ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 275 จงหลีมนุษย์เครื่องมือ
บทที่ 275 จงหลีมนุษย์เครื่องมือ
คุณชายหลิ่วและคนอื่นๆ ก็ลำบากไม่น้อย หลังจากที่แม่นางหรงหรงถูกนำตัวไป จอมยุทธหนุ่มสาวที่นำโดยคุณชายหลิ่วก็รีบกลับมาที่โรงเตี๊ยมทันที และเล่าความเป็นมาของเรื่องราวให้ผู้อาวุโสผู้ร่วมเดินทางฟัง
หลังจากผู้อาวุโสหลายคนปรึกษาหารือกันแล้ว ก็ไม่ได้มาขอตัวคนจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แต่ต่างคนต่างสร้างสายสัมพันธ์ โดยสร้างสายสัมพันธ์กับวงราชการก่อน
ได้ข่าวมาว่าถูกหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนำตัวไป ‘สายสัมพันธ์’ ที่ฐานะสูงในเมืองหลวงมีสีหน้าลำบากใจ แต่จากการขอร้องขออย่างหนัก ทำให้จำต้องรับปาก
แต่เมื่อรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่นำตัวไปคือสวี่ชีอัน ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี ร้องออกมาว่า “ทำไม่ได้ ทำไม่ได้! ”
แล้วก็ปล่อยให้เวลาช่วงบ่ายผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ วันรุ่งขึ้นจึงได้ฝืนใจไปเยือนที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล โดยหวังว่าจะขอให้ฆ้องเงินที่มีชื่อเสียงในด้านไม่ดีอย่างโจ่งแจ้งผ่อนผันโทษให้
อาจารย์ของหัตถ์รื่นรมย์หรงหรง เป็นหญิงงามวัยกลางคนที่ยังคงมีกิริยาท่าทางงดงาม ใบหน้ากลมกลึง ดูมีสง่าราศีมากทีเดียว คิดว่าตอนเป็นสาวคงเป็นหญิงงามที่สุภาพเรียบร้อย
ในใจของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล เพราะรู้จักความประพฤติของผู้ชายทั่วหล้าเป็นอย่างดี ผ่านไปคืนหนึ่งแล้ว ไม่รู้ว่าหรงหรงจะถูกทรมานอย่างไรบ้าง…
เสียความบริสุทธิ์ยังพอทำเนา กลัวแต่ว่าจะเป็นผู้ชายมักได้ ขังไว้เป็นของเล่น นั่นถึงจะเป็นโศกนาฏกรรมของผู้หญิง
ส่วนอาจารย์ของคุณชายหลิ่วเป็นมือกระบี่ที่สุขุมหนักแน่น ลักษณะเด่นที่สุดคือร่องแก้มลึก และแววตาที่ฉลาดล้ำลึก
สายตาของผู้อาวุโสทั้งสองประสานกัน และต่างเห็นถึงความกังวลและจนใจในแววตาของอีกฝ่าย
เมื่ออยู่ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มียอดฝีมือรวมตัวกันอยู่มากมาย ถึงแม้จะเป็นทหารที่ดื้อรั้น ก็ทำได้เพียงควบคุมอารมณ์ และเก็บเขี้ยวเล็บ
หลังจากกังวลอยู่เป็นเวลาสองเค่อ จนกระทั่งชายหนุ่มที่สวมเครื่องแบบฆ้องเงิน มีดาบที่ไม่เหมือนใครแขวนไว้ที่เอวด้านหลังก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาที่ห้องโถงด้านข้าง
“พวกเจ้า ใครเป็นอาจารย์ของแม่นางหรงหรง” สวี่ชีอันกวาดสายตามองทุกคน และพูดขึ้นเป็นคนแรก
หญิงงามวัยกลางคนลุกขึ้น คำนับแล้วพูดว่า “หญิงชราเอง”
ท่านป้าถ่อมตัวเกินไปแล้ว รูปร่างเช่นนี้โฉมหน้าเช่นนี้ จะเป็นหญิงชราได้อย่างไร…
สวี่ชีอันพยักหน้าและพูดว่า “ข้าได้ตรวจสอบต้นสายปลายเหตุชัดเจนแล้ว คนที่ขโมยของวิเศษของข้าไม่ใช่แม่นางหรงหรง แต่เป็นโจรสาวพันหน้าเก๋อเสี่ยวจิง ตอนนี้คนร้ายถูกจับกุมแล้ว แม่นางหรงหรง พวกท่านนำตัวไปได้เลย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งสองก็รู้สึกโล่งใจ จอมยุทธ์หนุ่มสาวที่ตามมาด้วยต่างก็รู้สึกดีใจกันไม่หยุด
แต่ว่าเมื่อเทียบกับผู้อาวุโสที่มีประสบการณ์สูงแล้ว จิตใจพวกเขาบริสุทธิ์กว่า ในใจผู้อาวุโสทั้งสองคิดว่าหากโชคไม่ดี เกรงว่าหรงหรงก็คง…
แต่อีกฝ่ายทำเรื่องเสเพลคืนหนึ่งแล้ว ยอมปล่อยคนโดยดีนับว่าหาได้ยากยิ่ง คงทำได้เพียงยอมรับว่าตัวเองโชคร้าย
“ขอบคุณใต้เท้า!”
หญิงงามวัยกลางคนกล่าวขอบคุณ
ขณะที่กล่าว แม่นางหรงหรงเข้าไปในห้องโถงด้านข้าง จากการนำทางของเจ้าพนักงาน
นางมีอารมณ์ที่มั่นคงมาก ตะโกนออกมาด้วยความดีใจว่า “อาจารย์” ไม่ได้ร่ำไห้เพราะความดีใจเป็นล้นพ้น และไม่ได้ร้องไห้ประหนึ่งจะเป็นจะตาย
หญิงงามวัยกลางคนมองดูโดยไม่กระโตกกระตาก เอ่ยเพียงว่า “ไม่มีอะไรแล้ว ใต้เท้าท่านนี้ตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว ไม่ได้ใส่ร้ายเจ้า”
หรงหรงคารวะอย่างนอบน้อม พูดอย่างฉอเลาะว่า “ขอบคุณใต้เท้าสวี่”
มือกระบี่วัยกลางคนกระแอมครั้งหนึ่ง แล้วกุมหมัดพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกเราไม่ขออยู่ต่อแล้ว”
พูดจบ ตั๋วเงินปึกหนึ่งก็ไหลออกจากแขนเสื้อแล้ววางไว้บนโต๊ะ
“เอาตั๋วเงินไป” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเรียบ
เขาไม่กล้ารับไว้ เพราะหัตถ์รื่นรมย์หรงหรงไม่ได้ก่อเรื่องและไม่ได้ลักขโมย เป็นเพียงความเข้าใจผิดอย่างแท้จริง
มือกระบี่วัยกลางคนไม่อยากจะเชื่อ มองสำรวจสวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ แล้วกุมหมัดอีกครั้ง “ขอบคุณใต้เท้า”
แล้วชาวยุทธ์กลุ่มนี้ก็จากไปทันที ขณะที่เพิ่งก้าวข้ามธรณีประตูของห้องโถงด้านข้าง ก็ได้ยินสวี่ชีอันกล่าวดังขึ้นจากด้านหลังว่า “ช้าก่อน!”
มือกระบี่วัยกลางคนชะงักฝีเท้า รู้สึกดูแคลนเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกโล่งใจเช่นกัน มีเจ้าหน้าที่ที่ไหนไม่ชอบเงินบ้าง
เขาหันกลับมา พร้อมกับหยิบตั๋วเงินออกจากแขนเสื้อ กำลังคิดจะยื่นออกไป แต่สิ่งที่เห็นคือสวี่ชีอันกำลังกางกระดาษเซวียนจื่อลงบนโต๊ะ แล้วจับพู่กันเขียนหนังสือ พอเขียนเสร็จ ก็ใช้นิ้วโป้งแตะน้ำหมึก แล้วกดรอยนิ้วมือลงไป
ทุกคนมองดูอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร
“ข้าไม่ชอบติดหนี้คนอื่น เมื่อวานตัดอาวุธเวทมนตร์ของเจ้าหมอนี่ไปด้ามหนึ่ง พวกเจ้าเอาใบยืมแผ่นนี้ไป แล้วไปหาซ่งชิงที่สำนักโหราจารย์ เขาจะชดใช้อาวุธเวทมนตร์ด้ามหนึ่งแทนข้า” สวี่ชีอันสะบัดข้อมือ กระดาษเซวียนจื่อก็ลอยไปทางมือของกระบี่วัยกลางคน
มือกระบี่วัยกลางคนรับมันไว้ บอกลาแล้วจากไป
คนทั้งกลุ่มออกจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล หญิงงามจับมือหรงหรงโดยไม่พูดอะไร แต่กลับเป็นจอมยุทธ์หนุ่มคนหนึ่งที่ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ จึงถามหยั่งเชิงด้วยความกังวลเล็กน้อยว่า
“หรงหรง เขา…เมื่อคืนเขาได้รังแกเจ้าหรือไม่”
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มต่างตกตะลึงก่อน จากนั้นก็ค่อยๆ รู้สึกตัว จ้องหน้ากันครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ ได้สติ จ้องมองไปที่หรงหรงนิ่ง
มือกระบี่วัยกลางคนตะคอกเสียงดังว่า “พูดจาเหลวไหลอะไร”
แม้ว่าเขาและหญิงงามต่างคาดการณ์อย่างมั่นใจว่าหรงหรงเสียความบริสุทธิ์แล้ว แต่จงใจไม่พูดถึงเรื่องนี้ แม้จะเป็นบุตรธิดาของยุทธภพ แต่ศักดิ์ศรีก็สำคัญเช่นกัน
“เขาไม่ได้ทำอะไรข้าเลย ข้าพักอยู่ในห้องข้างของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลตามลำพังเพียงคนเดียว” หรงหรงส่ายหัวแล้วอธิบายว่า “แต่ผ้าห่มเหม็นไปหน่อย”
ผ่านไปคืนหนึ่ง นางไม่ได้หวาดกลัวและวิตกกังวลเหมือนตอนแรกแล้ว และรู้ว่าฆ้องเงินคนนั้นเป็นสุภาพบุรุษ
ในเมื่อพูดแล้ว หญิงงามจึงไม่เก็บซ่อนอีกต่อไป เอ่ยถามด้วยความสงสัยว่า “ไม่ได้รังแกเจ้า แล้วเขาจับตัวเจ้าไปทำไม”
“ของล้ำค่าของใต้เท้าสวี่ถูกขโมยไปจริง ผู้ที่ขโมยของล้ำค่าของเขาคือเก๋อเสี่ยวจิง สาเหตุที่เขาจับตัวข้าไปที่ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ก็เพราะเก๋อเสี่ยวจิงปลอมโฉมเป็นข้าแล้วก่อคดี ดังนั้นจึงมีเรื่องเข้าใจผิดเกิดขึ้น” หรงหรงกล่าว
แบบนี้ก็สมเหตุสมผลดี…
หญิงงามขมวดคิ้วแล้วตั้งข้อสงสัย “แล้วเหตุใดเก๋อเสี่ยวจิงจึงต้องแปลงโฉมเป็นเจ้า”
หรงหรงพูดอย่างเคียดแค้นว่า “เมื่อวันก่อนข้ากับพี่หลิ่วและคนอื่นๆ ดื่มเหล้าอยู่ที่ร้านอาหาร ได้เอ่ยถึงนางอย่างเปิดเผยหลายประโยค เดิมทีโจรสาวพันหน้าเป็นคนชั้นต่ำในยุทธภพ ลักเล็กขโมยน้อย จะคู่ควรมาเปรียบเทียบกับข้าได้อย่างไร คิดว่าคำพูดนั้นคงไปเข้าหูนาง นางจึงปลอมตัวเป็นข้า ไปลักเล็กขโมยน้อย ฉวยโอกาสแก้แค้น”
“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย” คุณชายหลิ่วและคนอื่นๆ พยักหน้า
ถ้าเช่นนั้นต้นสายปลายเหตุก็ชัดเจนมากแล้ว ฆ้องเงินท่านนั้นก็เป็นผู้เสียหายเช่นกัน การจับตัวหรงหรงไปนับว่าเป็นความเข้าใจผิดทั้งเพ เขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ที่ใช้อำนาจหน้าที่เกินควรอย่างแน่นอน
เหล่าจอมยุทธ์หนุ่มต่างพากันโล่งใจ
มือกระบี่วัยกลางคนพยักหน้าและพูดว่า “เมื่อครู่ยื่นตั๋วเงินให้เขา เขาไม่รับ เป็นชายหนุ่มมีความเด็ดเดี่ยวก็ดี ในใจยังมีความชอบธรรมอยู่บ้าง”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชมยินดี
คุณชายหลิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น อาจารย์…เรื่องอาวุธเวทมนตร์”
มือกระบี่วัยกลางคนเหลือบมองลูกศิษย์ ส่ายหัวและเผลอหัวเราะออกมา “สำนักโหราจารย์อยู่เหนือหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล แม้ฐานะของฆ้องเงินจะไม่ต่ำ แต่อาศัยแค่กระดาษเพียงแผ่นเดียว ก็สามารถทำให้สำนักโหราจารย์มอบอาวุธเวทมนตร์ให้ เป็นเรื่องไร้สาระเชื่อถือไม่ได้”
คุณชายหลิ่วซ่อนความผิดหวังเอาไว้ไม่ได้ “แล้วเขายัง…”
มือกระบี่วัยกลางคนหัวเราะแล้วพูดว่า “คนหนุ่มล้วนกลัวเสียหน้า พวกเราไม่ต้องถือเป็นเรื่องจริงจังหรอก”
หญิงงามวัยกลางคนกลอกตา เสนอความเห็นว่า “ถึงอย่างไรก็ไม่มีอะไรทำ เช่นนั้นไปที่สำนักโหราจารย์แล้วกัน จะได้พาเด็กๆ ไปดูหอที่สูงที่สุดในต้าฟ่งด้วย ดีหรือไม่”
…
ในมือของสวี่ชีอันถือหนังสือโบราณที่ซีดเหลืองออกมาจากคุกใต้ดิน เขาเพิ่งสอบสวนเก๋อเสี่ยวจิงเสร็จ และได้ถามนางเกี่ยวกับเคล็ดวิชา ‘ปิดบังสวรรค์ข้ามทะเล’
“โจรสาวผู้ปราดเปรียวคนนี้เป็นคนที่มีความสามารถ เก็บนางเอาไว้ก่อน จะมีประโยชน์ในอนาคตอย่างแน่นอน หึ ขโมยของวิเศษของข้า ข้าจะประจานเจ้า แล้วต่อไปยังจะบังคับให้เจ้าใช้แรงงานอีกด้วย แน่นอนว่าข้าจะต้องให้เจ้ากินหญ้าแน่ๆ ”
ห้องชุนเฟิงยังอยู่ในระหว่างการซ่อมแซม ทางเข้าห้องโถงก็กำลังทำการซ่อมแซมเช่นเดียวกัน ปัจจุบันฆ้องเงินที่ไม่มีห้องทำงาน จึงต้องไปเตร็ดเตร่ที่ห้องจินอวี้ของหมิ่นซานเช่นเคย
เมื่อมาถึงห้องโถงด้านข้าง ก็ได้สั่งให้เจ้าพนักงานยกชาร้อนมา เขาเปิดหนังสือโบราณที่ซีดเหลือง และอ่านด้วยความเพลิดเพลิน
ลัทธิโจร…อ้อ ไม่ใช่สิ วิธีการแปลงโฉมของลัทธิเทพขโมยนั้นมหัศจรรย์จริง ๆ ไม่เหมือนวิธีการแปลงโฉมแบบธรรมดาทั่วไป มันไม่ใช่การทำหน้ากากหนังมนุษย์ที่ดูมีชีวิตเท่านั้น แต่มันเป็นการแปลงโฉมหน้าโดยตรง วิธีการคือการทำน้ำยาพิเศษขึ้นมา แล้วนำไปพอกหน้าเป็นเวลาครึ่งก้านธูป เพื่อทำให้เลือดและเนื้อบนใบหน้าร้อน จน ‘ละลาย’ จากนั้นก็ใช้การขับเคลื่อนลมปราณซึ่งเป็นวิธีการเฉพาะ เพื่อเปลี่ยนเค้าโครงหน้า
จะอยู่ได้เป็นเวลาสิบสองชั่วยาม
แน่นอนว่า มันสามารถคืนสู่สภาพเดิมได้เองเช่นกัน
ทหารระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงนั้นจะต้องใช้น้ำยามากถึงสามเท่า และใช้เวลาในการพอกหน้านานขึ้นหนึ่งเค่อ ช่วยไม่ได้ เพราะหน้าหนามากจริงๆ
ส่วนที่ยากที่สุดของเคล็ดลับนี้ อยู่ที่ข้าต้องคอยสังเกตอย่างละเอียดและฝึกฝนบ่อยๆ ก็เหมือนกับกับการวาดภาพ ที่มือใหม่ต้องเริ่มต้นด้วยการลอกแบบ ในขณะที่นักวาดยอดฝีมือนั้นสามารถแสดงความสามารถได้อย่างเสรี มองเพียงแวบเดียว ก็สามารถลอกแบบบุคคลออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ เป็นงานฝีมือที่ต้องใช้ความเพียรพยายามอย่างหนักแขนงหนึ่ง…คนที่ข้าคุ้นเคยมากที่สุดคืออารองและเอ้อร์หลาง อารองคือผู้อาวุโส ยังไงเริ่มจากเอ้อร์หลางก็แล้วกัน’
เจ้าพนักงานคนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา และกล่าวด้วยความเคารพว่า “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียนเชิญขอรับ”
…
ห้องน้ำชาชั้นเจ็ด
เว่ยเยวียนยืนอยู่ข้างโต๊ะ ถือพู่กัน ดวงตาจดจ่อ ตั้งใจวาดภาพอย่างเต็มที่
เว่ยเยวียนวาดภาพต่อไปโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า กล่าวว่า “ระยะนี้ได้ล่วงเกินใครบ้างหรือไม่”
สวี่ชีอันพูดอย่างคะนองว่า “คอยติดตามท่าน จะไม่ล่วงเกินใครได้อย่างไร คู่อาฆาตเยอะจนข้านับไม่ถ้วน”
เว่ยเยวียนส่งเสียง ‘อืม’ ครั้งหนึ่ง “รู้เท่าทันเหตุการณ์เช่นนี้ ในอนาคตจะต้องประสบความสำเร็จไม่น้อยอย่างแน่นอน”
หลังจากชะงักไปครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ระดับหกที่เจ้าพากลับมาเมื่อวาน เช้านี้มีคนนำตัวไปแล้ว ลองคิดดูดีๆ อีกทีว่าได้ล่วงเกินใครไว้หรือไม่”
สวี่ชีอันพูดอย่างจนใจว่า “ข้านึกไม่ออกจริงๆ จึงได้นำตัวคนคนนั้นกลับมา เหตุใดท่านจึงปล่อยตัวไปอีก”
เขาต่อว่าเว่ยเยวียน
ในที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คนที่กล้าพูดกับเว่ยเยวียนเช่นนี้มีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งในนั้นคือคนขี้อิจฉา และอีกคนก็คือสวี่ชีอัน
เว่ยเยวียนไม่ได้พูดอะไรอีก ปลายพู่กันบรรจงวาดเค้าโครงลงบนกระดาษ ในที่สุดก็วางพู่กันลง ถอนหายใจยาว “วาดเสร็จแล้ว”
“เว่ยกงวาดอะไร” สวี่ชีอันรีบเดินไปดู
ในม้วนภาพเป็นหญิงสาวสวยในชุดชาววัง สวมชุดสวยหรู สวมเครื่องประดับศีรษะมากมาย มือขาวเรียวยาวถือพัดผ้าไหมด้ามหนึ่ง
นางมีความงามชนิดที่ไม่สามารถพรรณนาออกมาได้ ไม่ได้มาจากหน้าตา แต่มาจากเสน่ห์ทางจิตใจ
เมื่อสวี่ชีอันมั่นใจว่าไม่ใช่ฮองเฮา จึงเกิดความกล้าที่จะเอ่ยถาม “พี่สาวท่านนี้สวยมาก มีคู่หมั้นคู่หมายแล้วหรือยังขอรับ เว่ยกงรู้จักหรือไม่ ข้าน้อยยังไม่ได้แต่งงานเลย”
เว่ยเยวียนส่ายหน้าอย่างเสียดายว่า “ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถวาดความงามของนางออกมาได้ ข้าก็เช่นกัน”
ในที่สุด เขาก็ไม่ได้บอกว่าผู้หญิงในภาพวาดเป็นใคร และไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องล่วงเกินใครอีก เขาโบกมือไล่สวี่ชีอันออกจากหอเฮ่าชี่
…
หัตถ์รื่นรมย์หรงหรงและพรรคพวกมาถึงที่จัตุรัสด้านล่างหอดูดาว และต้องตื่นตาตื่นใจกับหอที่สูงที่สุดในต้าฟ่งอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้ ทุกคนต่างเคยมองจากระยะไกล มันตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้าอย่างแท้จริง
หลังจากได้ชมในระยะใกล้แล้ว จึงได้ตระหนักถึงความโอ่อ่ารโหฐานของหอแห่งนี้ เฉพาะฐานอาคารที่สูงจากพื้นผิวโลก ก็สูงเท่าอาคารสองชั้นแล้ว
อิฐทุกก้อนที่ก่อเป็นฐานอาคารนั้นใหญ่กว่ารถม้าเสียอีก
ยืนอยู่หน้าอาคารสูงนี้ จึงรู้ว่าตัวเองนั้นเล็กแค่ไหน
“ท่านอาจารย์ พวกเราเข้าไปกันเถิด” คุณชายหลิ่วกลืนน้ำลายอย่างเงียบๆ
“เข้าไป?”
มือกระบี่วัยกลางคนหันไปมองลูกศิษย์แวบหนึ่ง ส่ายหน้าแล้วพูดว่า “อาจารย์เข้าไปคนเดียวก็พอ พวกเจ้ารออยู่ข้างนอก การเข้าไปในสำนักโหราจารย์นั้นไม่ง่ายไปกว่าการเข้าไปในพระราชวังชั้นในเลย”
ในเมื่อมีความคิดว่า ‘ลองดู’ ดังนั้นเรื่องขายหน้าผู้คน ก็ปล่อยให้เขาทำคนเดียวเถิด อีกอย่าง ขายหน้าคนเดียวเท่ากับไม่ขายหน้า ให้ผู้น้อยตามเข้าไป ถ้าเห็นเข้า เช่นนั้นจึงเป็นเรื่องขายหน้าอย่างแท้จริง
มือกระบี่วัยกลางคนจัดการเสื้อผ้า ยืดตัวตรง แล้วก้าวขึ้นบันไดหินอ่อนสีขาวอันยาวเหยียด
“ผู้อาวุโสฮวา…” ขณะมองดูแผ่นหลังของอาจารย์ คุณชายหลิ่วถามหญิงงามวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ว่า “อาจารย์ของข้าจะสามารถขออาวุธเวทมนตร์มาได้หรือไม่”
เขายังไม่ยอมแพ้ กระบี่เจ็ดดาราก็นับว่าเป็นอาวุธเวทมนตร์ที่ติดอันดับในพรรคโม่เก๋อเช่นกัน ตอนนี้ถูกทำลายไปแล้ว กลับไปที่พรรคเขาจะต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่มีทางได้รับอาวุธเวทมนตร์อีกแล้ว
ชื่อเสียงของสำนักโหราจารย์ไม่มีใครไม่รู้จัก ชาวยุทธ์ทุกคนต่างก็ปรารถนาที่จะได้รับอาวุธเวทมนตร์ที่สร้างขึ้นโดยสำนักโหราจารย์
ภายใต้ความดึงดูดอันยิ่งใหญ่ แม้จะรู้ว่ามีความหวังเพียงน้อยนิด แต่ก็ยังเต็มใจที่จะฝันกลางวัน
“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดอาจารย์ของเจ้าจึงบอกว่าข้อความแผ่นนั้นเป็นการปิดบังการกลัวเสียหน้าของคนหนุ่ม และไม่ให้เจ้ารอ” หญิงงามถามกลับ ผู้น้อยทั้งกลุ่มต่างส่ายหน้า รวมถึงคุณชายหลิ่วด้วย
“เนื่องจากซ่งชิงคนนั้นเป็นศิษย์สายตรงของใต้เท้าโหราจารย์ ฐานะในยุทธภพของต้าฟ่งไม่ด้อยไปกว่าพระราชโอรสของจักรพรรดิ เข้าใจหรือยัง”
เข้าใจแล้ว ดังนั้นข้อความของฆ้องเงินหนุ่มคนนั้น จึงเป็นเพียงการปิดบังการกลัวเสียหน้าจริงๆ พระราชโอรสผู้สง่างามในยุทธภพของต้าฟ่ง จะถูกบงการด้วยข้อความเพียงแผ่นเดียวของเขาได้อย่างไร
อีกด้านหนึ่ง มือกระบี่วัยกลางคนเดินขึ้นบันไดที่สร้างด้วยหินอ่อนสีขาว เข้าไปในห้องโถงชั้นหนึ่งซึ่งเป็นที่รวมตัวของแพทย์ระดับเก้า
กลิ่นสมุนไพรหอมกรุ่นโชยเข้าจมูก บรรดาโหรชุดขาวต่างกำลังยุ่งอยู่กับงาน บางคนกำลังต้มสมุนไพร บางคนกำลังลอกแบบรูปร่างของสมุนไพร บางคนกำลังคัดเลือกและแยกประเภท…
“เจ้าเป็นใคร” โหรชุดขาวเดินมาหา
มือกระบี่วัยกลางคนรีบก้มศีรษะ กุมหมัด ท่าทางนอบน้อม “ข้าน้อยหยางอวี้ช่วนจากพรรคโม่เก๋อแห่งเจี้ยนโจว”
พรรคโม่เก๋อแห่งเจี้ยนโจว ไม่เคยได้ยินมาก่อน…โหรชุดขาวโบกมือ “เจ้าพูดมาตามตรง มีธุระอะไร”
“ข้าต้องการพบซ่งชิง…นี่คือสิ่งที่ฆ้องเงินแซ่สวี่คนหนึ่งของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมอบให้ข้า” มือกระบี่วัยกลางคนหยิบกระดาษข้อความออกมา แล้วยื่นให้อย่างนอบน้อม
ถ้าคุณชายหลิ่วเห็นท่าทางของอาจารย์ในตอนนี้ จะต้องรู้สึกสับสนอย่างแน่นอน ท่านอาจารย์มักจะโจมตีผู้น้อยอย่างพวกเขาด้วยความรุนแรง แต่ต่อหน้าหมอที่ไม่ได้มีการฝึกฝนเท่าไหร่นัก กลับยอมทำตามแต่โดยดี
โหรชุดขาวรับกระดาษข้อความมา แล้วคลี่ออกอ่าน สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที แล้วพูดประโยคหนึ่งว่า “รอที่นี่สักครู่!” แล้วก็รีบขึ้นไปยังชั้นบน
นี่…มือกระบี่วัยกลางคนตกตะลึงครู่หนึ่ง เพราะท่าทางของอีกฝ่ายเกินความคาดหมายของเขา
ไม่จริง ข้อความแผ่นนี้สามารถแลกอาวุธเวทมนตร์ได้จริงๆ หรือ เป็นไปได้อย่างไร
ไม่นาน โหรชุดขาวที่เพิ่งขึ้นไปชั้นบนก็กลับลงมา สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือได้ตอบคำถามของมือกระบี่วัยกลางคนได้อย่างสมบูรณ์
นั่นเป็นกระบี่ที่ภายนอกดูธรรมดา ไม่มีพู่ที่สวยหรู ฝักและด้ามกระบี่ไม่ได้ฝังประดับด้วยทองคำเปลวและหยก
ธรรมดาและเรียบง่าย
“เอาไป”
โหรชุดขาวยื่นมือส่งให้ รอจนมือกระบี่วัยกลางคนรับไปอย่างกระวีกระวาดแล้ว เขาก็หันกลับไปทำงานของตัวเอง
ข้าก็ต้องไปแล้ว…มือกระบี่วัยกลางคนยังไม่ทันพิจารณากระบี่ ก็กอดกระบี่ไว้ในอ้อมแขน แล้วเดินออกจากสำนักโหราจารย์อย่างเงียบๆ
“ท่านอาจารย์ออกมาแล้ว” คุณชายหลิ่วพูดด้วยความดีใจระคนตกใจ
“มี มีอาวุธเวทมนตร์จริงๆ ด้วย?” หรงหรงเห็นมือกระบี่วัยกลางคนกอดกระบี่ด้ามหนึ่งไว้ในอ้อมแขน
มือกระบี่วัยกลางคนมาถึงเบื้องหน้าทุกคน มองดูอาวุธเวทมนตร์ในอ้อมแขน ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า “พวกเราไปจากที่นี่กันเถิด”
หญิงงามพยักหน้า แต่ดวงตากลับหยุดอยู่ที่กระบี่ที่ภายนอกดูเรียบง่ายไม่วางตา
ทุกคนออกเดินทางได้สักพัก หอดูดาวที่อยู่ข้างหลังก็ห่างออกไปเรื่อยๆ เมื่อเดินทางไปถึงที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง มือกระบี่วัยกลางคนก็หยุดเดิน และสำรวจกระบี่ที่อยู่ในอ้อมแขนอย่างละเอียด
“ท่านอาจารย์ เร็ว รีบดูเร็ว…” ในใจของคุณชายหลิ่วร้อนระอุ ตื่นเต้นยิ่งกว่าได้เห็นสาวงามนอนอยู่บนเตียงเสียอีก
มือกระบี่วัยกลางคนจับด้ามกระบี่ แล้วค่อยๆ ชักมันออกมาช้าๆ ‘ชิ้ง…’ แสงกระบี่อันเจิดจ้าสะท้อนเข้าไปในดวงตาของทุกคน ทำให้พวกเขาต้องหลับตาลงโดยไม่รู้ตัว
กระบี่เล่มนี้ยาวสี่ฟุต ตัวกระบี่เป็นลวดลายเมฆตามธรรมชาติ คมกระบี่ส่งพลังอันน่าเกรงขามออกมา เมื่อปลายนิ้วสัมผัสเพียงเบาๆ ก็ถูกปราณกระบี่บาดเลือดออกทันที
“ปราณกระบี่เกิดขึ้นเอง ปราณกระบี่เกิดขึ้นเองจริงๆ…”
มือทั้งสองข้างของมือกระบี่วัยกลางคนสั่นสะท้านด้วยความตื่นเต้น ดวงตาร้อนผ่าว “อาวุธเวทมนตร์ชั้นเลิศ แม้แต่กระบี่ชิวสุ่ยหานของพรรคม่อเก๋อของพวกเรา ก็ยังห่างไกลไม่อาจเทียบกระบี่เล่มนี้ได้”
‘โครมคราม โครมคราม…’ คุณชายหลิ่วได้ยินเสียงหัวใจเต้นแรงของตัวเอง
ปราณกระบี่เกิดขึ้นเอง ในยุทธภพนี่นับเป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ ให้ข้าดูหน่อยเร็ว ให้ข้าดูหน่อยเร็ว” คุณชายหลิ่วยื่นมือออกไปแย่ง
‘เพียะ!’
มือกระบี่วัยกลางคนตบเขาออกไป หลังจากตบแล้วตัวเองก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง นี่เป็นการตอบสนองตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริง ราวกับว่ากระบี่เล่มนี้เป็นภรรยาของเขา ไม่อนุญาตให้คนนอกสบประมาทได้
“ท่านอาจารย์ ท่านตบข้าทำไม” คุณชายหลิ่วพูดด้วยความน้อยใจ
มือกระบี่วัยกลางคนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดด้วยความจริงใจว่า “ดาบเล่มนี้เป็นอาวุธเวทมนตร์ชั้นหนึ่ง กล่าวกันว่าสามัญชนเก็บรักษาของล้ำค่าไว้เองต้องได้รับโทษ นี่ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเจ้า อาจารย์เพิ่งทำการตัดสินใจที่ยากลำบาก กระบี่เล่มนี้ อาจารย์จะเป็นคนเก็บรักษาไว้ชั่วคราว ให้อาจารย์รับความเสี่ยงเอง หลังจากเจ้าฝึกฝนสำเร็จแล้ว ค่อยคืนกระบี่เล่มนี้ให้เจ้า เอาล่ะ อาจารย์ได้ตัดสินใจแล้ว เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว แน่นอนว่า เพื่อเป็นการชดเชยให้เจ้า อาจารย์จะมอบกระบี่ที่พกติดตัวอันเป็นที่รักให้กับเจ้าแล้วกัน กระบี่เล่มนี้อยู่กับอาจารย์มายี่สิบปี เหมือนเป็นภรรยาของอาจารย์ เจ้าจงเก็บรักษามันให้ดี”
“…” คุณชายหลิ่วมีสีหน้าแค้นใจ
สวี่ชีอันไม่เห็นฉากนี้ ไม่เช่นนั้นเขาคงจะเห็นอกเห็นใจคุณชายหลิ่ว นึกถึงตอนเด็กๆ ที่พ่อแม่ใช้เหตุผลคล้ายกันนี้ในการเก็บรักษาอั่งเปาและเงินค่าขนมจำนวนนับไม่ถ้วนของเขาไว้ เสียหายมากกว่าหนึ่งพันล้านหยวน
“คุณชายสวี่คนนั้น เป็นใครกันแน่” แม่นางหรงหรงบ่นพึมพำ
คำถามนี้ไม่มีใครสามารถตอบนางได้ ทุกคนต่างเงียบ ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่ คาดว่าในสมองคงปรากฏภาพฆ้องเงินหนุ่มรูปงามผู้ทรงพลังคนนั้นโดยมิได้นัดหมาย
หญิงงามวัยกลางคนมองกระบี่ด้วยความอิจฉา จากนั้นก็หันไปมองลูกศิษย์สาวคนสวย…
นางรู้ได้ทันทีว่า การที่เมื่อคืนไม่มีเรื่องใดเกิดขึ้น นับว่าเป็นความเสียหายอย่างใหญ่หลวง
…
หลังจากส่งชาวยุทธ์กลุ่มของหรงหรงกลับไปแล้ว สวี่ชีอันก็ฝึกลมหายใจ ภาวนา ฝึกกระบี่ใจ และฝึกฝนเคล็ดวิชาปิดบังสวรรค์ข้ามทะเลในห้องโถงด้านข้าง จนเลยเวลาอาหารกลางวันโดยไม่รู้ตัว
จนท้องร้องจ๊อกๆ จึงทำให้เขาตื่นด้วยความหิว
“แม้ว่ายิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีประโยชน์ต่อตัวเองมากเท่านั้น แต่เวลานี้ข้ารู้สึกว่าเวลาไม่เพียงพอแล้ว…ไม่ได้ ไม่ควรฝึกเคล็ดวิชาอีกต่อไป โลภมากจะฝึกได้ไม่ดี ข้าควรจะฝึก ‘ดาบเดียวตัดฟ้าดิน’ เป็นพื้นฐาน แล้วจึงฝึกวิชาที่ช่วยเสริมซึ่งกันและกัน
“ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่าเหตุใดจักรพรรดิทุกยุคสมัยจึงไม่ฝึกวิทยายุทธ์ หรือกระทั่งไม่สนพระทัยการฝึก เพราะว่าไม่มีเวลานี่เอง วันหนึ่งมีแค่สิบสองชั่วยาม แล้วยังต้องจัดการงานทางการเมือง ถึงจะมีพรสวรรค์เพียงใด ในที่สุดก็จะกลายเป็นจ้งหย่ง”
หลังกินอาหารกลางวันแล้ว จงหลีก็มา
ศิษย์สายตรงของท่านโหราจารย์คนนี้เป็นศิษย์พี่ของฉู่ไฉ่เวย ห่อหุ้มกายด้วยชุดคลุมยาวที่ตัดจากผ้าทอมือ ผมสยาย มองไม่เห็นใบหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
“ดีจริงๆ ที่เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บ” สวี่ชีอันตบไหล่นาง
“ขอบคุณที่เป็นห่วง” จงหลีเอ่ยตอบตามมารยาท
หากตัดสินจากน้ำเสียง นางน่าจะอายุประมาณยี่สิบถึงยี่สิบห้าปี หญิงสาวที่อายุต่ำกว่ายี่สิบปี น้ำเสียงจะใสไพเราะเสนาะหู หญิงสาวที่อายุมากกว่ายี่สิบปีจึงจะมีน้ำเสียงเซ็กซี่ เป็นแม่เหล็กดึงดูดของผู้หญิงที่เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว
“เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว เมื่อวานมีอันตรายอะไรหรือไม่” สวี่ชีอันถาม
“ประสบกับวิกฤตการณ์ทั้งหมดสามสิบหกครั้ง วิกฤตการณ์เล็กยี่สิบครั้ง วิกฤตการณ์ใหญ่สิบครั้ง และวิกฤตการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายหกครั้ง” ท่าทางชำนาญการของจงหลี “ข้าผ่านมาได้ทั้งหมด”
นี่…น้ำเสียงที่เคยชินเช่นนี้ ทำให้รู้สึกสงสารอย่างบอกไม่ถูก สวี่ชีอันตบไหล่ของนางอีกครั้ง “ลำบากเจ้าแล้ว เขียนหนังสือเป็นอย่างไรบ้าง”
“พอใช้ได้”
“ดี ศิษย์พี่จง ข้ามีเรื่องจะรบกวนเจ้าเรื่องหนึ่ง” สวี่ชีอันกล่าวพลางยิ้มตาหยี
………………………………………….