ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 245-2 กระบี่แห่งใจ (2)
บทที่ 245 กระบี่แห่งใจ (2)
บัดนี้สายตาของลั่วอวี้เหิงทอดมองไปที่ประตูพร้อมเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เขาอยู่ที่นี่”
เมื่อสวี่ชีอันหันหน้าไปเจอแมวส้มตัวหนึ่งนั่งอยู่บนธรณีประตู ม่านตาตั้งตรงสีอำพันจ้องมองพวกเขาจากไกลๆ
“ท่านนักบวชเต๋า ท่านมาได้อย่างไร…ช้าก่อน ท่านเข้าเขตมาพระราชฐานไม่ได้มิใช่หรือ”
แมวส้มตั้งหางตรง ก้าวเดินด้วยฝีเท้าแมวที่อ่อนนุ่มไร้เสียง แล้วกระโดดขึ้นโต๊ะ
สวี่ชีอันใช้ฝ่ามือตบออกเบาๆ “ทานอาหารอยู่ ระวังขนแมวด้วยขอรับ”
แมวส้มทำได้เพียงนั่งบนพื้น เงยหน้าพร้อมเปิดปากเอ่ยอย่างนุ่มนวล “หลังจากอาการบาดเจ็บดีขึ้นแล้วก็เข้าออกเขตพระราชฐานได้ตามใจนึก แต่ยังคงเข้าพระราชวังไม่ได้”
พลังของนักบวชเต๋าแข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก…สวี่ชีอันไม่ใช่มือใหม่แล้ว คิดจะลักลอบเข้าเขตพระราชฐานอย่างไร้สุ้มเสียง อย่างน้อยก็ต้องขั้นสี่
แน่นอนว่าในที่นี้ไม่รวมถึงทหาร
ด้วยจุดเด่นของระบบทหาร ต่อให้เป็นขั้นหนึ่งก็มิอาจลักลอบเข้าเขตพระราชฐานได้อย่างเงียบเชียบ ส่วนใหญ่จะถูกพบ
แน่นอนว่าหากเป็นทหารขั้นหนึ่ง ก็แทบจะโซโล่ดันเจี้ยน ‘เมืองหลวงต้าฟ่ง’ นี้ได้เกือบทั่วแล้ว
“เช่นนั้นเลือดบริสุทธิ์คือ…” แม้สวี่ชีอันจะเชื่อใจนักบวชเต๋าจินเหลียนมาก ทว่าก็ยังคงลังเลอยู่
นี่ก็เปรียบเสมือนมีคนต้องการใช้คอมพิวเตอร์ของเจ้า แม้จะเป็นเพื่อนสนิทหรือญาติพี่น้อง แต่ภายในใจเจ้าก็ปฏิเสธ อย่างไรเสียในฮาร์ดดิสก์ใครจะไม่มีเมียร่วมร้อยกิกะไบต์บ้าง
“ใช้คุณสมบัติยาของยาคืนชีพในเลือดของเจ้า” นักบวชเต๋าจินเหลียนชำเลืองมองลั่วอวี้เหิงก่อน เมื่อไม่เห็นนางแสดงท่าทีอะไรก็กล่าวต่อ
“เต๋าที่นิกายมนุษย์ฝึกฝนล้มลุกคลุกคลานแสนเข็ญ จุดนี้เจ้าพอจะรู้บ้างแล้ว ทุกเดือนผู้นำเต๋าลั่วจะถูกไฟแห่งกรรมแผดเผา ทนทุกข์ทรมานจากเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา[1] ยาคืนชีพสลัดร่างเก่าได้ ทำให้ได้รับชีวิตใหม่อีกครั้ง บรรเทาอาการของโรคได้ชั่วคราว”
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ แล้วเอ่ยอย่างอาจหาญ “มิน่าข้าถึงรู้สึกว่าท่านราชครูมีเสน่ห์ที่ไม่ธรรมดา”
หากนักบวชเต๋าจินเหลียนไม่อยู่ตรงนี้ เขาคงไม่กล้าพูดคำนี้อย่างเด็ดขาด
นักบวชเต๋าจินเหลียนตอบกลับ “วิถีเต๋าของนิกายมนุษย์ฝึกฝนจนถึงขั้นสูงสุด การมีพร้อมหลากหลายบุคลิกจะสามารถทำให้เจ้ามองเห็นด้านที่โหยหามากที่สุดภายในจิตใจ…ข้าหมายถึงด้านความรัก”
พูดพลางใบหน้าแมวก็ปรากฏรอยยิ้มแบบมนุษย์ “เจ้ามองเห็นสิ่งใด”
ลั่วอวี้เหิงเงยหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย แล้วชำเลืองมองสวี่ชีอัน
สีหน้าของสวี่ชีอันพลันแข็งทื่อ
ปฏิกิริยานี้…นักบวชเต๋าจินเหลียนชะงัก ก่อนจะกลับมาสนใจ แล้วซักไซ้ถาม “ดูเหมือนความรู้สึกของเจ้าจะลึกซึ้งน่าดู”
ข้าคิดว่าข้าเป็นพวกโลลิค่อน ซิสค่อน คลั่งไคล้ถุงน่องดำ คลั่งไคล้คุณพี่สาว คลั่งไคล้สาวใหญ่ จนท้ายที่สุดก็ค้นพบว่าข้าก็แค่ลามกอย่างเดียวเท่านั้น…ความรู้สึกที่ข้ามีต่อประโยคนี้ไม่เคยลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน…สวี่ชีอันหัวเราะแห้งๆ เบี่ยงประเด็นอย่างไหลลื่น
“ในเมื่อนักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นคนกลาง ข้าน้อยย่อมเต็มใจใช้พลังอันน้อยนิดช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้”
ลั่วอวี้เหิงพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วเอ่ยเสียงเบา “หากเจ้าต้องการยาแบบใดก็บอกได้ตามสบาย ถือเสียว่าเป็นค่าชดเชยเลือดบริสุทธิ์”
นักบวชเต๋าจินเหลียนชิงพูดก่อนสวี่ชีอัน “ไม่ต้องรีบ ค่อยๆ คิด น้ำใจของผู้นำเต๋านิกายมนุษย์มิใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะได้รับ”
ลั่วอวี้เหิงชายตามองแมวส้มอย่างเฉยเมย
…
ตำหนักจิ่งซิ่ว
หลินอันนำทหารรักษาพระองค์มายังตำหนักของพระมารดา นางวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้อง กระโปรงสีแดงปลิวสะบัด ปากตะโกนดังลั่น “เสด็จแม่ๆ…”
ภายในห้อง เฉินกุ้ยเฟยกำลังแอบเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นลูกสาววิ่งเข้ามาก็รีบเบือนหน้า ใช้ผ้าเช็ดคราบน้ำตา
หลินอันที่ตะโกนโหวกเหวกพลันเงียบลงในบัดดล ค่อยๆ ก้าวไปข้างกายเฉินกุ้ยเฟย แล้วกุมมือของนางไว้ นัยน์ตาดอกท้ออันงดงามเย้ายวนปรากฏความรักใคร่
“เสด็จแม่ เสด็จพี่องค์รัชทายาทจะต้องไม่เป็นไร คนบริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์วันยังค่ำ ท่านอย่าร้องไห้เลย”
ช่วงก่อนหน้านี้จิตใจของนางย่ำแย่ ครึ่งหนึ่งว้าวุ่นใจจากการพลีชีพในหน้าที่ของสวี่ชีอัน อีกครึ่งหนึ่งก็เป็นเพราะเคราะห์กรรมขององค์รัชทายาทและเฉินกุ้ยเฟยที่กินน้ำตาต่างข้าวตลอดวัน
ในฐานะลูกสาว เมื่อเห็นมารดาทุกข์ระทม น้ำตาร่วงไปวันๆ ใจนางก็เป็นทุกข์ แต่กลับทำอะไรไม่ได้
นางกำนัลประจำกายที่ยืนรับใช้อยู่ด้านข้างเอ่ยเสียงเบา “หลายวันมานี้มีองค์ชายพระญาติมาเข้าพบกุ้ยเฟย หลายพระองค์กล่าวว่าเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ด้านนอกกำลังหารือเรื่องการแต่งตั้งองค์รัชทายาทอีกพระองค์หนึ่ง หลังจากกุ้ยเฟยได้ยินก็ร่ำไห้อย่างหนัก ไม่ได้ทานอะไรมาสองวันติดแล้วเพคะ”
หลินอันเดือดดาล “เจ้าพวกหมาไร้ค่าไม่มีตา มาพูดเรื่องนี้กับเสด็จแม่ทำไม”
นางด่าทอเหล่าท่านอาว่าเป็นหมาไร้ค่าอย่างขุ่นเคือง
“หลินอัน อย่าพูดเหลวไหล” เฉินกุ้ยเฟยกุมมือเล็กของลูกสาวกลับด้วยสีหน้าระทมทุกข์ “เสด็จพี่องค์รัชทายาทของเจ้าเป็นลูกที่เกิดจากสนม หลายปีมานี้ผู้คนมักจะบอกว่าเขาได้รับตำแหน่งอย่างไม่ถูกต้อง ปลดเสียก็ดี แม่จะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทั้งวัน”
คำพูดนี้ทำให้ไฟโทสะในใจของหลินอันลุกโชน นางรู้ว่าเสด็จแม่หมายถึงประมุขแห่งวังหลังที่จ้องจะตะครุบดุจพญาเสือผู้นั้น
นางกำนัลใหญ่ทอดถอนใจพร้อมเอ่ย “หากสืบสวนคดีให้ความจริงประจักษ์ได้ก็ดีนะเพคะ ทว่าหลายวันมาแล้วก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลย”
รายละเอียดคดีต้องเก็บเป็นความลับ สวี่ชีอันย้ำกับองค์หญิงทั้งสองครั้งแล้วครั้งเล่า
ทว่าตอนนี้เมื่อเห็นมารดาค่อยๆ ซูบผอมลงทุกวัน รอบตาแดงช้ำ หลินอันก็ทนไม่ได้แล้วเอ่ยเสียงดัง “ใครบอกว่าไม่มีความคืบหน้า สวี่ชีอันใกล้จะคลี่คลายคดีได้แล้วต่างหาก”
เฉินกุ้ยเฟยตาเป็นประกาย สายตาจับจ้องตรงไปที่ลูกสาว “ความจริงของคดีใกล้จะประจักษ์แล้วหรือ สวี่…สวี่ชีอันคนนั้นจวนจะสืบพบแล้วจริงๆ หรือ”
นางกุมมือของหลินอันแน่นด้วยความตื่นเต้น
“เสด็จแม่ข้าเจ็บ”
ในเมื่อเปิดปากไปแล้ว ยายตัวร้ายก็ไม่ปิดบังอีกต่อไป “เสด็จแม่ ฮองเฮาให้ร้ายองค์รัชทายาท ต้องเป็นนางแน่นอน”
เฉินกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสี “หลินอัน อย่าพูดเหลวไหล”
“เสด็จแม่ใจเย็นๆ หลินอันมีหลักฐานยืนยัน…”
และแล้วนางก็บอกรายละเอียดคดีที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นจนจบแก่เฉินกุ้ยเฟย
“เป็นนางจริงๆ ด้วย ปีนั้นหากไม่ใช่เพราะนางไม่รักษาจรรยาของสตรี มีหรือฝ่าบาทจะส่งไปที่ตำหนักเย็น มีหรือจะแต่งตั้งลูกชายข้าเป็นองค์รัชทายาท” เฉินกุ้ยเฟยร่ำไห้
“ฝ่าบาททรงมีเมตตาอารี ทรงคำนึงถึงความรักในวันวานจึงไม่ได้ปลดนาง นางก็ดีเสียจริง เวลาล่วงเลยมานานแรมปียังมีความคิดจะชิงตำแหน่งองค์รัชทายาทขึ้นมาอีก”
คำพูดของเฉินกุ้ยเฟยคล้ายกับฟ้าผ่าดังขึ้นที่ข้างหูหลินอัน
นางได้ยินว่าอะไรนะ
ฮองเฮาไม่รักษาจรรยาสตรี[2]? เสด็จพ่อคิดจะปลดฮองเฮา?
เรื่องนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด ไฉนนางจึงไม่รู้
ในหัวของหลินอันปรากฏภาพฮองเฮาผู้อ่อนโยนหากแต่ขาดรอยยิ้ม แม้จะไม่พอใจที่นางใส่ความเสด็จพี่องค์รัชทายาท ทว่าลึกๆ แล้วหลินอันก็ไม่เชื่อว่านางจะเป็นหญิงที่ไม่รักษาจรรยาสตรี
ทว่า หลังจากได้รับข่าวใหญ่อันน่าตะลึงนี้ รายละเอียดมากมายที่ครั้งอดีตไม่เคยใส่ใจก็มีคำอธิบายทั้งหมด ตัวอย่างเช่น ฮองเฮาเก็บเนื้อเก็บตัวมาโดยตลอด ไม่ใส่ใจเรื่องของวังหลัง
ไม่ก็นับตั้งแต่หลินอันจำความได้ก็ไม่เคยเห็นฮองเฮายิ้มมาก่อน หรือจะเป็นการที่ฮองเฮาเมินเฉยฮว๋ายชิ่งกับองค์ชายสี่ ปราศจากความรักใคร่แบบที่เสด็จแม่มีต่อตนกับเสด็จพี่องค์รัชทายาททั้งสิ้นเป็นอาทิ
“เสด็จแม่ นี่ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮองเฮาไม่รักษาจรรยาสตรี…ชายผู้นั้นเป็นใครหรือเจ้าคะ” หลินอันจับมือของเฉินกุ้ยเฟยแน่นด้วยความระทึกใจ ไฟโทสะลุกโชน
ในฐานะพระธิดาสุดที่รักของเสด็จพ่อ เมื่อนางได้ยินข่าวนี้ก็สมควรแล้วที่จะบันดาลโทสะ
“ไม่ ไม่ต้องถามแล้ว…”เฉินกุ้ยเฟยรู้ตัวว่าพลั้งปากไป ส่ายหน้าทั้งน้ำตา “เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับฝ่าบาท อย่าได้แพร่งพราย”
…
“ข้าไม่ชอบติดหนี้บุญคุณ ใต้เท้าสวี่พูดมาตรงๆ เถอะว่าต้องการสิ่งใด” ลั่วอวี้เหิงไม่คิดจะช่วยให้แผนการอันแยบยลของนักบวชเต๋าจินเหลียนลุล่วง
ท่านน้า ข้าไม่อยากดิ้นรนต่อสู้แล้ว…สวี่ชีอันกรีดร้องในใจ
สำหรับค่าตอบแทน เขาไม่ได้นึกถึงไปชั่วขณะ จึงอดไม่ได้ที่จะมองแมวส้มเพื่อขอความเห็นจากมัน
แมวส้มลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ย “นิกายมนุษย์ครองจิ่วโจวด้วยวิชากระบี่ มอบวิชากระบี่ให้สักหนึ่งบทก็ไม่เสียหาย”
“แต่ว่าข้าใช้มีด” สวี่ชีอันพูดเตือนสติ
“ใครบอกว่าวิชากระบี่ใช้มีดไม่ได้เล่า” นักบวชเต๋าจินเหลียนถามกลับพร้อมหัวเราะหึๆ
ก็จริง ขอเพียงดึงแก่นแท้และนำไปใช้กับวิชามีดได้ก็พอ ก็เหมือนกับตอนที่ข้าแสดงดาบเดียวตัดฟ้าดิน สามารถใช้ร่วมกับสิงโตคำรามพิชิตศัตรูได้
สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
ลั่วอวี้เหิงยกมือลูบผ่านผิวโต๊ะเบาๆ สมุดบางๆสามเล่มก็ปรากฏขึ้น
ราชครูเอ่ยด้วยเสียงอันกังวานรื่นหู “ข้ามีวิชากระบี่อยู่สามบท แบ่งออกเป็น ‘กระบี่ใจ’ ‘กระบี่ปราณ’ และ ‘กระบี่บิน’ กระบี่ใจต้องฝึกฝนด้วยจิตเดิมเป็นตัวเสริม ใช้พลังจิตวิญญาณเป็นหินลับกระบี่ ลับกระบี่ทุกวันไม่มีหยุด มันมิอาจตัดกายเนื้อ แต่ใช้ตัดจิตเดิมโดยเฉพาะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ สวี่ชีอันก็มองไปที่แมวส้มโดยไม่รู้ตัว
แมวส้มดีดกรงเล็บคมออกมา ‘ชิ้ง’ พร้อมเอ่ยอย่างแผ่วเบา “ใต้เท้าสวี่อย่าคิดท้าทาย”
สวี่ชีอันถอนสายตาฉับพลัน
ลั่วอวี้เหิงเอ่ยต่อ “กระบี่ปราณตรงข้ามกับกระบี่ใจ เป็นวิธีการสังหารที่เหนือสุดยอด บำเพ็ญพรตจนถึงขั้นสูงสุด ปราณกระบี่ไร้จำกัด เกรียงไกรทลายได้ทุกสิ่ง”
สวี่ชีอันอดพูดไม่ได้ “ปราณกระบี่บุกไปไกลสามพันลี้ หนึ่งกระบี่ส่องสะท้านสิบเก้าเมือง”
ลั่วอวี้เหิงอดชำเลืองมองไม่ได้ นัยน์ตาสวยที่คล้ายกับน้ำใสหยุดมองสวี่ชีอันอยู่นาน ก่อนจะกล่าวชมเชย “เล่าลือกันไปทั่วว่าพรสวรรค์ด้านการประพันธ์ของใต้เท้าสวี่หาใดเทียบ ประโยคนี้มีพลังอาจหาญล้ำเมฆา หลากหลายความงามจริงๆ ”
ข้าไม่ได้เป็นคนกล่าว นี่เป็นสิ่งที่นักเขียนใหญ่ที่เชี่ยวชาญค่าต้นฉบับเพิ่มค่าธรรมเนียมหนึ่งอักษรต่อหนึ่งบรรทัดผู้นั้นกล่าวไว้…
“ส่วนวิชากระบี่บิน…” ลั่วอวี้เหิงโบกมือเบาๆ หน้าต่างประตูเปิดกว้างในพริบตา แสงดาบพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของนาง แผดเสียงพลางสัญจรอยู่เหนือลานบ้าน
รวดเร็วดุจอสนีบาต คล่องแคล่วดุจมัจฉาแหวกว่าย
สวีชีอันกล่าวชื่นชม “วิชากระบี่บินเป็นทักษะของเทพเซียนจริงๆ ดังนั้นข้าขอเลือกกระบี่ใจ”
ลั่วอวี้เหิงงุนงงชั่วขณะก่อนจะพยักหน้าเอ่ย “ได้”
แม้วิชากระบี่บินจะทั้งฉูดฉาดและเรืองแสงเจิดจ้า พลังสังหารก็สูง แต่สวี่ชีอันคิดว่ากระบี่ใจเหมาะกับเขากว่า
เหตุผลแสนง่าย ดาบเดียวตัดฟ้าดินของเขาเป็นวิชามีดอันสุดโต่ง ไม่มีสิ่งใดในโลกที่ตัดไม่ขาด หากมีก็รีบเผ่นให้ไว
ด้วยเหตุนี้ ขณะที่กำลังฝึกฝน สิ่งที่พิจารณาก่อนอย่างแรกมิใช่การเพิ่นพูนกระบวนท่า ทว่าคือการทำให้ดาบเดียวตัดฟ้าดินสมบูรณ์แบบ
หลังจากได้รับสิงโตคำรามสำนักพุทธ ความคิดนี้ก็หนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ
ทักษะการควบคุมก็มีแล้ว ความเสียหายทางกายภาพก็มีแล้ว สิ่งที่ขาดไปในตอนนี้คือการดึงจิตเดิมออกมา
ลั่วอวี้เหิงเก็บ ‘กระบี่ปราณ’ และ ‘วิชากระบี่บิน’ กลับไป แล้วดันตำรากระบี่ ‘กระบี่ใจ’ ให้เขาพร้อมเอ่ย “ไม่เข้าใจตรงไหนก็มาหาข้าที่อารามรัตนะ ข้าช่วยเจ้าคลายข้อสงสัยได้สามครั้ง”
“ขอบคุณท่านราชครูมากขอรับ” สวี่ชีอันกล่าวขอบคุณอย่างจริงใจ
จากนั้นลั่วอวี้เหิงก็หยิบชามหยกออกมาจากแขนเสื้อ นิ้วขาวอันเรียวยาวหนีบชามหยกผลักไปตรงหน้าสวี่ชีอัน
ชามไม่ใหญ่ แค่สามเท่าของถ้วยชา ในใจสวี่ชีอันสงบลงหน่อย เขายังเข้าใจว่าเป็นชามใบใหญ่ที่สวี่หลิงอินใช้กินข้าวเสียอีก
หลังจากได้รับเลือดสด ลั่วอวี้เหิงก็ไม่เสียเวลา วิ่งไปสกัดยาทันที
ในห้องสงบใจจึงเหลือเพียงแมวส้มกับสวี่ชีอัน
“ท่านนักบวชเต๋า ท่านช่วยปิดกั้นคนอื่นให้ข้าหน่อย ข้าต้องการสนทนาส่วนตัวกับหลี่เมี่ยวเจิน”
สวีชีอันถือโอกาสนี้คิดจะบอกข่าวการฟื้นคืนชีพของตนกับหมายเลขสอง
สิ่งที่นักบวชเต๋าจินเหลียนตอบกลับคำขอของสวี่ชีอันคือ “หึๆ”
“มีปัญหาอะไรหรือ” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“หลี่เมี่ยวเจินเคยบอกว่าหลังจากเริ่มฤดูใบไม้ผลิจะมาที่เมืองหลวง สถานการณ์ของอวิ๋นโจวในปัจจุบันคาดว่าต้องรอให้สิ้นสุดการปราบกองโจรเสียก่อน แต่ถึงอย่างไรนางก็จะมาเร็วๆ นี้อยู่ดี เหตุใดจึงต้องรีบร้อนจะคุยตอนนี้” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
เขายังรอให้หลี่เมี่ยวเจินมาหาเขาอย่างเอาเป็นเอาตายด้วยความโกรธแค้นหลังจากรู้ว่าสวี่ชีอันฟื้นคืนชีพ แล้วใช้เหตุนี้ก่อกวนสถานการณ์ คลายความขัดแย้งของศิษย์ผู้เก่งกาจของสองนิกายสวรรค์และมนุษย์
“ก็จริง! ” สวี่ชีอันพยักหน้า
………………………………………
[1] เจ็ดอารมณ์หกปรารถนา หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกความปรารถนาแบบปุถุชนทั่วไป โดยเจ็ดอารมณ์ได้แก่ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด และใคร่ หกปรารถนาได้แก่ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ
[2] คุณธรรมของหญิงสาว ว่าด้วยสามเชื่อฟัง สี่จรรยาของหญิงสาวตามหลักคำสอนขงจื๊อ