ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 258 ศาสดาพยากรณ์
บทที่ 258 ศาสดาพยากรณ์
สวี่ชีอันฟื้นคืนชีพกลับมาจากอวิ๋นโจว สร้างผลงาน ได้รับการแต่งตั้งยศ ความสัมพันธ์ของเขากับหลินอันและฮว๋ายชิ่งคืบหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ทางด้านหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เว่ยเยวียนก็ให้สัญญาว่าจะประกาศให้เขาเป็นฆ้องเงิน ไม่ว่าจะเป็นอนาคต เงินทอง หรือความรัก ต่างกำลังพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง
คาดว่าภายในไม่กี่ปีจะได้เข้ารับตำแหน่งกง แต่งงานกับองค์หญิง และเดินไปยังจุดสูงสุดของชีวิต…เป็นเรื่องที่อาจจะเป็นไปได้มากที่สุด
เมืองหลวงที่รุ่งเรืองนับแต่โบราณ ทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีระดับการรักษาพยาบาลและสวัสดิการสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้อยู่ในระดับแนวหน้าของยุคสมัยนี้ทั้งสิ้น ผู้คนต่างก็ชอบรวมตัวกันในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง สวี่ชีอันก็ไม่ต่างกัน
ปีนั้นเขาก็ย้ายเข้ามาทำงานที่เมืองปังกิ่ง
ไม่ใช่เรื่องที่ช่วยไม่ได้ แค่เขาไม่อยากออกจากเมืองหลวง
ไต้ซือ ท่านกำลังทำให้เสืออ้วนอย่างข้าลำบากใจนะ…สวี่ชีอันเอ่ยถามพลางขมวดคิ้ว “ไต้ซือ เหตุใดจึงต้องออกจากเมืองหลวงหรือ”
ไต้ซือเสินซูหันข้าง มองไปยังทิศทางนั้น “ข้ารู้สึกได้ ศาสนาจากประจิมทิศกำลังจะมาแล้ว”
ศาสนาจากประจิมทิศ?
สวี่ชีอันตกตะลึงครู่หนึ่ง ถึงจะรู้ว่าที่ไต้ซือเสินซูพูดคือศาสนาพุทธในเขตตะวันตก
จริงสิ ช่วงคดีซังผอ พระสงฆ์ผานซู่จากวัดมังกรเขียวรู้ว่าไต้ซือเสินซูหลุดพ้นความลำบากมาได้ ก็ออกจากวัดทันทีและมุ่งหน้าไปทางตะวันตก…กล่าวเช่นนี้ คนของทางศาสนาพุทธจะกลับมาแก้แค้น?
หรือว่าที่ไต้ซือเสินซูต้องการให้ข้าออกจากเมืองหลวง เป็นเพราะว่าหากคนหัวโล้นจากตะวันตกพบว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในร่างของข้า ข้าอาจจะถูกตรึงอยู่ในหุบเขาห้านิ้วเป็นเวลาห้าร้อยปี
และในขณะที่ข้าไม่มีเข็มเทพใต้ทะเลที่ทั้งแข็งทั้งหยาบของซุนหงอคง แม้แต่โอกาสจะต่อต้านยังไม่มี
“เช่นนั้นท่านจึงให้ข้าออกจากเมืองหลวงเป็นการชั่วคราว?” สวี่ชีอันเผยให้เห็นความกังวลบนใบหน้าของเขา
ไต้ซือเสินซูพยักหน้าเบาๆ
“ก็ได้ ตอนนี้พวกเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว จริงสิ ไต้ซือ ได้ยินว่าศาสนาพุทธมีวิธีฝึกร่ายที่น่าอัศจรรย์มาก ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนร่างกายก็สามารถบำเพ็ญให้กลายเป็นระดับเพชรได้อย่างไม่ทำร้ายร่างกาย ท่านว่าสามารถช่วยข้าได้หรือไม่”
รีบคว้าผลประโยชน์ไว้ก่อน
ไต้ซือเสินซูส่ายหน้า “ข้าเป็นเพียงวิญญาณร่างหนึ่งเท่านั้น”
ท่านจะเป็นวิญญาณหรือไม่ข้าไม่รู้ ข้ารู้ก็แต่ท่านคิดจะหลอกใช้ข้าฟรีๆ…มุมปากสวี่ชีอันกระตุก
หมอกบางรวมกัน ห่อหุ้มวัดที่ทรุดโทรม และค่อยๆ จางหายไป…สวี่ชีอันลืมตา กลับเข้ามาในห้อง นั่งอยู่ที่หัวเตียงโดยไม่เปลี่ยนท่า
ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าศาสนาพุทธจากตะวันตกมาก็เพราะไต้ซือเสินซู นี่ก็ผ่านมาเดือนกว่าๆ แล้ว พวกเขาอ่านสำนวนคดีมาก็มาก พอเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในเมืองหลวงนานเกินไป
เช่นนั้นแล้ว ข้าจะออกจากเมืองหลวงแค่ชั่วคราว แต่จะกลับมาให้ไวที่สุด
สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ พูดเช่นนี้ เขาอาจจะรับคำก็ได้ ถือว่าเป็นวันหยุด ไปพักผ่อนในเมืองที่มั่งคั่ง และใช้ชีวิตที่น่าเบื่ออย่างคนมีเงินสักสองสามวัน
ตรงกันข้าม การลาหยุดไม่ใช่เรื่องน่าเขียน แถมยังออกจากเมืองหลวงอย่างไม่มีสาเหตุ ระบบของที่ทำการปกครองต้องไม่อนุญาตแน่ อีกอย่าง เว่ยเยวียนจะห่างจากข้าไม่ได้
โลกในนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก ข้าอยากไปเที่ยวชม…จะต้องถูกปฏิเสธแน่นอน เหล่าเว่ยไม่เข้าใจมุกของข้าเลย
“ใช่แล้ว ไปปรึกษานักบวชเต๋าจินเหลียน ให้เขาคิดหาเหตุผล อย่างเช่นมีใครบางคนในกลุ่มพูดคุยเกี่ยวกับหนังสือปฐพีเกิดปัญหา ต้องการการสนับสนุนจากข้า…”
สวี่ชีอันตั้งใจจะไปขอคำปรึกษาจากนักบวชเต๋าจินเหลียน บอกว่าอยากออกจากเมืองหลวงสักพัก แต่ระบบที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเข้มงวด ไม่สามารถออกจากเมืองหลวงได้ตามใจชอบ หลักๆ ก็คือต้องให้เหตุผลที่พอยอมรับได้แก่เว่ยเยวียน
แต่ก่อนหน้านั้น เขายังมีเรื่องบางอย่างต้องทำให้เสร็จก่อน อย่างเช่นเข้าร่วมงานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้ ต้องมอบหมายพัศดีเสียหน่อย ว่าให้ดูแลคู่สามีภรรยานั้นให้ดี หลังการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์เอ้อร์หลางจะสามารถอาศัยในเมืองหลวงได้หรือไม่ ทั้งหมดต้องพึ่งพาพวกเขาแล้ว
อีกอย่างคือหยั่งเชิงเว่ยเยวียนดูว่าวางแผนจะแก้แค้นเฉินกุ้ยเฟยอย่างไร
แม้คดีพระสนมฝูจะสิ้นสุด แต่ก็ถือว่าได้เป็นปฏิปักษ์ต่อกันแล้ว เว่ยเยวียนต้องการจะสืบหาผู้มีอำนาจที่อยู่เบื้องหลังเฉินกุ้ยเฟย และจะต้องมีการติดตามผลอย่างแน่นอน
ส่วนฮองเฮาที่ต้องสูญเสียน้องชายเพียงคนเดียว เกรงว่าจะทำตัวสบายๆ ไม่ได้อีกต่อไป ส่วนตำหนักหลังของจักรพรรดิหยวนจิ่ง ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือด สงครามระหว่างหญิงสาวจะต้องเกิดการขยายตัวอย่างแน่นอน
สิ่งที่สวี่ชีอันกังวลก็คือสงครามไฟของพวกนางจะรุนแรงในระดับไหน เขาไม่อยากกลับมาเมืองหลวงและได้ยินว่าเฉินกุ้ยเฟยเสียชีวิต หรือฮองเฮาสวรรคตแล้ว
หากเป็นเช่นนี้ หลินอันและฮว๋ายชิ่งจะเป็นเหมือนน้ำและไฟ ไม่สามารถกลายเป็นพี่น้องกันได้
ความฝันที่เขาจะได้ไปทะเลสาบต้าหมิงด้วยกันตามลำพังเกือบจะพังทลายแล้ว
เวลานี้ มีคนรับใช้คนหนึ่งมาที่ประตูด้านนอก ตะโกนเอ่ย “ต้าหลาง แม่นางไฉ่เวยจากสำนักสังคีตมาขอพบขอรับ”
นางมาทำไมกัน
สวี่ชีอันตอบกลับ “รู้แล้ว ให้อาสะใภ้ต้อนรับนางก่อน อีกเดี๋ยวข้าจะตามไป”
เขานำสมุดบันทึก เงิน และของส่วนตัวอื่นๆ เก็บเข้าไปในเศษชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เพื่อเตรียมตัวจะออกจากเมืองหลวง และให้แน่ใจว่าไม่มีสิ่งของตกหล่น จึงได้ถอนหายใจ และออกไปพบฉู่ไฉ่เวย
…
ภายในห้องรับรองแขก ฉู่ไฉ่เวยที่ถือขนมแห้วไว้เต็มมือ แล้วยัดเข้าไปในปากอย่างรวดเร็วด้วยท่าทางตะกละตะกลาม ราวกับจะมีคนแย่งนางกิน…
ที่จริงก็มีคนแย่งนางกิน เป็นสวี่หลิงอินที่ยืนตรงหน้านาง ในมือถือขนมแห้ว และยัดมันเข้าปากอย่างรวดเร็ว ท่าทางที่ตะกละตะกลามนั้นก็เพื่อแย่งของกินกับฉู่ไฉ่เวย
ระหว่างทั้งสอง ยังมีขนมวางอยู่เจ็ดแปดอย่าง มีความหลากหลาย และปริมาณที่มากพอสมควร
ฉู่ไฉ่เวยมาจวนสกุลสวี่วันนี้ได้หิ้วอาหารชุดใหญ่มาด้วย กินไปด้วยและรอสวี่ชีอันไปด้วย ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าเด็กตัวน้อยมาตั้งแต่เมื่อไหร่ มองนางตาปริบๆ
หญิงสาวจำนางได้ นางคือน้องสาวของสวี่หนิงเยี่ยน เด็กที่กินได้อย่างตะกละคนนั้น
“อยากกินอะไรหยิบเองได้เลยนะ พี่สาวยังมีอีกเยอะแยะ…”
ฉู่ไฉ่เวยจำได้ว่าตนเองพูดแบบนี้
ตอนแรก ทั้งพี่ทั้งน้องก็กินด้วยกันอย่างเสมอกัน เจ้ากินของเจ้า ข้ากินของข้า ชื่นชีวีสุขสันต์ แต่กินไปกินมา ฉู่ไฉ่เวย กลับพบว่ายายหนูนี่กินได้เร็วกว่านางเสียอีก
ไม่ได้ จะเสียเปรียบไม่ได้ ข้าก็ต้องกินเร็วขึ้นอีก
สวี่หลิงอินมองดู ทันใดนั้นพี่สาวคนนี้ก็กินอย่างรวดเร็วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าต้องการจะแย่งนางกินไม่ใช่หรือ ไม่ได้ ข้าจะเสียเปรียบไม่ได้ ข้าต้องกินเร็วขึ้นอีก
ไม่มีบทสนทนาอีกต่อไป แต่สงครามการกินยังคงทวีความรุนแรงขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากจุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบของการต่อสู้ หากใช้สองคำมาอธิบายคงเป็น ‘โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า โอร่า…’
หลังสวี่ชีอันมาถึงห้องโถง มาเห็นฉากนี้ ถึงกับอึ้งไป
“นี่ นี่ นี่ จะกินแบบนี้ไม่ได้”
สวี่ชีอันเหลือบมองไปที่ท้องกลมของเสี่ยวโต้วติง หิ้วนางมาไว้อีกด้าน และมองไปรอบๆ “อาสะใภ้เล่า”
อาสะใภ้ไม่อยู่ในห้องโถง คาดว่าจะไปจัดเตรียมงานเลี้ยงสำหรับวันพรุ่งนี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ยอมให้เสี่ยวโต้วติงกินแบบนี้แน่
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่ ขนมแห้วนี่อร่อยมากเลย…” สวี่หลิงอินต่อสู้สุดกำลังและมีท่าทีกังวล ในชั่วพริบตา พี่สาวคนนั้นกินเยอะไปหลายชิ้นแล้ว
“กินให้มันน้อยๆ หน่อย”
สวี่ชีอันชี้ไปที่ขนมที่อยู่บนโต๊ะ เอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบเก็บลงไป เก็บลงไป…แม่นางไฉ่เวยมาหาข้ามีธุระอันใดหรือ”
เขาเดาว่าฉู่ไฉ่เวยคงมาเล่นกับตน เพราะหลังจากฟื้นคืนชีพ เขามัวแต่ยุ่งกับการสืบคดีของพระสนมฝู สิบกว่าวันแล้วที่ไม่ได้เจอนาง
ด้วยความหน้าตาดีของข้าตอนนี้ นางจะคิดถึงความหล่อเหลาของข้าก็คงไม่แปลก…สวี่ชีอันยิ้ม
“อาจารย์ให้ข้ามาเชิญท่านไปที่หอดูดาวในฐานะแขก” ขณะที่ฉู่ไฉ่เวยพูดก็ได้ยกน้ำชาขึ้นดื่ม และนำขนมที่เหลือหอกลับ และใส่ลงในกระเป๋าหนังกวางที่เอว
ท่านโหราจารย์เชิญข้าไปหอดูดาว…สวี่ชีอันแอบขมวดคิ้วอย่างลับๆ แต่ไม่ได้ขัดขืนมากนัก
ท่านโหราจารย์อยู่ในระดับใด สวี่ชีอันไม่สามารถคาดเดาได้ แต่เขาอยู่ระดับใด ท่านโหราจารย์รู้ดีอยู่แก่ใจ
ทั้งสองออกจากจวนสกุลสวี่ ขี่ม้าของใครของมัน และมุ่งหน้าไปยังหอดูดาว
“ขนมเหล่านั้นข้าซื้อให้ศิษย์พี่ห้า สุดท้ายกลับถูกน้องสาวท่านกินไปเกือบครึ่ง” ฉู่ไฉ่เวยจับบังเหียน ตามองไปด้านหน้า พลางเอ่ยเสียงหวาน
“สวี่หนิงเยี่ยน ท่านต้องจ่ายเงินมาให้ข้านะ”
“พูดถึงเรื่องเงินแล้วทำร้ายความรู้สึก ความสัมพันธ์ระหว่างเรามันวัดกันด้วยเงินไม่ได้หรอก”
สวี่ชีอันนั่งอยู่บนม้า เอ่ยต่อไป “อย่าให้ท่านโหราจารย์ต้องรอนาน เจี้ย เจี้ย เจี้ย…”
สิ้นเสียง เจ้าม้าก็วิ่งเร็วขึ้น
พอถึงสำนักสังคีต สวี่ชีอันก็ทำเหมือนว่าเรื่องขนมไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เดินเข้าไปในหออย่างคุ้นเคย โดยไม่คิดจะรอฉู่ไฉ่เวย
“เอ๊ะ วันนี้เหตุใดสำนักสังคีตถึงได้เงียบสงัดเช่นนี้เล่า”
ที่ห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง มีเพียงหมอไม่กี่คนกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ มีท่าทางที่ผิดปกติ มองไปที่บันไดอยู่บ่อยครั้ง เหมือนกลัวว่าจะมีสัตว์ประหลาดเดินลงมาที่ชั้นล่าง
ได้ยินเสียงของสวี่ชีอัน หมอชุดขาวที่อยู่ปากประตูตอบว่า “คุณชายสวี่ พวกเขาต่างไปที่โรงหมอเพื่อวินิจฉัยโรคกันหมดแล้วขอรับ”
“วันนี้เป็นวันอะไร” สวี่ชีอันถาม
หมอชุดขาวยิ้มอย่างเคอะเขิน ไม่ได้ตอบอะไร
สวี่ชีอันเดินขึ้นมาอย่างไม่เข้าใจ พอถึงชั้นที่เจ็ด พบว่าห้องเล่นแร่แปรธาตุระเบิดแล้ว ในวันปกติจะเต็มไปด้วยนักเล่นแร่แปรธาตุที่กระตือรือร้นมาก วันนี้กลับมองไม่เห็นแม้แต่คนเดียว
มาถึงแท่นแปดทิศอย่างราบรื่น
อย่างแรกคือเห็นแผ่นหลังของท่านโหราจารย์ที่สวมชุดขาว ผมสีขาวปล่อยสยาย นั่งอยู่ที่ขอบแท่นแปดทิศ และมองไปยังนอกหอ
ต่อมาเขาเห็นหญิงสาวที่ปล่อยผมสยายนั่งอยู่ด้านข้างท่านโหราจารย์ สวมเสื้อคลุมสีป่านเรียบๆ ก้มหน้าลงกินและดื่มอยู่ที่โต๊ะ
การตัดสินว่านางเป็นผู้หญิง หลักๆ ก็คือตอนที่ผู้ชายนอนคว่ำหน้า โครงร่างของบั้นท้ายคงไม่กลมและอวบอิ่มเช่นนั้น
“คารวะท่านโหราจารย์!”
สวี่ชีอันหยุดอยู่ไกลๆ พลางคารวะและทักทาย
“ไม่เลว รากฐานมั่นคงดี” ท่านโหราจารย์ออกความเห็น
เวลานี้ เสียงฝีเท้าดังลอดมาจากบันได กระโปรงของฉู่ไฉ่เวยพลิ้วไหว หิ้วถุงขนมหลายถุงขึ้นมา
นางนำขนมวางลงบนโต๊ะ ผลักไปให้หญิงสาวที่ก้มหน้ากินอย่างบ้าคลั่ง หญิงสาวหันข้างและเหลือบมอง ก่อนจะเอ่ย “น้อยจัง?”
“ถูกเด็กโง่คนหนึ่งกินไปแล้ว” ฉู่ไฉ่เวยโยนความผิดให้สวี่หลิงอิน
หญิงสาวพยักหน้าและกินต่อ
ศิษย์พี่ห้า?
ในเวลานี้ สวี่ชีอันถึงเข้าใจในภายหลัง และนึกถึงสิ่งที่เคยพูดคุยกับเว่ยเยวียนขึ้นมา
ท่านโหราจารย์มีลูกศิษย์ห้าคน และลูกศิษย์หนึ่งในนั้นไม่ติดต่อกับโลกภายนอกมาตลอดทั้งปี หากใครไม่รู้จักสำนักสังคีต ต่างก็คงคิดว่ามีเพียงฉู่ไฉ่เวยเป็นลูกศิษย์หญิงเพียงคนเดียวในสำนักสังคีตอย่างแน่นอน
‘เป็นนางนี่เอง?’ สวี่ชีอันคิดในใจ
เวลานี้ เสียงที่อ่อนโยนของท่านโหราจารย์ดังขึ้น “กระบี่เล่มนั้นใช้แล้วเป็นเช่นไรบ้าง”
“ใช้ได้ดีมาก ขอบคุณท่านโหราจารย์อย่างยิ่งขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยด้วยน้ำเสียงน่านับถือ
ขณะเดียวกันก็พูดให้ร้ายในใจ กระบี่เล่มนี้ไม่ใช่มาเพื่อปรับแต่งดาบเดียวตัดฟ้าดินของข้าหรือ ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการของท่านหรอกหรือ พูดจาเหลวไหลให้มันน้อยๆ หน่อย
“ผลลัพธ์ของยาคืนชีพเป็นเช่นไรบ้าง” ท่านโหราจารย์ถามอีก
“ดีมากขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างใคร่ครวญ “แต่รูปลักษณ์ที่เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้ข้าลำบากเล็กน้อย ไม่เหมือนข้าคนก่อนที่อ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพอ่อนโยนสูงส่ง สง่างามดุจหยกอันล้ำค่านั้นเลย”
“เช่นนั้นหรือ…” ท่านโหราจารย์พยักหน้า พลางเอ่ยอย่างยิ้มๆ “ข้าสามารถช่วยเจ้าให้กลับไปเป็นแบบเดิมได้”
เอ๊ะ? สามารถเปลี่ยนกลับมาได้หรือ…สวี่ชีอันงุ่มง่ามเล็กน้อย พลางรีบโบกมือ “ไม่กล้ารบกวนท่านโหราจารย์หรอกขอรับ”
ความจริงแล้วเป็นบุรุษที่หล่อเหลามาตั้งแต่เกิด ถึงจะทำให้ข้ายิ่งรู้สึกเป็นตัวแทนมากยิ่งขึ้น
ต่อหน้าท่านโหราจารย์ เขาไม่กล้าพูดจาไร้สาระ ได้แต่เก็บซ่อนอยู่ในใจเท่านั้น
ท่านโหราจารย์พยักหน้าช้าๆ พลางเอ่ย “จงหลีคือลูกศิษย์คนที่ห้าของข้า เป็นศาสดาพยากรณ์ระดับห้า นางสามารถติดตามประสบการณ์ของเจ้าได้ช่วงเวลาหนึ่ง”
ฉู่ไฉ่เวยตกตะลึง มองไปที่ท่านโหราจารย์ และหันไปมองสวี่ชีอันอีกครั้ง
ที่แท้โหรระดับห้าเรียกว่าศาสดาพยากรณ์…แต่ว่า เหตุใดต้องติดตามประสบการณ์ของข้าช่วงเวลาหนึ่งเล่า สวี่ชีอันลองเอ่ยถาม
“เอ่อ…ข้าน้อยสามารถทราบเหตุผลได้หรือไม่ขอรับ”
ท่านโหราจารย์ไม่ได้ตอบคำถามเขา พลางส่งเสียงตะโกน “จงหลี”
หญิงสาวสวมเสื้อคลุมสีป่านลุกขึ้นยืน หันมาคารวะสวี่ชีอันครั้งหนึ่ง ก่อนเอ่ย “อาจารย์ท่านพูดถึงโคจรปราณได้ไม่เลว ติดตามท่าน เคราะห์ร้ายของข้าคงลดลงในระดับหนึ่งแน่นอน ท่านก็คือจีหยวนของข้า”
น้ำเสียงช่างเพราะพริ้งยิ่งนัก น่าฟังเหลือเกิน
สวี่ชีอันจ้องไปที่นางด้วยใบหน้าดุดัน แต่นางก้มหน้าลงเล็กน้อย เรือนผมที่หนาและยุ่งเหยิงได้ปกคลุมใบหน้าของนางจนหมด
“เคราะห์ร้าย?” เขาถามกลับอีกครั้ง
จงหลีเลือกใช้คำพูดอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยอย่างจริงใจ “ศาสดาพยากรณ์สามารถสอดแนมความลับของสวรรค์ได้ หากประสบกับการแว้งกัดของกฎแห่งสวรรค์จะทำให้เคราะห์ร้ายติดตัว มีเพียงต้องผ่านพ้นหายนะทั้งสามพันหกร้อยด่าน ถึงจะสามารถเลื่อนขั้นได้ หากทนไม่ไหว ร่างกายก็จะสูญสลาย ใครก็ตามที่สามารถต้านทานการแว้งกัดของกฎแห่งสวรรค์ ต่างก็เป็นผู้ที่มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่”
หลังฟังคำอธิบายจากจงหลีแล้ว ก่อนอื่นสวี่ชีอันคิดได้อยู่สองเรื่อง เรื่องที่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจเสียทีว่าเหตุใดนักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกถึงได้มากมายเพียงนั้น และระดับหกขึ้นไป เขาเพียงเคยเจอแค่หยางเชียนฮ่วนเพียงคนเดียว
เรื่องที่สอง คิดไม่ถึงว่าอ๋องจอมบังคับจะเป็นคนที่มีโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ เหลือเชื่อ เหลือเชื่อ
ศาสดาพยากรณ์สามารถสอดแนมความลับของสวรรค์ได้? อืม นี่คืออาชีพก่อนที่จะเป็นผู้กุมความลับของสวรรค์…สวี่ชีอันเอ่ยอย่างสงสัย “การแว้งกัดของกฎแห่งสวรรค์จะปรากฏในรูปแบบใดหรือขอรับ ข้าต้องคาดเดาเสียหน่อยว่าสิ่งที่เรียกว่าการแว้งกัดนั้นน่ากลัวเพียงใด ถึงอย่างไรข้าก็เป็นเพียงฆ้องทองแดงธรรมดาคนหนึ่ง”
เขาคาดการณืไว้ไม่มีผิด ท่านโหราจารย์รู้ถึงโคจรปราณแปลกประหลาดที่อยู่บนร่างกายของตน
จงหลีคิด พลางเอ่ย “ปากพาซวย บางครั้งคำพูดที่ไม่ตั้งใจของข้ากลับกลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ได้ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนรอบข้าง รวมถึงตัวข้าเองด้วย บางครั้งการกระทำที่ไม่ได้ตั้งใจ ก็นำพาหายนะที่คาดไม่ถึงมาได้ และไม่สามารถควบคุมมันได้ เป็นไปได้ว่าหากถอยหลังไปหนึ่งก้าว จะนำไปสู่หายนะแห่งความเป็นและความตาย”
พูดอยู่ นางก็ก้าวถอยหลังไปครึ่งก้าวอย่างเป็นสัญลักษณ์
เพียงแค่เคลื่อนไหวง่ายๆ เช่นนี้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น ผู้แข็งแกร่งระดับห้าท่านหนึ่ง คาดไม่ถึงว่าเท้าจะลื่น จนทำให้ตกลงจากแท่นแปดทิศ ตกลงไป…
“ช่วยนางสิ!”
สีหน้าของสวี่ชีอันเปลี่ยนไปอย่างมาก และตะโกนร้องออกไปตามสัญชาตญาณ
หอดูดาวสูงถึงหนึ่งร้อยเมตร หากตกลงไปด้วยความสูงเช่นนี้ ถึงแม้จะเป็นสวี่ชีอันเอง หากยังไม่ถึงระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
และร่างกายของโหรก็แสนจะธรรมดา ไม่มีทางที่จะมาเปรียบเทียบกับทหารได้
ในเวลาเดียวกัน เนื้อเพลงประโยคหนึ่งลอยอยู่ในความคิดของสวี่ชีอันอย่างควบคุมไม่ได้
การเคลื่อนไหวแค่ครึ่งก้าวของเจ้าตั้งใจหรือไม่ การเคลื่อนไหวเล็กน้อยถึงสามารถทำร้ายได้มากขนาดนี้…
ท่านโหราจารย์ถอนหายใจ ยื่นมือออกจากใต้แขนเสื้อกว้าง พลางกำเบาๆ
จงหลีที่ตกลงไปถูกจับขึ้นมา ทำให้รอดพ้นจากชะตากรรมการตกหอตาย
นางก้มหน้า ผมสีดำปล่อยสยาย เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สงบมาก “ความจริงหากมีการเตรียมตัว ยิ่งเป็นการตกจากหอดูดาว ข้าก็คงไม่บาดเจ็บอะไร แต่เมื่อครู่ไม่รู้ว่าทำไม จิตใจว้าวุ่น ไม่มีความคิดจะช่วยตนเองเลย…
“อืม หากมีคนยื่นมือมาช่วยข้าให้รอดพ้นจากเคราะห์ร้าย มันจะไม่ได้ผล มีเพียงแค่ต้องผ่านการทดสอบไปด้วยตนเองถึงจะได้”
ดังนั้น จึงต้องการข้าที่เป็นคนโชคดีมาช่วยเจ้าที่เป็นคนโชคร้าย ทำให้เคราะห์ร้ายลดลง…สวี่ชีอันพยักหน้าโดยทันที เข้าใจเหตุผลที่แท้จริงแล้วว่าเหตุใดท่านโหราจารย์จึงเชิญเขามาที่นี่
“ขออภัย”
สวี่ชีอันส่ายหน้าและปฏิเสธ “ไม่นานข้าต้องออกจากเมืองหลวง มีเรื่องที่ต้องจัดการ ไม่สะดวกพาคนไปด้วย”
ทันใดนั้น ถ้วยสุราถ้วยหนึ่งลอยมาอยู่ข้างหน้าเขา
ขณะเดียวกันสวี่ชีอันก็รับมันมา ได้ยินเสียงท่านโหราจารย์ดังอยู่ข้างใบหู “ดื่มมันแล้ว ก็ไม่ต้องออกจากเมืองหลวง”
ท่านโหราจารย์รู้ว่าทำไมข้าต้องออกจากเมืองหลวง? คิดไม่ถึงว่าเขาจะรู้แล้วว่าไต้ซือเสินซูอยู่ในร่างข้า…เหล้าก็เป็นเหล้าธรรมดา เขาตั้งใจจะช่วยข้าอย่างไรกัน…สวี่ชีอันดื่มสุราในถ้วยจนหมด มีความคาดเดาที่สอดคล้องกัน
การกำบังความลับของสวรรค์
เป็นเรื่องถนัดของโหร
อวิ๋นโจวซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงหลายพันลี้ ค่ายทหารไป๋ตี้เมืองหลวงชั้นนอก
ด้านในกระโจมทหารของกองทัพนางแอ่นเหิน หลี่เมี่ยวเจินถอดชุดเกราะอ่อนออก เก็บหอกเงินขึ้นมา เปลี่ยนเป็นชุดนักพรตของนิกายสวรรค์ เหมือนกับตอนแรกที่นางลงมาจากภูเขา
ซูซูมนุษย์กระดาษสั่งการผีกลุ่มหนึ่งให้ช่วยกันเก็บของอย่างรอบคอบ
………………………………………………..