ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 283 ระดับเพชรไร้พ่าย
บทที่ 283 ระดับเพชรไร้พ่าย
เหิงหย่วนคิดอยู่พักหนึ่งแล้วกล่าว “อาตมากับใต้เท้าสวี่รู้จักกันในคดีซังผอ ตอนนั้นศิษย์น้องเหิงฮุ่ยถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดี ฆ้องทองคำในขณะนั้นของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลได้ปิดล้อมที่ซ่อนตัวของอาตมากับศิษย์น้องเหิงฮุ่ยเอาไว้… เดิมทีอาตมาคิดว่าแม้จะหนีพ้นจากความตายได้ แต่ก็ต้องไปติดคุก ไม่คิดเลยว่าใต้เท้าสวี่ผู้ทำคดีนี้จะสืบพบว่าแม้อาตมาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทว่าไม่ได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับศิษย์น้องเหิงฮุ่ย จึงปล่อยตัวทันที”
ตรงนี้ถูกปรับเปลี่ยนนิดหน่อย สิ่งที่เขาพูดได้ปกปิดเรื่องที่สวี่ชีอันหลอกลวงเขาเอาไว้… แต่แน่นอนว่า จนถึงตอนนี้เหิงหย่วนก็ยังไม่รู้ว่าสวี่ชีอันนั้นหลอกเขา
“นับว่าเป็นคนดี!” ภิกษุจิ้งเฉินแค่นเสียงเย็น
แต่ก็เป็นคนหน้าไม่อายเช่นกัน ก่อนหน้านี้ที่เขาถามเหิงหย่วนตัวปลอม อีกฝ่ายก็บอกว่าสวี่ชีอันก็เป็นคนเช่นนี้… ภิกษุจิ้งเฉินนึกย้อนกลับไปแล้วรู้สึกอายแทนสวี่ชีอันนัก ตัวเขาพูดออกมาได้เต็มปากอย่างไม่สะทกสะท้านเลย
‘มันไม่ใช่ปัญหาว่าเป็นคนดีหรือไม่ จะว่าอย่างไรดี เขามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ยากจะอธิบายน่ะสิ’…เหิงหย่วนกล่าวต่อ
“หลังจากที่อาตมาออกจากวัดมังกรเขียวก็มาอยู่ที่สถานรับเลี้ยงเด็กทางใต้ ที่ซึ่งมีกลุ่มเด็กและคนชราที่ไม่มีบ้านให้กลับอาศัยอยู่ พอใต้เท้าสวี่รู้เข้า เขาก็บริจาคเงินอย่างไม่เสียดาย แล้วคอยส่งเงินช่วยพวกเขาอยู่บ่อยๆ ควรรู้ว่า เงินเดือนหนึ่งเดือนของเขามีเพียงห้าตำลึงเงิน ตอนนั้นเขายังเป็นแค่ฆ้องทองแดงอยู่เลย ทว่าเขากลับไม่เคยอิดออด ทั้งยังปลอบอาตมาว่าเงินพวกนี้เขาเก็บออมมาได้ เฮ้อ อาตมาแอบไปสืบเรื่องของเขามา เขาแตกต่างจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคนอื่นๆ จริง ไม่เคยใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ส่วนตนหรือข่มเหงประชาชนเลย และเงินเหล่านั้นก็เป็นเงินที่เขาประหยัดอดออมมาได้”
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ภิกษุจิ้งเฉินก็เงียบไป
เขาจำคำโอ้อวดของสวี่ชีอันได้ บอกว่าตัวเองไม่เคยหาเศษหาเลยกับชาวบ้านทั่วไป
ไต้ซือตู้เอ้อร์นิ่งเงียบไม่กล่าววาจา เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “การทำความดีไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี มนุษย์มีหลายพันหน้า”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วไม่พอใจ เขากล่าวต่อ “เช่นนั้นศิษย์บอกเรื่องหนึ่งกับอาจารย์ปู่แล้วกัน ก่อนที่จะเกิดคดีซังผอ เขาเคยเกือบจะสังหารหัวหน้าที่กระทำการหมิ่นเกียรติเด็กสาวที่เขาไม่รู้จัก จากนั้นเขาจึงถูกจับขังคุกและถูกตัดสินให้ต้องโทษตัดเอว หากไม่ใช่เพราะวัดหย่งเจิ้นซานเหอถูกทำลาย ราชสำนักรีบร้อนต้องใช้คน ป่านนี้เขาคงตายไปแล้ว”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ครุ่นคิดอยู่นานก็ถามอีก “เขามีความพิเศษอันใด”
‘พิเศษอันใด’…เหิงหย่วนตอบอย่างครุ่นคิด “นอกจากมีพรสวรรค์เหนือผู้ใดและเป็นอัจฉริยะในด้านการฝึกยุทธ์แล้ว เขาก็ไม่มีส่วนที่พิเศษเลย”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ราวกับผิดหวัง เขาพยักหน้ากล่าว “เจ้าออกไปทำงานต่อเถอะ”
เหิงหย่วนประนมมือแล้วออกจากห้องไป
“อาจารย์อา เหิงหย่วนไม่ได้โกหก ดูท่าว่าสวี่ชีอันผู้นั้นคงจะเป็นคนดีจริงๆ แม้การกระทำของเขาจะทำให้คนไม่ชอบใจก็ตาม” ภิกษุจิ้งเฉินกล่าว
ไม่ว่าจะเป็นขุนนางหรือเป็นคนธรรมดา สวี่ชีอันผู้นั้นก็เป็นคนที่อ่อนโยนมีน้ำใจจริงๆ แม้จะมีความไหลลื่นแบบที่ทำให้คนไม่ชอบขี้หน้า แต่ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงนิสัยดังกล่าวของเขา
ไต้ซือตู้เอ้อร์เอ่ยรับว่า “อืม”
ภิกษุจิ้งซือรูปงามกล่าวขึ้นทันที “เช่นนั้น เขาเกี่ยวข้องกับสิ่งชั่วร้ายนั่นอย่างไรหรือขอรับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ส่ายหน้าแล้วเอ่ยเสียงขรึม “ผู้บงการเบื้องหลังคดีนี้คือเศษเดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจ ระหว่างจักรพรรดิหยวนจิ่งและท่านโหราจารย์ คนแรกสั่งแต่งานไม่ออกแรง คนหลังมองดูเงียบๆ และเรื่องนี้ก็เกี่ยวข้องกับฆ้องเงินผู้นั้นไม่มากนัก ในเมื่อเขาเป็นคนดี พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องไปทำให้เขาลำบาก”
จิ้งเฉินแค่นเสียงเย็นชา “คนต้าฟ่งไม่อาจเชื่อคำพูดได้ พวกเขาผิดสัญญาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหตุใดพวกเราถึงยังผูกมิตรกับพวกเขาอีกเล่า ไม่รู้อรหันต์และโพธิสัตว์คิดอย่างไร”
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในระดับอรหันต์ ไต้ซือตู้เอ้อร์มองศิษย์หลานทั้งสองแล้วกล่าวช้าๆ “เผ่าป่าเถื่อนทางเหนือมีสายเลือดของเทพมาร เชื่อมโยงกับเผ่าปีศาจทางเหนือมานานหลายพันปี ชนเผ่าป่าเถื่อนแถบซินเจียงตอนใต้ก็มีอยู่มากมาย เผ่าพันธุ์กู่ที่แข็งแกร่งที่สุดเจ็ดแห่งก็เป็นทายาทของเทพมารเช่นกัน สำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือก็มีพ่อมดที่อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง หากคิดจะให้ทั้งจิ่วโจวได้รับแสงแห่งพระธรรม ก็มีแต่ต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น”
‘เป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งเท่านั้น’…ศิษย์ทั้งสองอย่างจิ้งเฉินและจิ้งซือจับใจความสำคัญจากคำพูดของอาจารย์อาได้
สาเหตุที่สำนักพุทธต้องเป็นพันธมิตรกับต้าฟ่งก็เพราะต้าฟ่งไม่มีตัวตนผู้อยู่เหนือระดับขั้น ทั้งยังไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเทพมารอีกด้วย
แน่นอนว่าเมื่อหลายพันปีก่อน ภาคกลางมีผู้อยู่เหนือระดับขั้นคนหนึ่ง เขาคือปราชญ์แห่งลัทธิขงจื๊อ
แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีต้าฟ่ง
พวกเขาถอนความคิดกลับมา จิ้งเฉินเอ่ยถามว่า “เช่นนั้นพวกเราจะทำอะไรต่อหรือขอรับ สืบหาตามรอยสิ่งชั่วร้ายอย่างนั้นหรือ เช่นนั้นทางต้าฟ่งก็สิ้นสุดเพียงเท่านี้หรือขอรับ”
ไต้ซือตู้เอ้อร์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ได้ยินมาว่าความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ในช่วงนี้ ทำให้คนในยุทธภพไหลหลั่งเข้ามาในเมืองหลวงมากมาย ราชการจึงได้สร้างสังเวียนสี่แห่งขึ้นในเมืองชั้นนอก พวกเราจะใช้พวกเจ้าให้เป็นประโยชน์ จิ้งซือ เจ้าใช้ร่างกายระดับเพชรไปท้าสู้กับจอมยุทธ์เมืองหลวงเสีย จิ้งเฉิน เจ้าเลือกมาสักสังเวียนแล้วไปท่องคัมภีร์เทศนา ส่วนข้านั้น ในเมื่อมายังต้าฟ่งแล้ว ก็จะไปหาท่านโหราจารย์สักหน”
เมื่อไต้ซือตู้เอ้อร์พูดจบก็เดินออกจากห้องไป เขาทอดมองอาทิตย์อัสดงทางทิศตะวันตกแล้วเอ่ยเรียบเรื่อย “ภาคกลางไม่ได้เห็นพลังของสำนักพุทธของเรามานานแล้ว”
…
ยามกลางคืน สวี่ชีอันและเพื่อนร่วมงานไปที่สำนักสังคีตกัน เจ้าหนุ่มหน้าหนาซ่งถิงเฟิงก็ตามมาด้วยเช่นกัน รวมไปถึง หลี่อวี้ชุน ‘ผู้กล่าวว่าเสียงเตียงของสำนักสังคีตมันไม่มีความเป็นระเบียบ’ และหยางเยี่ยน ‘ผู้มาดื่มสุราเท่านั้น’
ฝูเซียงมีความรักลึกซึ้งต่อสวี่ชีอัน ทุกครั้งที่เขาพาคนมาเที่ยวที่หออิ่งเหมย นางก็มักจะออกมาดีดฉินมอบบทเพลงอย่างให้หน้าเป็นที่ยิ่ง
คณิกาบางคนที่เคยเล่นสนุกกับสวี่ชีอันก็มาร่วมสร้างความครึกครื้นด้วยเช่นกัน ทำให้เจ้าสวี่ผู้ชอบของฟรีมีโอกาสได้ควงหญิงทั้งซ้ายขวา
แต่สวี่ชอบกินฟรีกลับไม่ดีใจเลย ขณะที่คนอื่นดื่มสุรากันอย่างมีความสุข สิ่งที่เขาคิดคือ
บ้าเอ๊ย แค่พูดคุยเล็กๆ ก็ทำให้ข้าเสียเงินตั้งร้อยตำลึงแล้ว
ตัวเขามาที่สำนักสังคีตเพื่อพูดคุยพลอดรักกับเหล่านางคณิกา นั่นเป็นเรื่องของความรู้สึกรักใคร่ ไม่เกี่ยวข้องกับเงินทองอันต่ำต้อย แต่การพาเพื่อนร่วมงานมาดื่มสุรามากมายเช่นนี้ ไม่อาจไม่คิดเงินได้
แม้ว่าฝูเซียงจะยินดีออกเงินเป็น ‘ค่าเงินทุน’ ให้กับเขา แต่สวี่ชีอันนั้นเป็นชายหนุ่มอกสามศอก ไม่หาเศษหาเลยกับชาวบ้าน ไหนเลยจะยอมให้เป็นเช่นนี้ได้
ต่อไปเวลาเชิญใครต้องระวังสักหน่อย โดยเฉพาะในสถานที่ที่คิดถึงแต่เงินทองอย่างสำนักสังคีต…พรุ่งนี้จะลองไปขอค่าชดเชยจากเว่ยกงดู หวังว่าเขาจะเห็นแก่ความซื่อสัตย์จงรักภักดีของข้า และลงชื่อในใบขอค่าชดเชยให้นะ… สวี่ชีอันฝืนยิ้มแล้วยกแก้วขึ้น
“ดื่มๆ ทุกคนอย่าได้เกรงใจข้าเลย คืนนี้ไม่เมาไม่กลับ”
ดื่มให้เมาจนเหลวให้หมดเลย แบบนี้จะได้ประหยัดเงินค่านอนกับผู้หญิง!
ผลก็คือ ดื่มกันจนถึงค่ำมืดดึกดื่นแล้ว ทหารกลุ่มนี้ก็จะไม่เมาเละเทะกันเลย สวี่ชีอันทำได้เพียงฉีกยิ้มยินดี ทั้งที่ในใจก่นด่าขอให้งานเลี้ยงสุรานี่จบลงสักที
“เพื่อให้หัวหน้าของข้าได้นอนหลับสนิท คืนนี้ตอนที่ทุกคนจะขยับเตียง จะต้องฟังผู้นำให้ดีนะ ขยับไปตามจังหวะ อย่าออกนอกลู่นอกทาง”
หลี่อวี้ชุน “…”
…
วันต่อมา สวี่ชีอันก็ขี่ม้าของเอ้อร์หลางกลับไปที่ทำการปกครองอย่างรวดเร็ว เมื่อมาถึงห้องทำงาน เขาก็หยิบพู่กันฝนหมึกทันที…จากนั้นก็ให้เจ้าพนักงานเขียนใบขอค่าชดเชย
จำนวนผู้เข้าร่วมงานสังสรรค์ครั้งนี้คือยี่สิบเอ็ดคน
หัวข้อ ‘เพื่อสรรเสริญแด่ราชสำนัก สรรเสริญแด่เว่ยกง’ แต่แท้จริงแล้วเพียงดื่มสุราเคล้านารี
ค่าใช้จ่าย ‘หนึ่งร้อยหกสิบสี่ตำลึง สามเฉียน’
เมื่อเขียนเสร็จแล้ว สวี่ชีอันก็พิจารณาครู่หนึ่ง คิดว่าไหนๆ ฆ้องเงินสวี่ก็เป็นพวกหน้าไม่อาย ดังนั้นจึงให้เจ้าพนักงานนำไปส่งที่หอเฮ่าชี่แทนตัวเอง
ไม่นานเจ้าพนักงานก็กลับเข้ามารายงานว่า “เว่ยกงบอกว่า ท่านไม่ได้เขียนคำร้องด้วยตัวเอง ขาดความจริงใจ”
หือ…นี่หมายความว่าเว่ยเยวียนไม่พอใจ แต่ยินดีจะมอบค่าชดเชยให้ข้า ฮ่า วางใจเถอะเว่ยกง ข้าน้อยจะต้องบุกน้ำลุยไฟเพื่อตอบแทนคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านให้ได้!
สวี่ชีอันเขียนใบคำร้องทันที เขาเป่าให้หมึกแห้งเสร็จก็พับให้เรียบร้อยแล้วให้เจ้าพนักงานเดินไปอีกรอบ
ไม่นานนัก เจ้าพนักงานก็กลับมา คำตอบของเว่ยเยวียนก็คือ ‘ไม่อนุมัติ!’
ล้อกันเล่นเหรอ! สวี่ชีอันโมโหแล้ว เขาเอ่ยถาม “เว่ยกงว่าอย่างไร”
เจ้าพนักงานลังเลอยู่นานแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “หัวเราะเยาะลายมือท่านที่เขียนได้น่าเกลียดเหลือทนขอรับ”
เว่ยเยวียน บัดซบเถอะ… สวี่ชีอันโกรธจนระเบิดเจ้าพนักงานออกไปจากห้อง
…
หลังจากการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ ต่อไปก็คือเรื่องที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุด นั่นก็คือการสอบในวังอีกหนึ่งเดือนต่อมา
‘สอบผ่าน’ แค่คำนี้สามารถเขย่าจิตใจผู้คนได้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว
ตั้งแต่ระดับต่ำคือชาวบ้านในชนบท ไปจนถึงระดับสูงคือบรรดาราชนิกุลและขุนนาง ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับการสอบเคอจวี่อย่างยิ่ง
ทว่าในปีหยวนจิ่งที่สามสิบเจ็ดมีเรื่องร้ายเกิดขึ้นมากมาย อย่างแรกคือความขัดแย้งของลัทธิเต๋านิกายสวรรค์และมนุษย์ที่หกสิบปีจะมีครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจดึงดูดความสนใจได้มากเท่าการสอบเคอจวี่
ต่อมาคือสมณทูตแดนประจิมมาเยือนเมืองหลวง ซึ่งสร้างความฮือฮาได้อีกครั้ง
วัดพุทธในต้าฟ่งมีอยู่ไม่กี่แห่ง ภิกษุชั้นสูงของสำนักพุทธก็หาได้ยาก แต่ตำนานของยอดฝีมือของสำนักพุทธก็ได้แพร่ไปทั่วทั้งยุทธภพต้าฟ่ง
อะไรคือการกลับชาติมาเกิด อะไรคือการเป็นอมตะหลังความตาย อะไรคือสารีริกธาตุที่ฉีกกฎทั้งมวล และอื่นๆ
ผู้คนจากยุทธภพมีความอยากรู้อย่างรุนแรงต่อศาสนาพุทธ และสมณทูตแดนประจิมก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาผิดหวัง วันต่อมา ภิกษุรูปงามรูปหนึ่งก็ขึ้นไปยืนอยู่บนสังเวียนทางทิศใต้
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง กล่าวว่าต้องการสอนยอดฝีมือชาวยุทธ์ของภาคกลางให้เห็นกระบวนเวทระดับเพชรของสำนักพุทธ
และวันเดียวกันนั้น จอมยุทธ์วีรบุรุษจากยุทธภพหลายคนก็รวมกลุ่มกันเข้าโจมตีเขา แต่ไม่มีสักคนที่สามารถทำลายกายเนื้อระดับเพชรได้ จึงได้แต่ลงจากเวทีไปอย่างเศร้าสร้อย
ทางทิศเหนือที่อยู่ตรงข้ามกับเมืองทางทิศใต้ก็มีภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิมรูปหนึ่งขึ้นไปยืนบนสังเวียน แต่ไม่ได้ท้าทายยอดฝีมือจากต้าฟ่งคนใด เพียงแต่เปิดเทศนาพระธรรม
ชาวบ้านในเมืองต่างพากันไปฟังเทศนาของภิกษุชั้นสูงและราวกับมึนเมาในรสพระธรรม มีคนเสเพลบางคนที่ซึ้งจนร้องไห้ มีอันธพาลที่ซึ้งจนกลับตัวกลับใจ และมีชายหนุ่มผู้ที่ต้องสืบทอดตระกูลเกิดการรู้แจ้ง จนอยากจะออกบวชเพื่อฝึกตน…
พระธรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแพร่ไปในเมืองราวกับสิ่งชั่วร้าย ชาวบ้านเริ่มมารวมตัวกันมากมายขึ้นเรื่อยๆ เพื่อฟังเทศนา
เมืองชั้นใน ณ ร้านอาหาร
ลูกค้าชาวยุทธ์สองสามโต๊ะพูดคุยกันถึงชาวพุทธจากแดนประจิม แรกเริ่มเป็นการคุยกันเล็กๆ ระหว่างสองคน แต่ก็เริ่มมีคนมาเข้าร่วมพูดคุยเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายแม้แต่ชาวบ้านธรรมดาที่มากินอาหารก็ยังมาร่วมพูดคุยด้วย
“นี่ก็สามวันแล้ว ภิกษุน้อยรูปนั้นก็ยังไม่เคยพ่ายแพ้เลย พวกเจ้าคนในยุทธภพทั้งหลายมิใช่อ้างตนว่าแข็งแกร่งยิ่งใหญ่หรอกหรือ เหตุใดแม้แต่ภิกษุตัวเล็กๆ คนหนึ่งถึงเอาชนะไม่ได้เล่า”
“ชาวบ้านธรรมดาสามัญอย่างเจ้าจะไปเข้าใจอะไร นั่นใช่ภิกษุน้อยธรรมดาเสียที่ไหน นั่นคือภิกษุชั้นสูงจากแดนประจิมเชียวนะ เขาเป็นคนของสำนักพุทธแดนประจิม แม้จะอายุยังน้อยแต่ก็ไม่ควรประมาท”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ สำนักพุทธแดนประจิมช่างแข็งแกร่งเสียจริง เทียบกันแล้ว ต้าฟ่งของเราด้อยอยู่มาก”
“ฮึ มิใช่บอกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือผู้พิทักษ์เมืองหลวงหรอกหรือ ฆ้องทองคำสิบคนล้วนแต่เป็นยอดฝีมือชั้นหนึ่ง แล้วเหตุใดถึงไม่เห็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลออกโรงบ้างล่ะ”
“คนชนบทอย่างพวกเจ้าไม่รู้หรอก หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลโหดร้ายกับการจัดการขุนนาง แต่เป็นกุ้งนิ่มต่อโลกภายนอกน่ะสิ” ชาวบ้านเมืองหลวงคนหนึ่งเอ่ยอย่างดูถูก
กลับมีชาวยุทธ์คนหนึ่งไม่พอใจแล้ว เขาเอ่ยตอบโต้ “ไร้สาระ หลายวันก่อนข้าเห็นฆ้องเงินผู้หนึ่งกับตา เขาแค่ชักดาบออกมาแค่ดาบเดียวก็ทำให้ยอดฝีมือขั้นหกได้รับบาดเจ็บแล้ว”
จากนั้นคำตอบของชาวเมืองหลวงก็ตอบว่า “แต่เมื่อครู่พวกเจ้าเพิ่งพูดไปมิใช่หรอกหรือ ว่าแม้คนจากสำนักพุทธแดนประจิมจะเป็นเด็กก็อย่าได้ประมาท แล้วพวกเจ้าจะหยิบยกจอมยุทธ์แห่งต้าฟ่งมาเทียบกันได้อย่างไร”
“นี่ก็ใช่ จอมยุทธ์อย่างเราร่อนเร่อยู่ในยุทธภพมาหลายปี ยังไม่เคยเห็นกระดูกเหล็กผิวทองแดงที่ร้ายกาจเท่านี้มาก่อน สีทองงามอร่ามนัก สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือจากแดนประจิม”
บนชั้นสอง คุณชายหลิวถอนสายตากลับมาจากรั้วแล้วเอ่ยพูดอย่างโกรธเคือง “พวกกบในกะลา ท่านอาจารย์ กายเนื้อของภิกษุน้อยรูปนั้นคืออะไรกันขอรับ”
“นั่นคือกระบวนเวทฝึกกายที่มีเฉพาะในสำนักพุทธเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งที่กระดูกเหล็กผิวทองแดงระดับหกจะเทียบได้” มือกระบี่วัยกลางคนถอนหายใจ
“เทพเจ้าตีกัน พวกเรานั่งดูความครึกครื้นอยู่ข้างๆ จะดีกว่า” หญิงงามเอ่ยยิ้มๆ
คุณชายหลิวไม่ยินยอม เขาจ้องกระบี่ที่ในอนาคตมันจะเป็นของเขา ซึ่งในตอนนี้มันเป็นกระบี่ของอาจารย์ เขากล่าวว่า “อาวุธเทพที่ได้มาจากสำนักโหราจารย์ชิ้นนี้ทำลายกายเนื้อของเขาได้หรือไม่ขอรับ”
มือกระบี่วัยกลางคนหัวเราะ ‘เชอะ’ เป็นการตอบคำถามไร้เดียงสาของศิษย์อย่างดูแคลน
แม่นางหรงหรงผู้แต่งหน้าจัดแต่กลับไม่ได้ดูเย้ายวนขมวดคิ้วเอ่ย
“ช่วงสามวันที่ผ่านมา คนส่วนใหญ่ที่ขึ้นสังเวียนล้วนเป็นคนจากยุทธภพ บางครั้งก็จะเป็นยอดฝีมือจากราชสำนักบ้าง แต่พลังฝึกตนไม่ได้สูงนัก แล้วเหตุใดทหารระดับขั้นสูงจึงไม่ลงมือล่ะเจ้าคะ”
“เจ้าก็บอกนี่แล้วว่าเป็นทหารระดับสูง” หญิงงามวัยกลางคนส่ายหัวกล่าว
“เมื่อวานพวกเราไปดูภิกษุน้อยรูปนั้นมาแล้ว พลังฝึกตนไม่สูง แต่ได้ตำแหน่งไร้พ่ายเพราะกระบวนเวทระดับเพชร และยอดฝีมือระดับสูงย่อมมีความเย่อหยิ่งของตัวเอง ชนะไปก็ไม่ได้อะไร หากทำลายกายเนื้อก็ต้องเสียกำลังไปอย่างมาก…แบบนั้นคงจะน่าอาย”
มือกระบี่วัยกลางคนพยักหน้าแล้วเอ่ยเสริมว่า “ราชสำนักไม่ส่งยอดฝีมือออกโรงก็เพราะมีเหตุผล อีกฝ่ายให้ภิกษุน้อยลงสนาม แต่ราชสำนักกลับกระเหี้ยนกระหือรือส่งยอดฝีมือระดับสูงมากดข่ม แบบนี้ใครขายหน้ากว่ากันล่ะ ต้าฟ่งยิ่งใหญ่ ความอดทนอดกลั้นเช่นนี้ก็ยังต้องมีอยู่”
“ดังนั้นจึงได้แต่ต้องแสร้งเล่นบทคนใบ้หรือ” คุณชายหลิวขมวดคิ้ว
แม้ว่าเขาจะท่องยุทธภพเป็นปกติ ปากด่าว่าขุนนางสุนัขบ้าง จักรพรรดิโง่เง่าบ้าง แต่นี่คือพฤติกรรมของชาวยุทธ์แบบเขา
แต่หากมีคนนอกมาฉีกหน้าต้าฟ่ง คุณชายหลิวก็จะเกิดความรู้สึกเกลียดชังราวกับมีศัตรูเดียวกันขึ้นทันที
“เช่นนั้นก็ต้องดูแล้วว่าต้าฟ่งจะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์หรือไม่” มือกระบี่วัยกลางคนดื่มสุรา
…
ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองทิศใต้ ณ ร้านอาหาร
สวี่ชีอันผู้สวมชุดเครื่องแบบฆ้องเงินนั่งอยู่ที่ระเบียงและมองดูการต่อสู้บนสังเวียน ทางซ้ายของเขาคือฉู่หยวนเจิ่น มือกระบี่ผู้สวมชุดเขียวคราม ทางขวาคือเหิงหย่วนผู้เป็น ‘หลู่จื้อเซิน’ ผู้มีร่างกายสูงใหญ่
ตอนนี้ผู้ที่ประมือกับภิกษุจิ้งซือก็คือมือกระบี่หนุ่มชุดขาว ระดับไม่ด้อย อยู่ในขั้นหลอมปราณสูงสุด ไม่รู้ว่าเป็นศิษย์ที่มาจากสำนักไหน
วิชากระบี่ที่มือกระบี่ชุดขาวผู้นี้ใช้นั้นคาดเดาไม่ได้เลย ล้วนแต่โจมตีโดนจุดสำคัญของภิกษุจิ้งซือทั้งนั้น
ภิกษุน้อยจิ้งซือแทบไม่ขยับ ปล่อยให้กระบี่เหล็กฟันร่างของเขาจนเกิดประกายไป บางครั้งก็เอื้อมมือไปบังที่เป้าและดวงตาด้วยกระบวนท่าน่ากลัว
แม้ว่าร่างกายจะเป็นระดับเพชรไร้พ่าย แต่เสื้อผ้ากลับมิใช่ ยังต้องรักษาสายรัดกางเกงเอาไว้ด้วย
หลังจากร้อยกระบวนท่าผ่านไป จอมยุทธ์หนุ่มชุดขาวก็หมดแรง แต่ไม่มีทางเลือกอื่นต้องเก็บดาบกลับไปแล้วกำหมัดเอ่ย “ยอมรับความพ่าย”
มีเสียงโห่จากผู้ชม และทั้งผู้คนในเมืองหลวงและผู้คนในยุทธภพต่างก็ผิดหวังมาก
“คนผู้นี้ดูเหมือนจะเป็นศิษย์พี่ของกระบี่ผีเสื้อ” สวี่ชีอันกล่าวพลางชี้ไปที่ขอบสังเวียน นั่นคือจอมยุทธ์หญิงรูปงามใบหน้าองอาจผู้หนึ่ง
มือกระบี่ ‘กระบี่ผีเสื้อ’ คือจอมยุทธ์หญิงเลื่องชื่อในยุทธภพแบบเดียวกับพวกแม่นางหรงหรง นางโจรพันหน้า และนักดาบหญิงผู้นั้นที่มาจากสำนักดาบคู่
เป็นผู้หญิงที่มีท่าทางองอาจจนทำให้ผู้คนตาเป็นประกายจริงๆ
เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นได้ยินดังนั้น ก็เหลือบมองไป แล้วเบนสายตาออกมาด้วยท่าทางไม่ได้สนใจอะไรนัก
“ไต้ซือเหิงหย่วน นี่คือกระบวนท่าฝึกกายที่มีเฉพาะในสำนักพุทธแดนประจิม เป็นของระบบฝึกตนจอมยุทธ์ภิกษุ” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าว “เจ้าไม่อิจฉาหรือ”
“ย่อมอิจฉาเป็นธรรมดา” เหิงหย่วนตอบ
สวี่ชีอันนั่งฟังอยู่ ในใจก็สั่นเล็กน้อย กระบวนท่าฝึกกายที่ภิกษุน้อยจิ้งซือแสดงออกมาคือกระบวนท่าฝึกกายที่ไม่จำเป็นต้องถูกต้มหรือถูกทุบตี และเปรียบได้กับกระดูกเหล็กผิวทองแดงอย่างนั้นหรือ
“ข้าก็อิจฉาเหมือนกัน” สวี่ชีอันกลืนน้ำลาย
เหิงหย่วนเหลือบมองเขา “ระดับเพชรไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะฝึกกันได้ และผู้ที่ไม่มีรากฐานของพระธรรมก็ไม่อาจฝึกฝนได้เลย เว้นก็แต่เกิดมาพร้อมรากธรรม”
รากธรรมที่เจ้าว่านี่ มันคือรากจริงๆ อย่างนั้นหรือ…สวี่ชีอันบ่นในใจ
“ภิกษุน้อย ข้ามาประลองกับเจ้า”
ตอนนี้เอง ชายร่างกำยำก็โผล่ออกมาจากฝูงชนและกระโดดขึ้นไปบนสังเวียน
ชายร่างใหญ่คนนี้มีแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งปลั่งอยู่บนร่างกายของเขา ซึ่งคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ผู้ชมที่เมื่อครู่ยังโห่ร้องด้วยความผิดหวังก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ภิกษุน้อยจากแดนประจิมแสดงพลังของเขาในสนามประลองอยู่สามวัน และในที่สุดก็ดึงดูดยอดฝีมือกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้แล้ว
“มีเรื่องสนุกให้รับชมแล้ว” สวี่ชีอันหัวเราะ
พูดไปสายตาของเขาก็กวาดมองฝูงชนแล้วบังเอิญพบ ‘คนรู้จัก’ คนหนึ่ง
นางคือป้าแก่ๆ ผู้สวมกระโปรงผ้าฝ้าย ปักผมด้วยปิ่น แต่งกายเรียบง่าย ร่างกายอวบนิดหน่อย
นางจ้องไปบนสังเวียนตาไม่กะพริบด้วยสีหน้าจริงจัง
…………………………………