจ้าอย่าไปรบกวนเขาและอย่าเบี่ยงประเด็น เงินห้าสิบตำลึงเจ้าจะมอบให้ข้าหรือไม่”
“ข้าให้ ฮูหยินเจ้าอย่าโกรธเลย” อารองสวี่เข้าไปในห้องนอนด้วยความท้อแท้ใจ เพื่อไม่ให้อาสะใภ้พบที่ซ่อนตั๋วเงิน เขาจึงรีบเดินมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเข้าไปในห้องนอน เขาก็ตรงไปที่ห้องปีกเล็กของสวี่หลิงอินและยกเครื่องนอนของลูกสาวขึ้น ข้างใต้เป็นเงินส่วนตัวทั้งหมดของเขา ซึ่งรวมเป็นเงินแปดสิบตำลึง
อารองสวี่กัดฟันเจ็บใจและหยิบตั๋วเงินยี่สิบตำลึงสองใบกับตั๋วเงินห้าตำลึงสองใบออกมา
ในตอนนั้นเอง จู่ๆ เขาก็เห็นส้มเขียวหวานถุงหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะเล็กข้างเตียง
ในสายตาของสวี่ผิงจื้อส้มเขียวหวานไม่ใช่ส้มบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้เขาจึงอ่อนไหวเป็นพิเศษต่อส้มเขียวหวานและเกิดความสงสัยขึ้นในใจทันที
“ส้มเขียวหวานทั้งเปรี้ยวทั้งฝาด ปกติจะใช้เป็นยาเท่านั้น ซื้อมันมาทำอะไรโดยไร้เหตุผล แถมยังวางไว้ในห้องของหลิงอินอีก”
ภายในใจเกิดความสงสัยขึ้น อารองสวี่ออกจากห้องปีก กลับมาที่ลานบ้านและยื่นตั๋วเงินให้อย่างว่าง่าย
สีหน้าของอาสะใภ้บูดบึ้งเล็กน้อย นางส่งเสียงฮึดฮัดและหยิบถุงหอมใบเล็กสวยงามในอ้อมแขนออกมาเก็บตั๋วเงิน
สวี่ผิงจื้อถือโอกาสเอ่ยถาม “เหตุใดบนโต๊ะของหลิงอินถึงมีส้มเขียวหวาน ต้าหลางซื้อมาหรือ”
“เอ้อร์หลางซื้อมา”
เมื่อห้าสิบตำลึงถึงมือ อาสะใภ้ก็พูดอย่างพึงพอใจ
เอ้อร์หลางซื้อ เอ้อร์หลางซื้อของสิ่งนี้มาทำอะไร…จุดประสงค์ที่เขาซื้อส้มเขียวหวานน่าจะต่างกับข้า…ไม่สิ!
อารองสวี่ฉุกคิดขึ้นในใจ “เมื่อคืนเอ้อร์หลางไม่ได้กลับมาทั้งคืนเหมือนต้าหลางใช่หรือไม่”
“เอ้อร์หลางไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้น ส่วนหลานชายของเจ้า ใครจะรู้ว่าเขาไปเที่ยวเล่นอยู่ที่ไหน” อาสะใภ้กลอกตา
หากไม่ใช่เพราะมีความตายทางสังคมครั้งก่อน สวี่ผิงจื้อคงเห็นด้วยกับคำพูดของภรรยาอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้ เขารู้แล้วว่าลูกชายของตัวเองเป็นคนอย่างไร
‘ต้าหลางไม่กลับบ้านทั้งคืน เอ้อร์หลางก็ไม่กลับบ้านทั้งคืนเช่นกัน…ตามความเข้าใจของข้าเกี่ยวกับต้าหลาง กว่าครึ่งเขาไปสำนักสังคีต แต่ส้มเขียวหวานเป็นของที่เอ้อร์หลางซื้อกลับมา…’
“เอ้อร์หลางมีกลิ่นส้มติดตัวใช่หรือไม่” สวี่ผิงจื้อถามด้วยน้ำเสียงสบายๆ
อาสะใภ้พยักหน้าอย่างไม่ใส่ใจและชื่นชมดอกคลีเวียที่ตัวเองปลูก
‘คำตอบชัดเจนมาก…เป็นต้าหลางที่สอนเอ้อร์หลาง หากไม่มีอะไรผิดพลาด ต้าหลางขายข้า ส่วนเอ้อร์หลางแต่งเรื่องเงินส่วนตัวขึ้นมาเพื่อทุบตีข้า…เจ้าพวกสารเลว แม้แต่ข้าพวกเจ้าก็กล้าตลบหลัง’
สวี่ผิงจื้อเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนพักนี้เอ้อร์หลางจะปวดหัว”
“หืม”
อาสะใภ้มองมาด้วยความงงงวย นางเอาใจใส่ลูกชายมาก
“ส้มเขียวหวานสามารถผ่อนคลายจิตใจกับรักษาอาการปวดหัวได้และยังมีประโยชน์อีกมาก มิเช่นนั้นของที่ทั้งเปรี้ยวทั้งฝาดนี้จะมีคนนำมาขายหรือ” สวี่ผิงจื้อกล่าว
ส้มเขียวหวานมีคุณค่าทางยาจริงๆ แต่เรื่องรักษาอาการปวดหัวเป็นสิ่งที่อารองสวี่แต่งขึ้นมา ถึงอย่างไรภรรยาที่ได้รับการเอาอกเอาใจ เรียนหนังสือไม่มากก็ไม่อาจมองออก
“ต้องเป็นเพราะแรงกดดันจากการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์มากเกินไปแน่ๆ” อาสะใภ้รู้สึกทุกข์ใจทันที
“ฮูหยิน เอ้อร์หลางยังไม่ได้แต่งงาน เจ้าเป็นแม่ต้องดูแลอย่างระมัดระวัง อย่ามัวเล่นกับดอกไม้ทั้งวัน” อารองสั่งสอน
“หากนี่เป็นส้มเขียวหวานที่เอ้อร์หลางซื้อกลับมากินเอง เหตุใดเจ้าถึงวางไว้ในห้องของหลิงอิน”
อาสะใภ้ไม่ใช่ผู้หญิงประเภทแม่ผู้อ่อนโยนแบบนั้น อาจเป็นเพราะมั่นใจในความสวยของตนเอง นางจึงเย่อหยิ่งและจู้จี้จุกจิกเป็นพิเศษ ความเอาใจใส่ในตัวลูกๆ ของนางยังห่างไกลจากระดับที่ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบ
ดังนั้นนางจึงมักจะถูกสวี่หลิงอินผู้น่ารำคาญร้องเอะอะใส่อยู่บ่อยครั้ง เมื่อกินข้าว นางก็จะมอบบุตรสาวให้ลวี่เอ๋อดูแล ส่วนตัวเองก็กินข้าวอย่างมีความสุข
“เอ้อร์หลางเป็นคนมอบให้หลิงอินเอง ข้าคิดว่าจะทิ้งก็น่าเสียดาย จึงวางไว้ในห้องของนาง รอกลับจากห้องโถงค่อยกิน” อาสะใภ้อธิบาย
“เอาล่ะ ไม่ต้องพูดแล้ว รีบนำส้มเขียวหวานไปที่ห้องครัวและให้พวกแม่ครัวตุ๋นซุปเถอะ เอ้อร์หลางตื่นขึ้นมาจะได้ดื่มเลย จริงสิ ตุ๋นให้ต้าหลางด้วยถ้วยหนึ่ง” เมื่อสวี่ผิงจื้อพูดจบ เขาก็รีบกล่าวเสริมว่า
“ซุปไม่อร่อย ต้าหลางคงไม่ต้องการ อาสะใภ้เช่นเจ้าก็ทนเขาไม่ไหว เจ้าให้หลิงเยวี่ยไปตุ๋นด้วย คืนนี้เขากลับมาก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะไม่ดื่ม”
อาสะใภ้พยักหน้าและบิดเอวไปเอาส้มเขียวหวาน
ทันทีที่อาหารมื้อกลางวันในจวนพร้อม สวี่ต้าหลางก็กลับมา เขาถอดฆ้องทองแดงกับดาบพกโยนลงพื้น เดินไปนั่งที่โต๊ะและกล่าวทักทาย
“ตอนนี้อารองกลับมากินอาหารมื้อกลางวันแล้วหรือ”
“หลังจากนี้ข้าก็จะกลับมากิน ข้าเพิ่งได้รับคำสั่งมาเมื่อเช้า นับจากพรุ่งนี้ข้าไม่ต้องไปลาดตระเวนที่เมืองชั้นนอกและเปลี่ยนเป็นเมืองชั้นใน” สวี่ผิงจื้อดื่มซุป ใบหน้าเย็นชา
จากเมืองชั้นนอกเป็นเมืองชั้นใน ตำแหน่งไม่เปลี่ยน แต่ได้เลื่อนขั้นหนึ่งระดับ
“เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องดี!”
สวี่ชีอันรับถ้วยกับตะเกียบที่ลวี่เอ๋อส่งมาให้และคิดในใจว่า วันนี้อารองเป็นอะไร ท่าทางดูไม่มีความสุข
ในตอนนี้เอง สวี่เอ้อร์หลางก็เดินออกมาด้วยท่าทางง่วงงุนและมองพี่ใหญ่ สองพี่น้องเข้าใจซึ่งกันและกันโดยปริยาย
“ท่านพ่อ วันนี้ท่านทะเลาะกับท่านแม่หรือ” สวี่เอ้อร์หลางหยั่งเชิง เขานั่งลงพลางพูดประโยคนี้
“หึ แต่ละคนไม่ทำให้ข้าไร้กังวล เอ้อร์หลางยังดี ถึงอย่างไรก็เกิดมาจากท้องของแม่” อาสะใภ้ถลึงตามองอาหลาน
มุมปากของสวี่เอ้อร์หลางกระตุกเล็กน้อย
สวี่ผิงจื้อมองไปทางสาวใช้ส่วนตัวของอาสะใภ้อย่างใจเย็นและพูดว่า “ลวี่เอ๋อ ไปดูที่ห้องครัวหน่อยว่าซุปตุ๋นเสร็จหรือยัง”
ลวี่เอ๋อรับคำอย่างเชื่อฟังและเดินออกจากห้องโถงไป
“ซุปอะไรหรือ”
สวี่ชีอันที่ใช้เงินหมดไปเมื่อคืนถามด้วยความสนใจ
“ซุปให้เจ้ากับเอ้อร์หลางดื่มบำรุงร่างกาย” อาสะใภ้ตอบ
สวี่ชีอันกับสวี่ซินเหนียนมองหน้ากันและรู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก อาสะใภ้/ท่านแม่ รู้ได้อย่างไรว่าพวกเขาต้องการบำรุงร่างกาย
ไม่นานนัก ลวี่เอ๋อก็ถือซุปถ้วยใหญ่เข้ามาและกลิ่นเปรี้ยวเข้มข้นก็พุ่งมาปะทะใบหน้า
ถ้วยกระเบื้องใบใหญ่ถูกวางลงบนโต๊ะ ในซุปสีส้มมีส้มเขียวหวานฝานบางๆ ลอยอยู่ แม้แต่เปลือกก็ไม่ได้ปอก
อาสะใภ้ตักซุปให้สวี่ซินเหนียนด้วยตัวเองและบ่นว่า “เอ้อร์หลาง เหตุใดเจ้าถึงไม่บอกแม่ว่าปวดหัว เห็นว่ากำลังจะสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ เป็นความผิดของแม่เอง แม่ไม่ดูแลเจ้าให้ดี ซุปส้มเขียวหวานนี่แม่ตุ๋นเพื่อเจ้าเป็นพิเศษเลยนะ”
‘ซุปส้มเขียวหวานหรือ?! นี่ นี่ไม่ใช่ส้มเขียวหวานที่ข้าซื้อกลับมาใช่หรือไม่’ สวี่ซินเหนียนมีสีหน้ามึนงงและคิดในใจว่า ‘ส้มเขียวหวานจะตุ๋นซุปได้อย่างไร นี่ไม่ใช่ว่าดื่มแล้วตายหรือ’
“ท่านแม่ ข้าปวดหัวเพราะดื่มสุรามากไป เมื่อคืนข้าไปพบปะสังสรรค์กับเพื่อนร่วมชั้นมา…” สวี่ซินเหนียนมองพี่ใหญ่อย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย
ซุปส้มเขียวหวาน…ใครคิดสูตรดำมืดนี่ออกมากันนะ สวี่ชีอันเกือบจะหัวเราะออกมาและพูดอย่างเอาจริงเอาจัง
“ซุปส้มเขียวหวานบำรุงดี เอ้อร์หลางต้องดื่มเยอะๆ”
“เจ้าก็เช่นกัน” อารองสวี่เอ่ยเรียบๆ “ซุปนี่หลิงเยวี่ยกับอาสะใภ้ของเจ้าตุ๋นอย่างยากลำบาก”
“?”
เครื่องหมายคำถามขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน
“ทหารระดับหลอมวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่อย่างข้าต้องการสิ่งนี้ด้วยหรือ” สวี่ชีอันถามกลับ
“พี่ใหญ่!” สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยออกมาเบาๆ “เจ้าก็ดื่มสักถ้วยสิ ข้าตุ๋นนานมาก”
สวี่ชีอันอดมองไปทางน้องชายคนเล็กไม่ได้
น้องชายคนเล็กก็กำลังมองเขาเช่นกัน
สองพี่น้องต่างหวังว่าอีกฝ่ายจะต่อต้าน
“…”
‘อึกๆๆ…’
สุดท้ายพวกเขาสองคนก็ดื่มไปถ้วยใหญ่และกลั้นน้ำตาเอาไว้ ภายในท้องปั่นป่วน
“ฮ่าๆๆ กินข้าว กินข้าว” อารองสวี่จิบสุราและเผยรอยยิ้มเรียบง่ายออกมา
……………………………………………..