ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 284 ธรรมลักษณะของสำนักพุทธ (1)
บทที่ 284 ธรรมลักษณะของสำนักพุทธ (1)
“ข้าพบคนรู้จัก ขอไปดูเสียหน่อย”
สวี่ชีอันกล่าวทิ้งท้ายและหันหลังเดินลงบันไดไป เขาหลีกเลี่ยงฝูงชนจากที่ไกลๆ อย่างเงียบเชียบและเข้าไปใกล้ป้าคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบง่าย
สายตาของฉู่หยวนเจิ่นมองตามเขาไป เมื่อเห็นว่าเป้าหมายของเขาเป็นผู้หญิงที่อายุมากและหน้าตาธรรมดา เขาก็หัวเราะออกมาเสียงดังทันที
“งานอดิเรกของสวี่หนิงเยี่ยนมีเอกลักษณ์นิดหน่อย”
เหิงหย่วนขมวดคิ้ว เขากำลังจะอธิบายแทนใต้เท้าสวี่สองสามประโยค ก็เห็นสวี่ชีอันที่อยู่ไกลๆ เผยรอยยิ้มของ ‘สาวกเติ้ง’ ออกมาอย่างผิดหวังและสนทนากับผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นไม่สนใจเขาและกลอกตาใส่เขา ใต้เท้าสวี่ไม่สนใจและพูดเจื้อยแจ้ว
เมื่อเห็นฉากนี้ เหิงหย่วนก็สูญเสียความมั่นใจในการอธิบายแทนทันทีและกล่าวเสียงแห้ง “ความรักในวัยเยาว์อาจจะไม่ใช่เรื่องดี”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะยกใหญ่ “คณิกาของ สำนักสังคีตนั้นงดงาม แต่ข้ากลับรู้สึกว่ามันขาดอะไรบางอย่าง ผู้ชายที่แต่งงานแล้วก็รสชาติดีมาก”
เหิงหย่วนอับจนปัญญา เขาทำได้เพียงเวทนาในความโชคร้ายของเขาและเกลียดที่ไม่อาจโต้เถียงได้
ใต้เท้าสวี่เก่งทุกอย่าง แต่ด้านความเจ้าชู้และเจ้าสำราญของเขาทำให้ผู้คนพากันประณาม
หลังจากหมายเลขหนึ่งกระพือข่าวภายในพรรคฟ้าดิน ภาพลักษณ์ด้านความเจ้าชู้ของสวี่ชีอันก็แทรกซึมเข้าไปภายในใจของผู้ถือครองชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“ท่านป้า เหตุใดท่านถึงมาที่นี่อีก จากการแต่งกายของท่านดูไม่เหมือนหญิงสาวที่ร่ำรวยเลย ของใช้ในชีวิตประจำวัน มันไม่ดีหรือ ทุกวันจึงรู้เพียงต้องวิ่งออกมาชมความครื้นเครง”
“ผู้ชายบนสังเวียนคนนั้นเป็นผู้ชายของเจ้าหรือ”
“วันนี้นำเงินออกจากบ้านมาเท่าไหร่ อย่าให้ผู้ใดมาขโมยไปล่ะ มาๆๆ ข้าจะพาท่านไปที่ที่คนน้อยๆ”
นอกจากดวงตาที่เริ่มมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหลแล้ว ท่านป้าผู้นั้นก็ไม่สนใจเขาอีกและปล่อยให้เขาพูดจ้อกแจ้กไม่จบไม่สิ้นอยู่ข้างหูของนาง
นางแสดงท่าทีรังเกียจอย่างมากต่อฆ้องเงินสวี่ผู้มีความสามารถ
สวี่ชีอันหาเรื่องให้ตัวเองลำบากใจ แต่เขาก็ไม่โกรธ เขาเพียงแค่ไม่พูดอะไรอีกและมุ่งความสนใจไปยังสองฝ่ายที่กำลังต่อสู้กันอยู่บนสังเวียน
ครานี้ ภิกษุจิ้งซือไม่ถ่อมตัวอีกต่อไป เขาเลือกต่อสู้ประชิดตัวกับทหารระดับหกกระดูกเหล็กผิวทองแดงและต่อสู้กันอย่างไร้ความปรานี
ตึงๆๆ…
เสียงดังก้องกังวานระหว่างหมัดกับเท้านั้นราวกับเสียงเคาะระฆังที่ดังไม่ขาดสายและยังเหมือนการทุบตีของช่างตีเหล็กอีก เพราะระหว่างทั้งสองคนมีประกายไฟเสียดตาปล่อยออกมาเป็นครั้งคราว
ประชาชนที่มาล้อมดูต่างพากันตะโกนอย่างสนุกสนาน เสียงเชียร์ดังไม่ขาดสาย
เด็กคนหนึ่งมองดูอย่างติดใจและวิ่งไปทางสังเวียนอย่างลิงโลด ปากก็ตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“กลับไปอยู่ในท้องแม่ไป!”
สวี่ชีอันกวาดขาเตะเขาปลิวออกไป เด็กคนนั้นปลิวไปหลายเมตรอย่างแผ่วเบาและตกลงในอ้อมแขนของชายคนหนึ่ง ซึ่งดูเหมือนจะเป็นพ่อของเขา เขาจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความตกใจและโกรธ แต่ไม่กล้าก่อความวุ่นวาย
“ได้รับบาดเจ็บหรือไม่” ชายคนนั้นถามอย่างร้อนใจ
“ไม่เจ็บครับ” เด็กพูดด้วยรอยยิ้ม
ท่านป้าหันมามองสวี่ชีอัน จากนั้นก็หันกลับไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์และดูการต่อสู้บนสังเวียนอย่างจริงจังและตั้งใจ
การต่อสู้บนสังเวียนดำเนินต่อไปได้ไม่นาน หลังจากหนึ่งก้านธูปผลแพ้ชนะก็ถูกตัดสิน ทหารระดับหกคนนั้นถูกภิกษุจิ้งซือชกที่หน้าอกสามหมัดและทนไม่ไหวในที่สุด
“ระดับเพชรของสำนักพุทธไร้พ่ายสมคำร่ำลือ”
ชายคนนั้นประสานมือคารวะ ดูเหมือนจะไม่มีหน้าอยู่อีกต่อไป เขากระโดดลงจากสังเวียนและจากไปอย่างรวดเร็ว
ท่านป้ากระทืบเท้าเบาๆ
สวี่ชีอันประหลาดใจนิดหน่อย ป้าแก่คนนี้ จะว่าอย่างไรดี ข้ามักจะได้เห็นท่าทางกับสีหน้าที่มีเฉพาะในหญิงสาวแรกรุ่นบนตัวนางอยู่เสมอ
อาสะใภ้ที่บ้านก็กระทำตัวเช่นนี้เป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดเกินจริงเช่นนาง
นี่คือป้าที่ไม่สนใจอายุตัวเองเลยคนหนึ่ง…สวี่ชีอันสรุปในใจก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม
“นี่ก็เหมือนดาบสองเล่มปะทะกัน ภายใต้สถานการณ์ที่พลังเท่ากัน ดาบที่คุณภาพดีกว่าก็จะเป็นผู้ชนะ ระดับเพชรไร้พ่ายของสำนักพุทธ ว่ากันว่ามาจากพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า แต่กระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารคุณภาพไม่เท่ากัน ไม่ผิดที่จะแพ้”
ป้าแก่หันหน้ามาและพูดอย่างดูถูก “คำพูดก็เลียนแบบ เหตุใดเจ้าไม่ขึ้นไปบนสังเวียนล่ะ ก่อนหน้านี้เจ้าตัดหัวทหารระดับหกคนหนึ่งในดาบเดียวไม่ใช่หรือ”
สวี่ชีอันหรี่ตาและถามกลับว่า “เอ๋ ตอนนั้นท่านอาจากไปแล้วไม่ใช่หรือ ท่านรู้ได้อย่างไรว่าข้าตัดหัวระดับหกในดาบเดียว”
ป้าแก่ตอบโต้ด้วยการยิ้มเยาะ “ข้าไม่ได้หูหนวกเป็นใบ้ เว้นเสียแต่ว่าที่หนานเฉิงในวันนั้นจะมีฆ้องเงินอีกคน”
“นี่ วันนั้นท่านป้าเรียกให้คนมาทุบตีข้า ท่านป้าเป็นภรรยาของตระกูลใด และผู้ชายคนนั้นดำรงตำแหน่งอยู่กรมใด” สวี่ชีอันเลิกเสแสร้งและถามอย่างตรงประเด็น
วันนั้น ระดับหกที่แต่งตัวเป็นคนในยุทธภพคนนั้นขึ้นสังเวียนมายั่วยุเขาอย่างไม่มีเหตุผล เขาพูดชื่อเสียงเรียงนามออกมาและต้องการท้าดวลกับสวี่ชีอัน เดิมเขาสามารถจับได้ทันที แต่เพื่อ…แสดงความสามารถ เขาจึงเลือกตอบรับคำท้า
หลังจากนั้นโดยไม่รอให้เขาไปสอบปากคำ จอมยุทธ์จากยุทธภพก็ถูกคนพาตัวไป การพาคนไปจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ผู้ใดบ้างที่สามารถทำได้
สวี่ชีอันจึงเดาว่าเป็น ‘คนในครอบครัว’ ของฝ่ายทหาร หรือไม่ก็ขุนนางที่ใต้เท้าสักคนเลี้ยงเอาไว้
เมื่อสักครู่นี้ สวี่ชีอันเห็นทหารระดับหกคนเดียวกันขึ้นไปบนสังเวียนและเห็นป้าแก่ปะปนอยู่ในฝูงชนที่ล้อมดู เขาจึงเกิดแรงบันดาลใจขึ้นทันใดและนึกขึ้นได้ว่าเขาทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจจริงๆ
ตัวตนของป้าแก่คนนี้ไม่ได้เรียบง่ายและธรรมดาเหมือนภายนอกของนางเลย อีกทั้งวันนั้นเขายังทำให้นางขุ่นเคืองใจจริงๆ แม้ว่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ความใจแคบของผู้หญิงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
สวี่ชีอันมีเหตุผลที่จะสงสัยว่า ทหารระดับหกในวันนั้นได้รับคำสั่งจากป้าแก่คนนี้
เมื่อได้ยินคำถามของสวี่ชีอัน ป้าแก่ก็คลี่ยิ้ม “เจ้าขึ้นสังเวียนไปตัดหัวภิกษุน้อยคนนี้เสีย แล้วข้าจะบอกเจ้า”
สวี่ชีอันส่ายหน้า
“กลัวหรือ” ความดูถูกในดวงตาของนางลึกล้ำยิ่งขึ้น
เกรงว่าข้าจะลบตัวเองออกจากสายตาของคณะสำนักพุทธไม่ได้ง่ายๆ และข้าก็ไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับพระสงฆ์ของสำนักพุทธมากเกินไป…แต่สวี่ชีอันก็ยังอดจับด้ามดาบไม่ได้และเอ่ยเสียงขรึม
“ข้าไม่อาจตัดหัวระดับเพชรไร้พ่ายของเขาได้”
ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า! ป้าแก่เบ้ปาก นัยน์ตาซับซ้อนมาก ทั้งผิดหวังทั้งภูมิใจในตนเอง
เวลานี้ นักดาบในชุดสีน้ำเงินคนหนึ่งก็เหาะทะยานออกมาจากร้านอาหารด้านข้าง เดินขึ้นไปบนสังเวียนอย่างแผ่วเบา
เมื่อฝูงชนที่ล้อมดูเห็นว่ามีคนท้าดวลภิกษุน้อยอีกครั้ง พวกเขาก็กระปรี้กระเปร่าทันทีแล้วตั้งใจมุงดูอีกครั้ง ต่างพูดคุยกันว่านักดาบในชุดสีน้ำเงินคือผู้ใด
“ฉู่หยวนเจิ่น…”
สวี่ชีอันได้ยินป้าเฒ่าพึมพำ
นางรู้จักฉู่หยวนเจิ่นหรือ อ้อ ก่อนหน้านี้ฉู่หยวนเจิ่นเป็นบัณฑิตจอหงวน เขาจึงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับเจ้าหน้าที่อาวุโสของต้าฟ่ง…หากจอหงวนฉู่ลงมือ ส่วนใหญ่ก็เสถียรภาพ
สวี่ชีอันโล่งใจ
ภิกษุน้อยจิ้งซือยึดครองสังเวียนอย่างต่อเนื่อง สีหน้าของราชสำนักก็ไม่สู้ดีเท่าไรนัก
“ภิกษุน้อย ข้าจะชักดาบเพียงครั้งเดียว หากเจ้าขวางได้จะถือว่าข้าแพ้” ฉู่หยวนเจิ่นยิ้มและมองตรงไปทางจิ้งซืออย่างสงบ
เสียงโห่ร้องดังขึ้นอีกครั้ง เมื่อฝูงชนที่มุงดูรอบๆ เห็นว่านักดาบในชุดสีน้ำเงินหยิ่งผยองเช่นนี้ ความประทับใจในตัวเขาก็ลดฮวบลง
นักพรตตัวน้อยที่มาจากแดนประจิมผู้นี้ไม่อาจทำลายได้และทุกคนล้วนเห็นอยู่กับตา การพูดจาสามหาวของนักดาบในชุดสีน้ำเงินนั้นง่ายต่อการทำให้ผู้คนคิดว่าเขาเป็นคนฉวยโอกาสและกระหายที่จะกลายเป็นคนดังในคราวเดียว
“เชิญประสก!”
จิ้งซือพนมมือ ตั้งตระหง่านไม่เกรงกลัว
“น่าสนใจ” ฉู่หยวนเจิ่นยิ้ม ในดวงตาไม่มีความปรารถนาที่จะชนะหรือแพ้ ในทางกลับกันเป็นความสนุกสนานเสียส่วนใหญ่ เหมือนกับฝูงชนที่อยู่รอบๆ
จากนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็ทำสิ่งที่ทุกคนไม่เข้าใจ เขาชูมือขึ้นไปบนท้องฟ้าและคลายฝ่ามือ
ดาบที่สะพายอยู่ข้างหลังไม่ขยับเขยื้อน
ขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าเขาขู่ขวัญตบตาและตั้งใจจะเยาะเย้ยเขา ก็มีคนเห็นก้อนหินลอยขึ้นมาจากข้างๆ เท้าของตัวเอง
ก้อนหินจำนวนมากทะยานขึ้นไปในอากาศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พุ่งไปที่ฝ่ามือของนักดาบในชุดสีน้ำเงินราวกับผึ้งแตกรัง
ท่ามกลางเสียงชนดังปังๆๆ ก้อนหินประกบแนบสนิทกับก้อนหิน ด้ามดาบก่อตัวขึ้นแล้ว ตามด้วยการรวมตัวกันของก้อนหิน ไม่นานนักดาบหินยาวสี่ฟุตก็ก่อตัวขึ้น
ว้าว…
เกิดเสียงเอะอะโวยวายขึ้นโดยรอบ ฝูงชนส่วนใหญ่ต่างรับชมความสนุกสนาน ยิ่งอลังการเพียงใดก็ยิ่งดูเก่งกาจในสายตาของพวกเขา
ทักษะนี้ของฉู่หยวนเจิ่นยิ่งใหญ่อลังการอย่างหาใดเปรียบ รวบรวมก้อนหินเพื่อสร้างเป็นดาบ ฝีมือขั้นเทพอย่างแท้จริง และยังน่าชื่นชมกว่าภิกษุจากแดนประจิมที่นิ่งเฉยรอให้ฝ่ายท้าดวลทุบตีตั้งแต่ต้นจนจบมาก
“เก่งกาจ!”
ดวงตาของป้าแก่เป็นประกาย นางอดส่งเสียงเชียร์ไม่ได้
หลังจากดาบหินก่อตัวขึ้น ฉู่หยวนเจิ่นก็จับดาบและยื่นไปข้างหน้า ทันใดนั้นกระแสลมพลันพัดกระโชกแรง พายุโหมกระหน่ำ พัดประชาชนที่อยู่รอบๆ จนร่างกายส่ายไปมา ไม่อาจยืนได้มั่นคง
พลังของดาบก่อเกิดขึ้นเร็วเกินไป ภิกษุจิ้งซือไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทว่าสองมือยังคงประสานกันไม่หลบเลี่ยง
‘ติง…ตูมๆๆ…’
เสียงแหลมแสบแก้วหูดังขึ้นก่อน ตามด้วยเสียงดังอุดอู้ของพลังปราณระเบิด คลื่นพลังงานอันบ้าคลั่งพัดฝูงชนที่อยู่ไกลๆ ให้ปลิวออกไป
โชคดีที่สามวันมานี้ ผู้คนส่วนใหญ่เคยพบเจอพลังปราณที่เรียกว่าความผันผวน ประชาชนจึงไม่กล้าเข้าใกล้สังเวียนเหมือนก่อนหน้านี้อีก ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เพียงแต่แก้วหูของหลายคนได้รับการกระทบกระเทือนจนเลือดออก
ก่อนเสียงหวีดแหลมครั้งแรกจะดังขึ้น หูทั้งสองของป้าแก่ถูกสวี่ชีอันอุดไว้ แต่การระเบิดของพลังปราณที่ตามมาก็ยัง ‘ดัน’ ร่างนางให้ไปอยู่ในอ้อมแขนของสวี่ชีอัน
เนื่องจากไม่เคยถูกชายแปลกหน้าสัมผัสใกล้ชิดเช่นนี้มาก่อน ป้าแก่จึงดิ้นอย่างรุนแรง เท้าก็ออกแรงเหยียบลงบนหลังเท้าของสวี่ชีอันอย่างหนัก
เมื่อทุกอย่างสงบลง นักดาบในชุดสีน้ำเงินและภิกษุน้อยจากแดนประจิมยืนอยู่บนสังเวียน ร่างทองของภิกษุน้อยไม่สว่างไสวอีกต่อไป ทั้งยังดูหม่นหมองลง
ในมือของฉู่หยวนเจิ่นไม่มีดาบ ระหว่างทั้งสองคนมีเพียงก้อนกรวดที่กระจายเต็มพื้น
“แพ้แล้ว”
สวี่ชีอันคิดอย่างเศร้าใจ จากนั้นก็เห็นป้าแก่ผลักเขาออกและโบกมือจะตบเขา
สวี่ชีอันยกมือขึ้นบังไว้พลางเอ่ยอย่างโกรธเคือง “ท่านป้า อายุก็ไม่น้อยแล้ว ยังอารมณ์ร้ายอีก…”
เขาไม่ได้พูดต่อ ตรงหน้าเขาปรากฏภาพข้อมือขาวราวหิมะซึ่งสวมกำไลลูกประคำไว้
“???”
เครื่องหมายคำถามผุดขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน เขามองดูดวงตาของป้าแก่ซึ่งแข็งทื่อกว่าเก่า ซ้ำยังดูแปลกไปอย่างช้าๆ
เขารู้จักกำไลลูกประคำเส้นนี้ วันนั้นเขาได้พบกับนักบวชเต๋าจินเหลียนที่เมืองชั้นในและ ‘รับ’ ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีกับกำไลลูกประคำไปจากเขา
กำไลนั่นถูกขุนนางที่นั่งอยู่ในรถม้าไม้จินสื่อหนานซื้อไป
ขุนนางคนนั้นก็คือนาง?!
“ปล่อยมือ…”
เสียงที่ทั้งโกรธทั้งอายของป้าแก่ดังขึ้น นางกัดฟันแน่น
สวี่ชีอันปล่อยมือของนางอย่างเชื่อฟัง ป้าแก่พลิกมือและเดินจากไปอย่างโกรธเคือง
ไม่สิ ผู้หญิงที่ได้รับการยกย่องจากนักบวชเต๋าจินเหลียนว่า ‘อนาคตจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับข้า’ ก็คือนางหรือ?! นางมีคุณสมบัติที่จะนั่งรถม้าที่ทำจากไม้จินสื่อหนาน ดังนั้นป้าแก่คนนี้ก็คือญาติผู้น้องของจักรพรรดิหยวนจิ่งหรือภรรยาขององค์ชายคนไหนสักคน!? ผู้หญิงเช่นนี้จะมีความสัมพันธ์อะไรกับข้าได้ หรือว่าจะเป็น…ไม่ๆๆ ความคิดนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ บางทีนางอาจจะมีลูกสาวผู้งดงามราวกับดอกไม้และมีชะตาต้องกันกับข้า…แต่รูปลักษณ์ธรรมดาเช่นนี้ นางจะมีลูกสาวที่งดงามราวกับดอกไม้ได้อย่างไร
เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ของป้าแก่ สวี่ชีอันก็ขัดจังหวะความคิดเรื่องแม่สามีที่ยังเยาว์วัย ครุ่นคิดในใจว่าการมีความสัมพันธ์อาจไม่ใช่บุพเพสันนิวาส แต่อาจเป็นโชคชะตาอื่น
“จะว่าไปแล้ว ข้าเจอนางสองครั้งในเวลาเพียงไม่กี่วัน ภูมิหลังของนางก็ไม่ชัดเจน ไม่อยู่ในชีวิตกับหน้าที่การงานของข้า ทั้งยังไม่อยู่ในแวดวงสังคมของข้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ข้ายังได้พบนางบ่อยครั้ง นักบวชเต๋าจินเหลียนพูดถูก ข้ามีชะตาต้องกันกับนางจริงๆ”
เวลานี้ ผู้ชมที่อยู่รอบๆ ฟื้นจากผลกระทบของการต่อสู้ มีหลายคนตบหูตนเองอย่างไม่หยุดหย่อนและร้อง ‘อ๊ากกก’ เสียงดัง
โชคดีที่ไม่มีใครได้รับการกระเทือนจนแก้วหูบาดเจ็บ ได้แต่กุมมือถอนหายใจ
“นี่ยังไม่ชนะอีกหรือ”
“คนของสำนักพุทธแดนประจิมแข็งแกร่งถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
ไม่มีใครเยาะเย้ยฉู่หยวนเจิ่น อย่างไรเสียดาบนั้นก็ได้แสดงฝีมือขั้นเทพแล้ว
…………………………………………………