ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 26 มีคุณธรรม
หลี่มู่ไป๋พลันโบกมือ คนขับรถม้าถูกลมหอบหนึ่งพัดขึ้นแล้วลอยไปหล่นอยู่ข้างถนนเบาๆ
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หลี่คว้าสายบังเหียน ขับรถม้าด้วยตัวเอง ก่อนพูดช้าๆ ว่า “เจ้าเป็นม้าดี เดินทางได้พันลี้ทุกวัน”
ภาพอันน่าตกตะลึงบังเกิดขึ้น เดิมเป็นเพียงม้าสีน้ำตาลทั่วไปที่กำลังลากรถอยู่ แต่ตอนนี้มันกำลังส่งเสียงร้องยาวด้วยความตื่นเต้นออกมา
ใต้ผิวหนังสีน้ำตาล กล้ามเนื้อแต่ละเส้นนูนขึ้น ร่างกายขยายใหญ่ พริบตาเดียวก็สูงใหญ่กว่าม้าธรรมดาเกือบเท่าตัว
จากนั้นรถม้าของหลี่มู่ไป๋ก็หายไปไม่เห็นแม้แต่ฝุ่น
จางเซิ่นแค่นเสียงเย็น “เจ้าก็ลงไปด้วย”
เขาไล่คนขับรถม้าลงไปอยู่ข้างถนน แล้วเข้าไปนั่งแทนที่ จับบังเหียนม้า ก่อนเอ่ยเสียงขรึม “ม้าตัวนี้ทั้งใหญ่ทั้งแข็งแรง ไม่เพียงแต่เป็นม้าพันลี้ แต่ยังมีหกขา”
ภาพน่าอัศจรรย์แบบเดียวกันเกิดขึ้นอีกครั้ง ม้าตัวสีดำนี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเดียวกับม้าตัวนั้น ร่างกายขยายใหญ่ กล้ามเนื้อขดเป็นปม
ส่วนที่แตกต่างกันก็คือ เนื้อตรงส่วนท้องของมันแยกออกจากกัน กระดูกงอกออกมา เส้นประสาทพันเข้าด้วยกัน…ขาม้าสองขางอกขึ้นมาใหม่กะทันหัน
ม้าดำหกขาราวกับบินได้ มันเตะฝุ่นฟุ้งตลบหนึ่ง ออกตัวทีหลังแต่ไปถึงก่อน ตามทันรถม้าของหลี่มู่ไป๋แล้ว
“โจรเฒ่า เจ้ามันไร้ยางอายเกินไปแล้ว มีที่ไหนม้าหกขา” หลี่มู่ไป๋โมโหหนัก
“ข้าบอกว่ามีก็มี”
“ได้ เช่นนั้นม้าตัวนี้ของข้าก็มีแปดขา”
“ฮึ โจรเฒ่าไร้ยางอาย คิดจะแย่งลูกศิษย์กับข้าใช่ไหม รถม้าคันนี้ของข้าเบาราวกับเยื่อกระดาษ บินไปกับสายลม!”
ลมหอบหนึ่งพัดมา รถม้าของจางเซิ่นลอยล่องราวกับเยื่อกระดาษ ลอยตามลมไปไกล
หลี่มู่ไป๋ไม่ยอมแพ้ เขาตะโกนขึ้น “รถม้าของข้าขี่เมฆได้”
เมฆขาวก้อนหนึ่งปรากฏขึ้นบนพื้นแล้วติดแน่นอยู่บนล้อรถ พารถม้าส่งขึ้นไปบนฟ้า
สวี่ผิงจื้อปากอ้าตาค้างมองภาพตรงหน้า จนกระทั่งรถม้าทั้งสองคนหายไปลับฟ้า เขาก็กลืนน้ำลายกล่าวว่า
“บัณฑิตช่างคุยโวกันเสียจริง”
สวี่ซินเหนียนทอดมองท้องฟ้า จิตใจโหยหา แล้วเอ่ยพึมพำ “นี่ไม่ใช่การคุยโว แต่เป็นลัทธิขงจื๊อขั้นห้า คุณธรรม!”
มันยังมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งที่เกิดจากคำเหน็บแนมหลังท่านโหราจารย์ดื่มเหล้าเมา คือ ‘พวกนักปราชญ์ใช้หนังสือเป็นบ่อนทำลายกฎเกณฑ์’
…
ห้องขังกรมอาญา
สวี่ชีอันสวมเครื่องจองจำ นั่งขัดสมาธิอยู่บนเสื่อฟางขาดๆ หลังพิงกำแพงเย็นชืด
ได้กลิ่นอับชื้นเน่าเหม็นในอากาศ คล้ายกลับไปยังเรือนจำในที่ทำการปกครอง
ตามข้อมูลที่พลิกอ่านมาจากสำนวนคดีก่อนหน้านี้ คดีที่ชายหนุ่มฉุดคร่าหญิงสาวของที่ทำการปกครองเมืองจิงจ้าวมีมากมายจนยกตัวอย่างไม่ไหว เรื่องยุ่งวุ่นวายพวกนี้ เดิมทีก็ไปไม่ถึงหูของจักรพรรดิเฒ่าเพราะถูกระงับไว้
‘เบื้องบนรับรู้’ ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอกหรือที่ทำให้สี่คำนี้หนักราวภูเขาไท่ซาน
แต่นี่มันช่วงการตรวจสอบข้าราชสำนัก ไม่กลัวศัตรูทางการเมืองรุมหาเรื่องหรืออย่างไร… สวี่ชีอันถอนหายใจ “แค่เพียงกำจัดข้าในเร็ววัน แล้วให้อารองทนรับความอัปยศโดยใช้ชีวิตคนในครอบครัวมาบีบบังคับ แค่นี้เรื่องก็จบแล้วไม่ใช่หรือ ข้าผิดเอง เป็นชนชั้นกลางอาจใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขก็จริง แต่ตราบใดที่ไปกระตุ้นพวกตัวใหญ่พวกนั้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะไม่มีทางหาความสงบสุขได้อีกตลอดไป หากอยากจะมีชีวิตแบบมนุษย์ ข้าก็ต้องมีอำนาจและพละกำลัง”
‘เคร้ง!’ …ประตูเหล็กที่ปลายทางเดินเปิดออก เสียงฝีเท้าจากที่ไกลๆ ดังเข้ามาใกล้ ไม่นาน ผู้คุมคนหนึ่งก็นำทหารในชุดเกราะติดอาวุธสองคนมาอยู่หน้ากรง
“มาพาเจ้าไปกินอาหารมื้อสุดท้ายแล้ว” ผู้คุมยิ้มเยาะ
หลังจากเขาเปิดประตูก็ไม่ได้เข้าไป แต่กลับถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วตะโกนเสียงดัง “ออกมา”
สองมือของทหารชุดเกราะจับด้ามดาบเอาไว้ สายตาระมัดระวัง
ถึงแม้จะสวมเครื่องจองจำและโซ่ตรวนรัดเท้าแบบพิเศษ แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นทหารระดับหลอมจิตขั้นสูงสุดอยู่ดี ถ้าหากเกิดสู้สุดตัวยามสิ้นหวังขึ้นมาล่ะก็ พวกเขาสองสามคนก็จะเป็นอันตรายได้
“ทางที่ดีเจ้าควรจะทำตัวดีๆ ให้ความร่วมมือกับพวกเราเสียเถอะ เจ้าไม่อยากให้พวกเราเจาะข้อมือข้อเท้าของเจ้าแล้วลากตัวออกมาหรอก”
สวี่ชีอันนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนผุดลุกขึ้น
…
ณ กรมอาญา เจ้ากรมซุนกำลังนั่งจัดการงานอยู่บนโต๊ะ ม้วนเอกสารและสมุดพับกองเป็นภูเขา
ทันใดนั้น เขาคล้ายเกิดความรู้สึกบางอย่าง จึงเงยหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
ขณะนั้น เงาดำสองร่างก็เข้ามาหาอย่างรวดเร็ว ล้อรถค่อยๆ ชัดเจนยิ่งขึ้น มันคือรถม้าสองคัน คันหนึ่งขี่สายลม อีกคันหนึ่งขี่เมฆหมอก
หลังจากรถม้าสองคันขับแข่งแย่งที่กัน มันก็ลงจอดบนลานใหญ่ของที่ว่าการปกครองกรมอาญา
ทันทีที่ม้าร่างกำยำแตะพื้น ในที่สุดมันก็ล้มลงกับพื้นด้วยความอ่อนล้าราวกับถูกดูดพลังชีวิตไปจนหมด ก่อนจะชักเกร็งแล้วตายไป
ทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ในกรมอาญารีบเข้ามาล้อมทันที
เจ้ากรมซุนผู้สวมชุดคลุมสีแดงเดินขมวดคิ้วเข้ามา เขามีใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมแบบตัวอักษร 国[1] เมื่อเขาขมวดคิ้วจดจ่อ ก็เต็มไปด้วยความเคร่งขรึม
“พี่ฉุนจิ้ง พี่จิ่นเหยียน พวกท่านสองคนมากรมอาญาของข้าด้วยเหตุใดกัน”
เจ้ากรมซุนยังนับว่ามีหวัง แม้ว่าความบาดหมางของราชวิทยาลัยหลวงและสำนักอวิ๋นลู่จะมีมานานแล้ว แต่การปรากฏตัวของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านก็พอจะทำให้เขามีท่าทีตื่นตัวขึ้นมาบ้าง
จางเซิ่นกอบมือคำนับ เอ่ยเสียงเบา “วันนี้กรมอาญาจับศิษย์คนหนึ่งของข้าไป ชื่อสวี่ชีอัน รบกวนเจ้ากรมซุนปล่อยคนด้วย”
จับศิษย์ของสำนักอวิ๋นลู่หรือ
‘คนแก่กลุ่มนี้ของสำนักอวิ๋นลู่เข้าข้างคนกันเองที่สุดแล้ว’ …เจ้ากรมซุนกล่าว “กรมอาญามีอำนาจในการลงโทษตัดสิน ไม่จับคนมาโดยไร้เหตุผลหรอกขอรับ ทั้งสองท่านโปรดพูดให้ชัดเจน”
เขาไม่ได้ตอบรับทันที ถึงแม้ราชวิทยาลัยหลวงจะข่มสำนักอวิ๋นลู่ในแวดวงขุนนางจนไม่อาจสู้หน้านั่นก็เพราะราชวิทยาลัยหลวงเป็นสำนักที่ดำเนินการโดยราชสำนักเอง
สำนักอวิ๋นลู่ย่อมสู้ราชวิทยาลัยหลวงไม่ได้ ถ้าราชสำนักไม่ต้องการคนของเจ้า เจ้าจะทำอะไรได้
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าสำนักอวิ๋นลู่จะเป็นลูกไก่ในกำมือที่สามารถบีบคลายได้ตามต้องการ สำนักอวิ๋นลู่มีระบบฝึกตนของลัทธิขงจื๊อ และเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในใจของนักปราชญ์ทั่วหล้า
เหล่าอาจารย์ของสำนักมีชื่อเสียงในเรื่องเข้าข้างคนของตน ดังนั้น ตราบใดที่ไม่ได้ทำทุจริตผิดอาญาจริงๆ เจ้าหน้าที่ของกรมอาญาก็จะไม่หาเรื่องก่อน
ยังไม่ทันที่ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองท่านจะได้พูด เจ้าหน้าที่สองสามคนวิ่งตะลีตะลานเข้ามาเอ่ยเสียงดัง “ท่านเจ้ากรม ด้านนอกมีคนชุดขาวจากสำนักโหราจารย์กลุ่มหนึ่งมาขอรับ พวกเขาบุกเข้ามาในที่ทำการปกครอง พวกเราหยุดไว้ไม่ได้…”
เจ้ากรมซุนและเจ้าหน้าที่กรมอาญาในที่นั้นมองตามเสียงไป ศิษย์สำนักโหราจารย์ในชุดขาวล่องลอยกลุ่มหนึ่งก็พุ่งตรงเข้ามาในที่ทำการปกครองกรมอาญา
ผู้นำเป็นชายหนุ่มที่ปักลายเตาหลอมบนหน้าอก คิ้วหนา จมูกโด่ง ขอบตาดำคล้ำราวกับไม่ได้นอนตลอดทั้งปี
นั่นคือซ่งชิงศิษย์ลำดับสี่ของท่านโหราจารย์แห่งสำนักโหราจารย์
ท่าทางทรงอำนาจเหนือกว่าของอีกฝ่ายทำให้เจ้ากรมซุนขมวดคิ้ว เอ่ยเสียงดัง “พวกเจ้าบุกรุกกรมอาญา ทำผิดกฎหมายแล้วยังไม่รีบถอยกลับไปอีก”
ซ่งชิงหยุดเดินแล้วคำนับ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “ท่านเจ้ากรม พวกข้ามาที่นี่เพราะต้องการคนผู้หนึ่งจากกรมอาญา”
เมื่อได้ยินคำนี้ เจ้ากรมซุนก็ตกใจ พอจะคาดเดาได้ จึงเอ่ยเสียงเบา “ผู้ใด”
“สวี่ชีอัน วันนี้เพิ่งถูกกรมอาญาจับตัวไปโดยไร้สาเหตุ”
‘สวี่ชีอันอีกแล้ว คนผู้นี้เป็นผู้วิเศษจากที่ใดกัน ถึงได้ชักนำปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักอวิ๋นลู่มาพร้อมกับคนชุดขาวของสำนักโหราจารย์ได้’
ในต้าฟ่ง ไม่มีใครอยากขัดใจท่านโหราจารย์ แม้แต่สำนักอวิ๋นลู่ที่อ้างว่าเป็นลัทธิขงจื๊อแบบดั้งเดิม เมื่อถูกโหราจารย์ที่ชอบร่ำสุราเหน็บแนมว่าใช้หนังสือเป็นบ่อนทำลายกฎเกณฑ์ ก็ยังต้องบีบจมูกยอมรับ ไม่พยายามใช้เหตุผลไปโน้มน้าวท่านโหราจารย์เลย
“เกิดอะไรขึ้น สวี่ชีอันเป็นผู้ใด เหตุใดจึงไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”
“เจ้าคนโง่เขลาไร้ความรู้ รู้จักคดีเงินภาษีหรือไม่ คนที่ไขคดีได้ก็คือสวี่ชีอัน”
“แต่คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ เหตุใดจึงดึงนักปราชญ์และสำนักโหราจารย์มาเกี่ยวด้วยได้”
“น่าแปลก กรมอาญาจับเขามาทำไมนะ”
เหล่าเจ้าหน้าที่กรมอาญาที่มามุงดูกระซิบกระซาบ
เจ้ากรมซุนกวักมือเรียกเจ้าหน้าที่กรมอาญาคนหนึ่งมาสอบถาม “วันนี้กรมอาญาได้จับกุมนักโทษชื่อสวี่ชีอันมาหรือไม่”
เจ้าหน้าที่คนนั้นรับคำเสียงเบาประโยคหนึ่ง แล้วรีบวิ่งออกไป ไม่นานก็ถือเอกสารราชการกองหนึ่งกลับมา
“ท่านเจ้ากรม ในเอกสารจับกุมไม่มีชื่อสวี่ชีอันผู้นี้ขอรับ”
‘ไม่มีหรือ’ เจ้ากรมซุนหน้าขรึม
“ผู้ใดเป็นคนไปจับ”
“เรื่องนี้ข้าน้อยรู้…” เจ้าหน้าที่คนนั้นหันสายตากวาดมองคนชุดเขียวในฝูงชน “เป็นหวงหลางจงขอรับ”
‘ชิ้ง’ …ทุกสายตาสาดไปมอง
หลังจากเขากลับมายังกรมอาญาก็ได้ดื่มชาหนึ่งถ้วย แต่ยังไม่ทันได้ขอรางวัลจากคุณชายของรองเจ้ากรม หวงหลางจงที่สวมชุดคลุมเขียวก็รู้สึกเย็นวาบในใจแล้ว
……………………………….
[1] 国 เป็นตัวอักษรภาษาจีน