ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 271 ท้าทายฆ้องเงิน
บทที่ 271 ท้าทายฆ้องเงิน
หญิงผู้นี้ดูแล้วอายุประมาณสามสิบกว่า รูปร่างธรรมดา หน้าตาก็งั้นๆ
สวี่ชีอันได้พบเจอสาวงามในช่วงวัยเท่ากับนางมามากมาย อาทิ เฉินกุ้ยเฟย ฮองเฮา และอาสะใภ้ของเขา ในแง่ของรูปร่างหน้าตา ทุกคนล้วนเอาชนะหญิงผู้นี้อย่างขาดลอย
แต่นางมีพลังบางอย่างที่สาวสวยเหล่านั้นไม่มี
ความซึน… ถูกต้อง มันคือนิสัยซึนเดเระ[1] นั่นเอง
นิสัยเช่นนี้ไม่ค่อยปรากฏในสาวแก่สักเท่าไร
สวี่ชีอันรู้อยู่แก่ใจ เพียงแต่ไม่อยากยอมรับ “ถุงหอมอะไร”
“ถุงหอมสีเขียวอ่อน ข้างในมีเงินยี่สิบตำลึงทอง” หญิงผู้นั้นกดมือสองข้างลงบนโต๊ะ ใช้สายตาเหยียดหยามมองสวี่ชีอันพร้อมกัดฟันพูด “เอาคืนมา”
ตะ ตำลึงทองหรือ?! สวี่ชีอันหัวใจกระตุก ทว่าแสร้งตีสีหน้าเรียบเฉยต่อไปแม้จะงงงวยก็ตาม “ท่านป้า ถุงหอมของเจ้าหายไป แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า”
“ป้าหรือ?!” นางแผดเสียง
ยายป้าผู้นี้โมโหจนใบหน้าแดงก่ำลามไปถึงใบหู ดวงตาของนางเบิกกว้าง จ้องมองที่สวี่ชีอันอย่างโกรธเคือง
ปฏิกิริยานี่มันอะไรกัน ตัวเองอายุอานามตั้งเท่าไรก็รู้ดีอยู่แก่ใจ…สวี่ชีอันโบกมือ ไล่นางไปไกลๆ “ข้าไม่ได้ขโมยถุงหอมของเจ้า ไสหัวไปซะ”
หญิงผู้นั้นสูดหายใจเข้าลึก แล้วหันไปตะโกนลั่น “มานี่!”
บริเวณทางขึ้นบันได ปรากฏใบหน้าของเด็กน้อยที่ชะเง้อชะแง้ออกมา ที่แท้ก็เป็นเด็กที่สวี่ชีอันแกล้งจนตกใจหนีไปเมื่อครู่ และเป็นเด็กที่เห็นเขาหยิบถุงหอมไปด้วย
“เขานี่แหละที่หยิบถุงหอมไปและข่มขู่ข้า” เด็กน้อยชี้ไปที่สวี่ชีอันและพูดเสียงดังลั่น
นักดื่มที่อยู่โดยรอบหันมามองเป็นตาเดียว หญิงสาวทรงเสน่ห์ผู้นั้นก็มองดูฉากตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มอย่างเพลิดเพลิน
“เด็กน้อย มานี่ซิ” สวี่ชีอันกวักมือเรียก
เด็กน้อยส่ายหน้าและจ้องไปที่สวี่ชีอันอย่างหวาดระแวง
สวี่ชีอันหยิบเศษเงินออกมาจากแขนเสื้อ พอดีดนิ้วเศษเงินก็ตกลงบนพื้นและกลิ้งไปหยุดต่อหน้าเด็กน้อย จากนั้นเขาจึงพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไหนพูดอีกที ข้าได้ยินไม่ชัด”
เด็กน้อยหยิบเศษเงินแล้วเอ่ยเสียงดังฟังชัด “ข้าไม่รู้ ไม่เห็นอะไรเลย”
สวี่ชีอันหัวเราะชอบใจ “ไปซื้อถังหูลู่มากินนะ”
เด็กน้อยลงบันไดจากไปอย่างมีความสุข
ฆ้องทองแดงทั้งสองหัวเราะพร้อมกับพวกเขา มองดูหญิงสาวผู้แสนจืดชืดอย่างขำขัน
นักดื่มที่อยู่รอบๆ เบนสายตาไปทางอื่น ในเมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจให้รับชม ก็หันกลับไปจดจ่อกับการต่อสู้บนสังเวียนต่อ
แม้แต่พวกหน้าใหม่ที่มาถึงเมืองหลวงเป็นครั้งแรกก็ยังรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นขาใหญ่ประจำเมืองหลวง ไม่สามารถยั่วยุได้ หญิงผู้นี้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพวกผมยาวแต่ไร้สมอง[2] ไม่รู้ถึงความร้ายกาจของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเสียแล้ว
อย่าว่าแต่ยึดถุงหอมเลย ต่อให้ให้จับยัดใส่กล่องเอาไปถวายตัวให้ฮ่องเต้ หากเจ้าไม่มีคนหนุนหลังดีๆ ก็หมดทางรอด
หญิงผู้นั้นจ้องมองสวี่ชีอันชั่วครู่ ทันใดนั้นก็คลี่ยิ้มเปี่ยมด้วยเสน่ห์สุดจะพรรณนา
นางนั่งลงอย่างสบายอารมณ์ หยิบชามและตะเกียบที่สวี่ชีอันยังไม่ได้ใช้ขึ้นมา และสวาปามอาหารเหมือนไม่มีใครอยู่ใกล้ ดูเหมือนคนที่หิวโซจริงๆ นางลงมือกินอาหารอย่างตะกละตะกลาม หลังจากอิ่มท้องแล้ว นางเปลี่ยนท่าทีวางตัวสง่างามทันที
หลังจากที่นางกระดกเหล้าจอกเล็กๆ ลงไป นางก็มองไปยังสวี่ชีอันและเย้ยหยัน “นี่ ใต้เท้าไม่คิดจะล่ามข้าน้อยไปขังที่ทำการปกครองหรือ”
สวี่ชีอันตอบกลับอย่างเรียบเฉย “ท่านป้า ข้าวแค่ไม่กี่คำ ไม่ต้องถึงขั้นนั้นหรอก”
คิดดูแล้วหญิงผู้นี้คงจะหิวเพราะถึงเวลาอาหารเย็นพอดี พอหาถุงหอมไม่พบ ก็ย้อนหาตามทางเดิม จนมาเจอกับเขาที่นี่
‘ป้าหรือ’…นางกัดฟันกรอดอีกครั้ง
“เหอะ สงสัยพึ่งบารมีผู้หลักผู้ใหญ่สิท่า ไม่อย่างนั้นมีหรือจะได้เป็นถึงฆ้องเงินตั้งแต่อายุยังน้อย” จอมยุทธ์หนุ่มที่อยู่ข้างๆ กดเสียงต่ำ เอ่ยด้วยน้ำเสียงชิงชัง
หญิงซึ่งอายุราวๆ อาสะใภ้ของเขา ได้ยินดังนั้นก็มองสวี่ชีอันอย่างยียวน
“ถูกต้อง แม้แต่ถุงหอมของป้าแก่ๆ คนหนึ่งก็ยังละโมบ ดูอย่างไรก็ไม่ใช่คนดี” จอมยุทธ์หนุ่มอีกรายกระซิบกระซาบ
เมื่อสาวเจ้าได้ยินเช่นนั้น นางก็พูดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เป็นถึงฆ้องเงินเสียเปล่า คนอื่นว่าร้ายลับหลัง ไม่โกรธเชียวหรือ”
หญิงผู้นี้น่าสังเวชเหลือเกิน… สวี่ชีอันถามยิ้มๆ “แล้วเจ้าว่าควรทำอย่างไรดีล่ะ”
หญิงผู้นั้นกล่าวอย่างโกรธแค้น “ก็จับเข้าคุกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลให้หมดน่ะสิ”
จอมยุทธ์หนุ่มโต๊ะข้างๆ ได้ยินประโยคนี้เข้าแล้ว แต่พวกเขาไม่อยากหาเรื่อง จึงนิ่งเงียบไปโดยปริยาย เพราะถึงอย่างไร พวกเขาก็ไม่กล้ายั่วโมโหหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
“แบบนั้นก็เกินไป ก็แค่คนปากมากนิดหน่อยเอง” หลังจากที่สวี่ชีอันพูดจบ เขาก็เสริมอีกประโยค “ท่าทางยาจกไม่มีปัญญาจ่ายค่าปรับสักตำลึง เปลืองแรงเปล่าๆ”
จอมยุทธ์หนุ่มโกรธจัดแต่ไม่กล้าตอบโต้
หญิงผู้นั้นเลิกสนใจสวี่ชีอันหันไปกินข้าวจิบสุรา ขณะชมการต่อสู้ของนักสู้บนสังเวียนอย่างเมามัน
ที่สวี่ชีอันไม่ไล่ยายป้าที่น่าสนใจผู้นี้ไป เป็นเพราะรู้สึกว่านางไม่ธรรมดาเหมือนหน้าตา
ย้ำอีกครั้งว่ารูปร่างหน้าตาของนางนั้นสุดแสนจะจืดชืด ไม่มีทั้งรูปร่างอวบอัดน่ามอง ไม่มีทั้งหน้าตาทรงเสน่ห์เย้ายวน
แต่ตัวตนของนางไม่น่าจะธรรมดา คนปกติไม่พกเงินติดตัวไปไหนมาไหนมากขนาดนั้น ครึ่งจินเท่ากับแปดตำลึง ถ้าสักยี่สิบตำลึงคงหนักประมาณหนึ่งจินนิดๆ
ก็ไม่ถือว่าหนักมาก ต่อให้เป็นเด็กก็ยังแบกน้ำหนักประมาณนี้ได้ แต่ว่ายี่สิบตำลึงเทียบเท่ากับเงินออมหนึ่งปีของคนปกติเชียวนะ
หากเป็นตำลึงทอง ก็เป็นเงินก้อนโตอย่างคาดไม่ถึง
ยายป้าคนนี้สวมเสื้อผ้าสตรีธรรมดา เรือนผมสีดำขลับเงางามปักด้วยปิ่นไม้เรียบๆ หากพรรณนาตามฉบับสวี่ชีอันในชาติก่อนคงต้องกล่าวว่า
‘ทั้งตัวมีแต่ของดาดๆ เต็มที่ให้แค่ร้อยหยวนขาดตัว’
แต่ทว่ายายป้าผู้สุดแสนจะธรรมดาผู้นั้นเพียงแต่เท้าเอวมองจิกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้ใจจืดใจดำ ที่ฉกฉวยเงินจำนวนมหาศาลที่นางทำหายไปเท่านั้น ความขุ่นเคืองต่อสวี่ชีอันที่ฉกฉวยของของตนไปแล้วไม่คืน ยังมีมากกว่าความขุ่นเคืองที่ตนสูญเงินก้อนใหญ่เสียอีก
นี่มันใช่นิสัยที่คนปกติทั่วไปพึงมีหรือ
เงินยี่สิบตำลึง หากเปลี่ยนเป็นสวี่ชีอัน ป่านนี้คงได้จัดการเอาชีวิตของไอ้เวรที่ฉกเงินไปไม่คืนเรียบร้อยโรงเรียนจีน
ถ้าเป็นยี่สิบตำลึงทอง แจ็กหม่าก็แจ็กหม่าเถอะ ป่านนี้แจ้งตำรวจไปแล้ว
“ใต้เท้า ข้าน้อยขอดื่มกับท่านสักจอกได้หรือไม่เจ้าคะ”
ในตอนนั้นเอง หญิงสาวหน้าตาสะสวยเย้ายวนผู้นั้นก็บิวเอวคอดกิ่วเยื้องย่างเข้ามาพร้อมกับจอกเหล้าในมือ
สวี่ชีอันเพิ่งสังเกตเห็นว่านางสวมกระโปรงยาวถึงเอว ผืนผ้าเส้นยาวคาดอยู่บนเอวบาง รูปร่างแบบนี้มันช่างโดนใจใช่เลย…
เขาเหลือบมองป้าข้างๆ โดยที่นางไม่รู้ตัว นางสวมเสื้อผ้าแสนเฉิ่มเชย เนื้อผ้าหนาเตอะ อายุอานามขนาดนี้แล้ว หุ่นก็คงจะไม่ได้ดีสักเท่าไร
“ได้สิ”
สวี่ชีอันรีบเชื้อเชิญคนงามให้นั่งลง แต่ติดปัญหาที่เก้าอี้ทั้งสี่ตัวมีคนนั่งเต็มหมดแล้ว สาวสวยผู้มีดวงตาดุจผลชิ่งได้แต่มองซ้ายมองขวา ไม่กล้านั่ง
นางไม่กล้าทำให้ฆ้องทองแดงทั้งสองหัวเสีย จึงค่อยๆ หันไปหาสตรีอีกนางหนึ่ง ส่งยิ้มหวานแล้วกล่าว “ท่านน้าเจ้าคะ…”
ยายป้าหันกลับมา จ้องมองหญิงสาวทรงเสน่ห์ด้วยสายตาดุดัน แต่หลังจากมองตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ยายป้าวัยสามสิบก็ส่งเสียง ‘หึ’ เป็นเชิงเหยียดหยัน แล้วหันกลับไปชมการต่อสู้ต่อ
สายตาของนางเมื่อครู่มันอะไรกัน นางใช้สายตาดูหมิ่นดูแคลนมองข้าหรือ…หญิงสาวแสนสวยหรี่ตามอง นี่เป็นครั้งแรกที่หญิงอื่นมองตนด้วยสายตาเช่นนั้น
ในอดีตไม่ว่านางจะไปที่ใด ล้วนเป็นจุดสนใจของเหล่าบุรุษ
ในสายตาของบุรุษ ทุกอิริยาบถของนางช่างน่ารักน่าเอ็นดู ชวนให้หลงใหล เห็นแล้วเลือดลมสูบฉีด
เหล่าหญิงสาวก็จะพากันอิจฉา ริษยาและพากันให้ร้ายนาง
แต่ยายป้าสูงวัยผู้นี้กลับใช้สายตาเหยียดหยันมองนาง
สวี่ชีอันส่งสายตาให้ฆ้องทองแดงทางซ้าย ฆ้องทองแดงหัวไวจึงหยิบกระบี่ขึ้นและกล่าวด้วยความเคารพ “ใต้เท้า ข้าน้อยขอตัวออกไปลาดตระเวนก่อนนะขอรับ”
สวี่ชีอันส่งเสียง ‘อืม’ แล้วเชื้อเชิญด้วยรอยยิ้ม “แม่นางโปรดนั่งลงเถิด”
หญิงเจ้าเสน่ห์ยิ้มหวานและรวบกระโปรงนั่งลงไป
นางสังเกตสวี่ชีอันมาพักใหญ่แล้ว ชายผู้นี้เป็นเหยื่อชั้นดี อย่างแรกหน้าตาหล่อเหลา เครื่องหน้าประณีตราวกับงานแกะสลัก ดวงตาของเขาดุจดั่งดวงดาวที่ส่องประกายเจิดจ้า
จมูกโด่งเป็นสันและคิ้วสีดำหนารับกับโครงหน้าอันเข้มแข็ง ดูสมชายชายตรี
นอกจากนี้ สิ่งที่ทำให้สนใจมากขึ้นคือตำแหน่งฆ้องเงินของสวี่ชีอัน อายุยังน้อยแต่มาอยู่ในตำแหน่งนี้ได้ หากไม่ใช่เพราะความสามารถอันเยี่ยมยอด ก็ต้องมีผู้อาวุโสที่มากอำนาจในตระกูล
ไม่ว่าจะอย่างใดก็คู่ควรให้นางผูกมิตรชิดใกล้
“ข้ายังไม่ได้ถามชื่อเสียงเรียงนามของใต้เท้าสินะเจ้าคะ”
“สวี่ชีอัน…แล้วชื่อของแม่นางเล่า”
“หรงหรงเจ้าค่ะ”
แม่นางหรงหรง มีชื่อในวงการหรือไม่… สวี่ชีอันยิ้มและพูดต่อ “นามช่างไพเราะ สมกับแม่นางผู้งดงามปานนางฟ้านางสวรรค์”
หรงหรงป้องปากหัวเราะแล้วกล่าวเสริม “ข้าน้อยยังมีฉายาเรียกว่าหัตถ์รื่นรมย์เจ้าค่ะ”
สวี่ชีอันวางจอกเหล้าลงแล้วจ้องมองหรงหรงซ้ำไปซ้ำมา อีกฝ่ายถูกเขาจ้องราวกับตนกำลังเปลือยกาย แต่หาได้ถือสาไม่ เพียงแต่ยืดตัวตรงเท่านั้น
“ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว”
สวี่ชีอันเอ่ยในใจ โชคแห่งความรักเข้าข้างข้าแล้วหรือ เมื่อเช้าเพิ่งจะได้ยินอารองพูดถึงสี่หญิงงามแห่งเมืองหลวง พอตกเที่ยงก็เจอตัวจริงเลย
“อะแฮ่มๆ!”
เขาวางจอกเหล้าลงและแนะนำตัว “ที่แท้ก็แม่นางหรงหรงหัตถ์รื่นรมย์นี่เอง ขอแนะนำตัวอีกครั้ง ข้ามีนามว่าสวี่ชีอัน ท่านอาของข้าเป็นหัวหน้ากองดาบ”
หรงหรงหัตถ์รื่นรมย์รู้สึกผิดหวังเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น
แม้ว่ากองดาบจะเป็นหนึ่งห้ากองกำลังพิทักษ์เมืองหลวง แต่ตำแหน่งบ่งบอกถึงอำนาจ ซึ่งตำแหน่งดังกล่าวไม่ใช่ตำแหน่งที่โดดเด่นนักในที่ทำการปกครอง
แต่ประโยคต่อไปของสวี่ชีอันทำให้หรงหรงเปลี่ยนความคิด
“แต่ก่อนเคยติดตามทัพของเว่ยกงไปออกรบ สร้างความดีความชอบในสงครามด่านซานไห่ เพราะความสัมพันธ์อันดีนี้ ข้าจึงได้รับตำแหน่งกึ่งทางการในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมา”
“อวี้อ๋องเป็นดั่งอาของข้า สนิทชิดเชื้อกับพ่อของข้า พ่อของข้าก็เป็นถึงป๋อ แต่น่าเสียดายที่ท่านด่วนจากไปเสียก่อน ข้าจึงไม่ได้รับมรดกถาวรที่ตกทอดต่อมา มาบัดนี้ ตัวข้าจึงได้เป็นเพียงจื่อผู้ต่ำต้อย”
อาเป็นลูกน้องคนสนิทของเว่ยกง พ่อเป็นถึงสหายของอวี้อ๋อง ตัวเขาเองก็เป็นถึงฆ้องเงินและได้รับบรรณาศักดิ์จื่อด้วย…หรงหรงตกตะลึงชั่วขณะ ดวงตาคู่งามจ้องมองสวี่ชีอันโดยไม่กะพริบ
นางได้ยินมานานแล้วว่าผู้ดีในเมืองหลวงนั้นขวักไขว่ราวกับเมฆลอยเกลื่อนเต็มฟ้า หากบังเอิญพบชายสักคนหนึ่ง ไม่แน่ในตระกูลอาจจะมีขุนนางอยู่ด้วย
ทว่าตำแหน่งใดที่ว่าสูงส่ง จะสูงส่งเทียบเท่าเว่ยเยวียนหรือ บรรดาศักดิ์ที่ว่าสูงส่ง จะสูงส่งเทียบเท่าอวี้อ๋องได้หรือ
ทันใดนั้น หรงหรงก็รู้สึกเนื้อเต้นยิ่งกว่าเดิม
เนื่องจากการเข้าสังคมในชาติที่แล้ว เขาจึงออกท่องราตรีไปตามที่ต่างๆ มาไม่น้อย ที่หยอกเอินหญิงสาวจำพวกนี้ได้คล่องปรื๋อ ไม่ใช่เพราะปรารถนาในตัวของนาง แต่เป็นเพราะสวี่ชีอันหวนนึกถึงความรู้สึกเก่าๆ ต่างหาก
ถึงจะพูดจาหยาบโลนบ้าง เย้าแหย่บ้าง แต่แม่สาวทรงเสน่ห์นามว่าหรงหรง หรือที่เรียกกันเล่นๆ ว่าหัตถ์รื่นรมย์ก็ไม่มีท่าทีขุ่นเคือง
หากเปลี่ยนเป็นหญิงสาวจากตระกูลผู้ดี ป่านนี้คงได้ฝากรอยมือแดงเถือกบนหน้าเขาไปแล้ว ‘ฮึ พวกลามกจกเปรต’
ยิ่งเป็นพวกหัวแข็งไม่ยอมคนล่ะก็ มีหวังได้กินลูกตบเหล็กผสมไทเทเนียม 24k จากแม่สาวแกร่งเป็นแน่
ตอนนั้นเอง หรงหรงก็มองไปยังสังเวียน และกล่าวกึ่งสงสัยกึ่งลองเชิง “คุณชายสวี่คิดว่า ระหว่างสองคนนี้ใครจะชนะหรือเจ้าคะ”
“ก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ที่ใช้ดาบน่ะสิ” สวี่ชีอันตอบโดยไม่ลังเลใจ
“แม้แต่คนโง่ยังดูออกเลย” ยายป้าพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา เป็นเชิงบอกกลายๆ ว่าตนยังนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้
ชายหนุ่มที่ถือดาบโจมตีชายฉกรรจ์ที่ถือขวานตลอดการต่อสู้ ท่าทางมั่นใจเต็มประดา ฝีมือการใช้ดาบก็เยี่ยมยอด เรียกเสียงปรบมือจากผู้ชมขอบสนามได้เป็นพักๆ
“ก่อนจะถึงระดับหลอมปราณ ระดับของความแข็งแกร่งจะขึ้นอยู่กับร่างกาย ไม่ว่าความแข็งแรงหรือร่างกาย คนที่ใช้ขวานย่อมเหนือจอมยุทธ์หนุ่มที่ใช้ดาบ แต่ทำไมมันถึงเสียเปรียบล่ะ ก็เพราะกระบวนท่าดาบของจอมยุทธ์หนุ่มนั่นมากลีลาอย่างไรเล่า” สวี่ชีอันกล่าว
ยายป้าไม่ตอบแต่เงี่ยหูฟังเงียบๆ
“ข้าเดาว่าน่าจะเป็นนักแสดง” สวี่ชีอันเปิดเผยความจริง
“นักแสดงหรือเจ้าคะ”
หรงหรงไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อน
“ก็คือการจัดฉากขึ้นมาน่ะ” สวี่ชีอันอธิบาย
หรงหรงเข้าใจในทันใดและกล่าวด้วยความชื่นชม “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง สายตาของใต้เท้าสวี่เฉียบแหลมจริงๆ เจ้าค่ะ”
นางกล่าวพร้อมแววตาชื่นชม
มารยาเก่าๆ… สวี่ชีอันไม่คิดจะแฉมารยาหญิง เพียงแต่ตามน้ำไปด้วยรอยยิ้มพึงใจ
แม่นางหรงหรงมีกลิ่นอายที่ล้ำลึก บุคลิกน้ำนิ่งไหลลึก ไม่ใช่พวกอ่อนหัด คงมองกลอุบายในสังเวียนออกตั้งแต่แรกอย่างแน่นอน ยายป้าจอมดื้อด้านยังมองไม่ออก นางจึงสงสัยในคำพูดของสวี่ชีอัน
ตอนนั้นเอง จอมยุทธ์หนุ่มบนสังเวียนก็ใช้ดาบฟันเข้าที่ขวานของชายฉกรรจ์ แล้วพุ่งตัวถีบเข้าที่ยอดอกของอีกฝ่าย ขวานในมือของชายฉกรรจ์หลุดออกไป และตัวเขาก็กระเด็นออกนอกสังเวียน
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครขึ้นมาต่อสู้อีกเป็นเวลานาน
“ข้าอิ่มแล้ว คืนถุงหอมให้ข้าซะ” ยายป้าถอนสายตาจากสังเวียนอย่างไม่เต็มใจ และจ้องมองสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน นางก็ไม่เซ้าซี้ เพียงจ้องมองสวี่ชีอันอยู่นาน จากนั้นก็ลุกขึ้นและลงบันไดจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ
“หุ่นข้างหลังใช้ได้เลยนะเนี่ย” ฆ้องทองแดงที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวกล่าวพลางทอดถอนใจ
หลังจากพูดจบ เขาพบว่าสวี่ชีอันและหรงหรงกำลังมองตนอย่างดูถูกเหยียดหยาม
“ไอ้หนุ่ม ตอนเด็กแม่ไม่รักหรืออย่างไร”
สวี่ชีอันตบไหล่ฆ้องทองแดงผู้ต่ำต้อยเบาๆ แล้วล้วงมือไปหยิบถุงหอมสีเขียวอ่อนจากอกเสื้อออกมาเปิดดู และเห็นทองแท่งสีเหลืองอร่าม
“แม่เจ้าโว้ย ใช่ทองจริงๆ ด้วย” ดวงตาของฆ้องทองแดงเบิกกว้างด้วยความปีติยินดี “ใต้เท้า รวยแล้วขอรับ รวยแล้ว”
สวี่ชีอันมัดปากถุงหอมเรียบร้อย แล้วเอ่ย “อย่าละโมบในทรัพย์สมบัติที่ได้มาโดยมิชอบเช่นนี้เลย”
เพียงโยนเบาๆ ถุงหอมก็ลอยละลิ่วไปตกนอกอาคาร
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงดังมาจากชั้นล่าง ถุงหอมตกไปโดนนิ้วเท้าของยายป้าพอดี นางนั่งยองๆ ลงกับพื้น กระโปรงกางออก น้ำตาคลอเบ้า นางกัดฟันกรอดพร้อมมองขึ้นไปบนชั้นสองอย่างแค้นเคือง
“ท่านป้า รีบกลับบ้านเสียเถิด” สวี่ชีอันเตือนด้วยความหวังดี
ยายป้ากัดริมฝีปากของนาง หยิบถุงหอมของตนแล้วเดินจากไป
…
สวี่ชีอันยังคงต่อสู้กับแม่นางหรงหรงในการชักจูงอีกฝ่ายให้เข้ามาอยู่ในบ่อปลา[3]ของตนอย่างมุ่งมั่น คาสโนวี่ในยุคนี้ไม่ต้องการอะไรมากมาย พวกนางชอบหว่านเสน่ห์ จากนั้นก็หลอกล่อชายหนุ่มรูปงามให้ตกเป็นทาสกามของตน
ผู้หญิงประเภทนี้ก็คือสาวชาเขียว[4]ในยุคโบราณนั่นเอง
สวี่ชีอันไม่ได้พบกับสาวเจ้าชู้มานาน จึงต่อกรกับนางด้วยความสุขอุรา
ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา ก็มีเสียงคำรามเกรี้ยวกราดดังมาจากทิศทางของสังเวียน “สวี่ชีอัน ออกมาหาลูกพี่เดี๋ยวนี้”
“???”
สวี่ชีอันมองออกไปด้วยสายตาว่างเปล่า และเห็นชายผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบยืนอยู่บนสังเวียน ชายผู้นี้สูงแปดฟุต ไว้หนวดเครา ดวงตาใหญ่โตเท่ากับระฆังทองแดง
เขายืนหยัดอย่างภาคภูมิในสนามประลอง
แม้แต่คนเข้ามาชมเพื่อความสำราญก็ยังสามารถรับรู้ถึงพลังจากจอมยุทธ์ผู้นี้ ต่างจากชาวยุทธ์ทั่วไปก่อนหน้านี้
สวี่ชีอันรู้สึกงงงวยเล็กน้อย คิดในใจว่าเอ็งเป็นใครกัน
“ใต้เท้าสวี่รู้จักคนคนนี้หรือไม่เจ้าคะ”
หรงหรงเม้มริมฝีปากแดงดุจเพลิงของนางและมองดูชายผู้นั้นอย่างหวาดกลัว
สวี่ชีอันส่ายหัว “ไม่รู้จัก”
“เช่นนั้นก็อย่าสนใจเลยเจ้าค่ะ” หรงหรงเอ่ยเสียงหวาน “ผิวของคนผู้นี้เปล่งแสงเทวะได้ เป็นยอดฝีมือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดง…ใต้เท้าสวี่คงไม่เกรงกลัวเขา แต่รอบด้านล้วนเต็มไปด้วยผู้คน หากต่อสู้กับเขา อาจจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์ได้”
คำพูดสละสลวยเหล่านี้ พูดเพื่อไว้หน้าสวี่ชีอัน แต่หรงหรงรู้ดีแก่ใจว่าสวี่ชีอันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของยอดฝีมือผู้นั้น
เพราะอย่างไรเสียเขาก็ได้ตำแหน่งฆ้องเงินมาโดยอาศัยบารมีของบรรพบุรุษทั้งนั้น
“ฆ้องเงินสวี่ชีอันแห่งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โผล่หัวมาหาลูกพี่ซะดีๆ คลานเข่าเข้ามาขอความเมตตาจากข้าซะ มิเช่นนั้นวันนี้ข้าจะบี้หัวเจ้าให้แหลก” ชายฉกรรจ์ผู้นั้นแผดเสียงคำราม
“เฮ…”
ผู้ชมและชาวยุทธ์ทั้งหลายฮือฮากันยกใหญ่
ที่แท้สวี่ชีอันผู้นั้นก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้เลื่องชื่อ และเป็นฆ้องเงินเสียด้วย? นับตั้งแต่ก่อตั้งสังเวียนผู้กล้ามา ในที่สุดก็มีชาวยุทธ์ท้าทายยอดฝีมือแห่งที่ทำการปกครองแล้ว
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มโต๊ะตรงข้ามตะลึงงันชั่วขณะ จากนั้นจึงหันกลับมามองที่สวี่ชีอันอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของพวกเขาแทบจะแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกัน บ่งบอกว่าสะใจในโชคชะตาของเขาเหลือคณา
“ออกมาหาพ่อเจ้าสิ คลานมากราบงามๆ มิเช่นนั้นข้าจะขึ้นสังเวียนเรียกหาเจ้าทุกวัน หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลฆ้องเงินสวี่ชีอัน ออกมาสิวะไอ้หนู”
เสียงที่ดังกระหึ่มในอากาศส่งไปถึงผู้ชมโดยรอบ แขกกลุ่มใหญ่หลั่งไหลออกมาจากโรงเหล้าและโรงน้ำชาที่อยู่รายรอบเพื่อมาชมการต่อสู้
……………………………………………….
[1]ซึนเดเระ เป็นการแสดงออกที่ไม่ตรงกับทัศนคติของตน ปากไม่ตรงกับใจ ปากอย่างใจอย่าง
[2]ผมยาวแต่ไร้สมอง เป็นสำนวนที่ใช้ตำหนิผู้หญิงว่าสวยแต่ภายนอก แต่ไม่ฉลาด
[3] คำสแลง หมายถึงชายหรือหญิงที่หาแฟนหลายๆ คน เพื่อปอกลอก
[4] คำสแลง หมายถึงหญิงสาวที่ภายนอกทำตัวใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ความจริงร้ายลึก