ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 286 การซื้อขายเมื่อห้าร้อยปีก่อน
บทที่ 286 การซื้อขายเมื่อห้าร้อยปีก่อน
“มีเรื่องอันใด”
เสียงอันเลือนรางของไต้ซือเสินซูดังขึ้นที่ข้างหู สวี่ชีอันมองเห็นหมอกหนาแน่นแผ่กระจาย เขาทะลุผ่านไอหมอกที่ลอยล่อง มองเห็นวัดที่เก่าทรุดโทรม ไต้ซือเสินซูรูปงามนั่งขัดสมาธิอยู่ที่ประตูทางเข้า
“ไต้ซือ ก็ไม่มีอะไรหรอก…เมื่อครู่ก็แค่มองเห็นฉากยิ่งใหญ่ตระการตา จึงใคร่ขอแบ่งส่วนบุญจากท่าน” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ต่อหน้ายอดฝีมือของสำนักพุทธ อย่าได้เรียกชื่อข้าในใจเป็นอันขาด” ไต้ซือเสินซูกล่าวเตือน
“เข้าใจแล้วไต้ซือ ข้าจะไม่เป็นตัวถ่วงท่าน”
สวี่ชีอันบรรยายทิวทัศน์ท้องฟ้ายามราตรีที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อครู่ ก่อนจะเอ่ยอย่างปลงตก “วิชาปิดกั้นความลับสวรรค์ของท่านโหราจารย์ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริง”
“เป็นถึงขั้นหนึ่งก็ย่อมยอดเยี่ยมอยู่แล้ว” ไต้ซือเสินซูเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ทว่าอาจเป็นสาเหตุที่ความทรงจำของข้าขาดหาย ข้าจำข้อมูลเกี่ยวกับโหรไม่ได้”
เอ๋…ก่อนหน้าหนึ่งร้อยปีที่ไต้ซือเสินซูจะถูกผนึก ถึงจะปรากฏระบบโหรหรือ เขาไม่รู้เรื่องพื้นฐานของระบบโหนเท่าไรนัก
สวี่ชีอันกล่าว “ไต้ซือ ไม่กี่วันก่อนข้าเคยหยั่งเชิงภิกษุที่มาจากแดนประจิม พบว่าเขารู้จักตัวตนของท่านเพียงเล็กน้อย”
ใบหน้าอันอ่อนโยนของไต้ซือเสินซูเผยสีหน้าเอาจริงเอาจังพร้อมจ้องเขาอย่างจดจ่อ “ผลเป็นอย่างไร”
สวี่ชีอันตอบ “ภิกษุของสำนักพุทธกล่าวว่าท่านเป็นคนทรยศสำนักพุทธ เพราะฆ่าท่านไม่ตายจึงผนึกท่านไว้”
“คนทรยศสำนักพุทธ…”
ไต้ซือเสินซูเอาแต่พึมพำ สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยน ลึกลงไปในแววตาปรากฏความเศร้าโศกและเคียดแค้น
ม่านหมอกหนาของโลกซ่อนเร้นใบนี้ไหวสะท้าน ม่านหมอกหนาพลุ่งพล่านราวกับสายลำธาร
“เจ้าทำได้ดีมาก ข้านึกถึงเรื่องในอดีตบางอย่างขึ้นมาได้” ใช้เวลาอยู่นานทีเดียวกว่าอารมณ์ของไต้ซือเสินซูจะสงบลง จึงพยักหน้ากล่าว
เรื่องในอดีตอะไรล่ะลูกพี่ แบ่งปันกับข้าหน่อยได้หรือไม่…สวี่ชีอันกล่าวในใจ
ความคิดเพิ่งจะปรากฏ ไอหมอกตรงหน้าก็ปิดลง ปิดกั้นวัดเก่าทรุดโทรมและไต้ซือเสินซูเอาไว้ ครั้นแล้วโลกทั้งใบก็เริ่มจางหาย
ทัศนียภาพแปรเปลี่ยน ของตกแต่งในห้องส่องสะท้อนอยู่ในม่านตา เขาออกมาจากในโลกซ่อนเร้นของไต้ซือเสินซู
ป้าแก่นั่นกับข้าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือด กลับไปข้าจะลองถามนักบวชเต๋าจินเหลียนว่าเกี่ยวข้องกันทางสายเลือดอย่างไรกันแน่ มิเช่นนั้นก็จะรู้สึกค้างคาและไม่สบายใจอยู่ตลอด…ไม่รู้ว่าสมณทูตจากสำนักพุทธจะไปเมื่อไร ช่วงนี้ข้าจะพยายามไม่ทำตัวเป็นจุดสนใจ ไต้ซือตู้เอ้อร์แข็งแกร่งกว่าที่ข้าจินตนาการไว้เสียอีก พลังจิตวิญญาณของข้าในตอนนี้บรรลุถึงจุดสูงสุดแล้ว อีกไม่นานก็ลองบุกทะลวงได้ แต่เมื่อได้เห็นความอัศจรรย์ของพลังระดับเพชรของสำนักพุทธ ข้าก็ไม่ชอบใจกระดูกเหล็กผิวทองแดงของทหารเล็กน้อย…ความทรงจำของไต้ซือเสินซูขาดหายไป ไม่มีวิชากังฟูนี้ เหิงหย่วนก็เป็นหมาหัวเน่า เรียนถึงเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งแบบนี้ไม่ได้ ยากแล้ว
เขานอนคิดฟุ้งซ่านอยู่บนเตียง ทันใดนั้นความรู้สึกหวั่นใจที่คุ้นเคยก็โหมเข้ามา
สวี่ชีอันยื่นมือไปดึงชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาจากใต้หมอนพลางลุกขึ้นจุดตะเกียงน้ำมัน นั่งตรวจสอบข้อความอยู่ที่โต๊ะ
หมายเลขหนึ่ง ‘ท่านนักบวช ผู้นำของสมณทูตแดนประจิม ไต้ซือตู้เอ้อร์เป็นขั้นอะไร’
ไม่บ่อยนักที่คนบ้าหมายเลขหนึ่งที่คอยซุ่มอ่านจะเป็นฝ่ายเริ่มส่งข้อความมาก่อน
หมายเลขเก้า ‘ตู้เอ้อร์เป็นอรหันต์ขั้นสอง พิฆาตกลีพละ’
อรหันต์ขั้นสอง นี่เป็นไปตามที่ข้าคาดเอาไว้…ว่าแต่พิฆาตกลีพละคืออะไร สวี่ชีอันย้อนนึกเล็กน้อย ยืนยันว่าในคลังเอกสารของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไม่ได้บันทึก ‘พละ’ ไว้
หมายเลขสี่ ‘สิ่งที่เรียกว่าพละเป็นคำเรียกของสำนักพุทธ อรหันต์มีสามมหาพละ แบ่งออกเป็นพิฆาตกลี มิหวนคืน และอรหันต์ ซึ่งอรหันต์พละสูงที่สุด พิฆาตกลี และ มิหวนคืน อยู่ระดับเดียวกัน’
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้…แม้จะฟังไม่เข้าใจ แต่ก็รู้สึกว่าเป็นอะไรที่สุดยอดมาก! สวี่ชีอันพยักหน้าช้าๆ
หลังจากอธิบาย หมายเลขสี่ก็กล่าว ‘แต่ข้ารู้สึกว่าลักษณะธรรมที่สองที่ปรากฏกายในคืนนี้แข็งแกร่งแบบไร้เหตุผลเล็กน้อย’
ลักษณะธรรมที่หนึ่งเป็นพิฆาตกลีพละรวมตัวกัน เป็นพลังของตัวไต้ซือตู้เอ้อร์ ปราณของลักษณะธรรมที่สองยิ่งใหญ่กว่า หนักและหนายิ่งกว่า
หมายเลขเก้า ‘นั่นเป็นลักษณะธรรมเนตรพิโรธระดับเพชร หนึ่งในเก้ามหาลักษณะธรรม’
หมายเลขสี่ ‘มิน่าเล่า ที่แท้พระโพธิสัตว์ก็ลงมือแล้ว’
พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ขั้นหนึ่ง?! สวี่ชีอันส่งเสียง ‘ซี้ด’ เขามองไปรอบๆ โดยไม่รู้ตัว สันหลังเย็นวาบ ตื่นตระหนกเหมือนโจรได้ยินเสียงไซเรน
หากผู้ที่มาเมืองหลวงเป็นขั้นหนึ่ง สวี่ชีอันก็คิดว่าตนต้องถูกแขวนอีกแล้ว
นิ่งไว้ๆ ทุกระบบล้วนมีความพิเศษของมัน ปิดกั้นความลับของสวรรค์เป็นเรื่องถนัดของโหร ต้องเชื่อมั่นในพลังของท่านโหราจารย์…เขาทำได้เพียงปลอบใจตนเอง
บัดนี้หลี่เมี่ยวเจินได้เปิดใช้งานแล้วพร้อมส่งข้อความบอก ‘พวกเจ้ากำลังหมายถึงอะไร อะไรคือลักษณะธรรมที่ปรากฏกายในค่ำคืนนี้’
หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสองไม่ลงรอยกันมาตลอด หมายเลขสี่ ‘เลี่ยงที่จะสงสัย’ นาง เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสวรรค์กับมนุษย์ นักบวชเต๋าจินเหลียนจึงไม่ได้เปิดใช้งานชั่วคราว กลุ่มเงียบไปสักพัก ท้ายที่สุดหมายเลขหกเหิงหย่วนก็ส่งข้อความอธิบาย
‘สมณทูตสำนักพุทธเข้าเมืองหลวงมาแล้ว มีการเคลื่อนไหวเล็กน้อย มีลักษณะธรรมปรากฏขึ้นเหนือท้องฟ้าของเมืองหลวงในค่ำคืนนี้’
ผ่านไปสักพักหลี่เมี่ยวเจินก็ส่งข้อความมาอีกครั้ง ‘มาเพื่อคดีซังผองั้นหรือ’
สิ่งที่ผนึกใต้ซังผอเกี่ยวข้องไปถึงสำนักพุทธ เรื่องนี้ครั้งหนึ่งหมายเลขสามเคยประกาศภายในพรรคฟ้าดิน เมื่อนึกถึงการตายของสวี่ชีอัน ในใจนางก็นึกเสียใจเล็กน้อย
หมายเลขหก ‘ใช่’
หลี่เมี่ยวเจินส่งข้อความอย่างปลงตก ‘ศาสนาพุทธช่างแข็งแกร่งจริงๆ สมกับที่เป็นศาสนาใหญ่อันดับหนึ่งแห่งจิ่วโจว’
ศาสนาพุทธเป็นมหาอิทธิพลอันดับหนึ่งในจิ่วโจวเลยหรือ…แต่ก่อนข้าก็ไม่เคยนึกถึงจุดนี้มาก่อน พรุ่งนี้ว่าจะไปตรวจสอบข้อมูลที่ที่ทำการปกครองเสียหน่อย
หมายเลขสี่ ‘หลี่เมี่ยวเจิน เหตุใดเจ้าจึงยังมาไม่ถึงเมืองหลวง’
หมายเลขสอง ‘เหอะ ปล่อยให้เจ้ามีชีวิตนานขึ้นอีกหน่อยไม่ดีหรือไง’
เฮ้ๆ แม่นาง อย่าพูดจารุนแรงเช่นนี้ ใช้คุณธรรมเข้าสยบสิ! สวี่ชีอันพูดแขวะในใจ
หมายเลขสอง ‘ข้าเลือกเดินทางบกไปยังเมืองหลวง ระหว่างทางจะได้ขจัดสิ่งชั่วร้าย สังหารขุนนางทุจริตและพวกใช้อำนาจบาตรใหญ่ได้พอดี’
ในกลุ่มหนังสือปฐพีเงียบอยู่นาน ก่อนที่นักบวชเต๋าจินเหลียนจะเปิดใช้งาน ‘จริงสิ ช่วงนี้หมายเลขห้าเป็นอย่างไรบ้าง’
หมายเลขห้าไม่ได้ตอบกลับ
หมายเลขสอง ‘ท่านนักบวช ท่านส่งข้อความไปถามไถ่ส่วนตัวเถิด ข้าคิดว่าแม่หนูนี่คงเกิดเรื่องขึ้นอีกแล้ว’
นักบวชเต๋าจินเหลียนเอ่ยอย่างจำใจ ‘ได้’
ประสบการณ์ของหมายเลขห้าคงเขียน ‘บันทึกพเนจรของหมายเลขห้า’ หรือ ‘การฝ่าฟันอันตรายอันวิเศษของหมายเลขห้า’ ได้อะไรประมาณนั้น…เมื่อคิดเช่นนี้มุมปากของสวี่ชีอันก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
เมื่อตื่นขึ้นยามฟ้ารุ่งสาง สวี่ชีอันก็ขี่แม่ม้าน้อยมายังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล
เขามุ่งตรงไปที่คลังเอกสาร มาถึงคลังเอกสารอักษร ‘ปิ่ง’ ก็สั่งเจ้าพนักงานที่ดูแลคลังเอกสาร “นำเอกสารที่เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธทั้งหมดมา”
“ไหนๆ แล้วก็ขอชาอีกสักถ้วยด้วย” เขากล่าว
ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสำนักพุทธมีมหาศาลดุจหมอกควันในมหาสมุทร วางซ้อนกันบนโต๊ะยังสูงกว่าคนเสียอีก หลังจากสวี่ชีอันทำการคัดกรอง แยกเรื่องแปลกๆ ส่วนหนึ่งและ ‘ตำนาน’ ออก โดยเน้นไปที่หนังสือที่เกี่ยวข้องกับภูมิภาคเช่น ‘ภูมิศาสตร์ของจิ่วโจว’ และ ‘ภูมิศาสตร์ของแดนประจิม’
หลังจากประมาณหนึ่งชั่วยาม เขาก็ได้ผลสำเร็จที่ตนต้องการ
“ในแง่ของพื้นที่ สำนักพุทธจัดเป็นอันดับหนึ่งในจิ่วโจวจริงด้วย ทั้งเมืองพุทธแดนประจิมทั่วหนแห่ง อาณาเขตของแดนประจิมใหญ่เป็นสองเท่าของต้าฟ่ง สามเท่าของทางเหนือ และสามถึงห้าเท่าของตะวันออกเฉียงเหนือ แน่นอนว่าแดนประจิมมีพื้นที่มหาศาลแต่มีประชากรน้อย ไม่ใช่พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์นัก หากรวมกับดินแดนแสนขุนเขาของซินเจียงตอนใต้ก็จะเป็นเขตแดนของอาณาจักรหมื่นปีศาจเดิม ‘ประเทศ’ ของสำนักพุทธก็น่ากลัวเกินไปแล้ว”
จากนั้นเขาขอให้เจ้าพนักงานมอบพู่กัน หมึก กระดาษ และที่ฝนหมึกให้ แล้วเริ่มเขียนคำว่า ‘ซังผอ’ ‘ศาสนาประจำชาติ’ และ ‘ล้างบางพุทธ’ ลงไปในกระดาษเซวียนจื่อหนึ่งแผ่น
เขานึกถึงประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่นักบวชเต๋าจินเหลียนเคยบอกเขาขึ้นมาได้ ซึ่งเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของจักรพรรดิผู้สถาปนาประเทศผู้นั้น
ปีนั้นเพื่อโค้นล้มศูนย์กลางราชวงศ์อันเสื่อมโทรมในปีนั้น จักรพรรดิผู้สถาปนาประเทศแห่งต้าฟ่งเคยยืมกองกำลังของสำนักพ่อมดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ค่าตอบแทนคือให้สำนักพ่อมดเป็นศาสนาประจำชาติ
ตามบันทึกใน ‘ภูมิศาสตร์ของแดนประจิม’ ศาสนาพุทธก็เป็นศาสนาประจำชาติ
“ด้วยข้อมูลที่ข้ากับฮว๋ายชิ่งสืบพบตัดสินได้ว่า เมื่อสี่ร้อยปีก่อน สำนักพุทธผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดในภาคกลาง จึงมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นศาสนาประจำชาติอย่างเห็นได้ชัด ทว่าลัทธิขงจื๊อในปีนั้นกำลังอยู่ในช่วงจุดสูงสุดประมาณว่า ขออภัยที่ต้องพูดตรงๆ ทุกท่าน ณ ที่นี้ล้วนเป็นขยะ ผลักดันให้ล้างบางพุทธโดยตรง ศาสนาพุทธก็ไม่ได้โต้กลับรุนแรงเกินขอบเขต แล้วถอยออกจากภาคกลาง การคาดเดาของข้ามีสองประการ ประการแรก ลัทธิขงจื๊อในปีนั้นแข็งแกร่งกระทั่งไร้กฎเกณฑ์จริงๆ ประการที่สอง สำนักพุทธไม่กล้าแตกคอกับต้าฟ่งโดยตรง เพราะยังต้องพึ่งพาต้าฟ่งให้ผนึกไต้ซือเสินซูอยู่ หากลัทธิขงจื๊อยังไม่เสื่อมถอย ด้วยความแข็งแกร่งของลัทธิขงจื๊อกับสำนักโหราจารย์ พลังชาติของต้าฟ่งคงเป็นที่สุดในจิ่วโจวอย่างไม่ต้องสงสัย”
สวี่ชีอันใช้พลังปราณบดขยี้แผ่นกระดาษ ออกจากคลังเอกสารและมุ่งตรงเข้าสู่หอเฮ่าชี่
หลังจากได้รับรายงานเขาก็ขึ้นไปยังชั้นเจ็ด เมื่อไม่ได้ยินเสียงของเว่ยเยวียนในห้องน้ำชา เขาก็มองไปทางหอสังเกตการณ์ตามความเคยชิน แล้วก็มองเห็นเว่ยเยวียนจริงๆ
ขันทีใหญ่ที่ขมับทั้งสองเป็นสีขาว เส้นผมยาวกระเซิง สวมชุดคลุมสีดำ นอนพักอยู่บนเก้าอี้เอนอาบแดดอย่างสบายใจ
“เมื่อคืนเข่าทรุดหรือไม่” ขันทีใหญ่เอ่ยกลั้วหัวเราะ
“แม้แต่เท้าก็ไม่สั่นขอรับ” สวี่ชีอันเอ่ยอย่างดูแคลน
“มานวดศีรษะให้ข้าหน่อย” เว่ยเยวียนกวักมือ
สวี่ชีอันมองดูสักครู่เสียก่อน เมื่อมั่นใจว่าหนานกงเชี่ยนโหรวไม่อยู่ จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างวางใจ แล้วนวดจุดฝังเข็มส่วนศีรษะให้เว่ยเยวียน
“การที่สิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอหลุดพ้น เหตุใดจึงล้วนกล่าวว่าต้าฟ่งบกพร่องต่อหน้าที่ ภิกษุสมณศักดิ์สูงเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาเท่านั้น เราไม่จำเป็นต้องใส่ใจ” เว่ยเยวียนเอ่ยปลอบใจ
เขาคิดว่าข้ามาเพราะกังวลเรื่องของเมื่อวาน…เว่ยกงหนอ เจ้าคิดว่าข้าอยู่ชั้นที่หนึ่ง อันที่จริงข้าอยู่ชั้นที่สิบแปดต่างหาก! ข้าไม่เพียงรู้ว่าพระโพธิสัตว์ลงมือเมื่อวานนี้ ข้ายังรู้ที่อยู่ของไต้ซือเสินซูอีกด้วย…สวี่ชีอันเอ่ยถามอย่างคล่องแคล่วไม่อ้อมค้อม
“เหตุใดต้าฟ่งจึงต้องช่วยสำนักพุทธผนึกสิ่งชั่วร้ายเล่า”
กระทั่งบัดนี้เขาก็เป็นคนสนิทของเว่ยเยวียนไปแล้ว ความลับที่มิอาจเปิดเผยมากมายก็เปิดอกพูดได้
“มิใช่ว่าเจ้าสืบพบบางอย่างแล้วหรือ” เว่ยเยวียนชะงักเล็กน้อย
“ตอนแรกที่สืบคดีซังผอ ข้าบังเอิญพบประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่ง เมื่อห้าร้อยปีก่อน องค์รัชทายาททรงเที่ยวเล่นอยู่ที่ซังผอ ไม่ทันระวังพลัดตกน้ำ หลังจากนั้นก็เป็นโรคฮิสทีเรีย ไม่นานก็ลาจากโลกนี้ไป ห้าร้อยปีก่อน จักรพรรดิอู่จงขึ้นครองบัลลังก์ ห้าร้อยปีก่อน จู่ๆ สำนักพุทธแดนประจิมก็มาเผยแผ่ศาสนาที่ภาคกลาง ช่วงหนึ่งร้อยปีวัดพุทธผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด กระทั่งหนึ่งร้อยปีให้หลัง ลัทธิขงจื๊อสนับสนุนให้ล้างบางพุทธ ค่ายกลใต้ซังผอจารึกด้วยอักษรพุทธสลัก ข้าสันนิษฐานตามเบาะแสว่า สิ่งชั่วร้ายนั่นก็คือสิ่งที่ถูกผนึกเมื่อห้าร้อยปีก่อนสินะ”
เว่ยเยวียนลังเลอยู่นานก่อนจะพยักหน้าช้าๆ “ถูกต้อง สิ่งที่ผนึกอยู่ใต้ซังผอมาจากการซื้อขายระหว่างสำนักพุทธกับจักรพรรดิอู่จง จักรพรรดิอู่จงในตอนนั้นมีความสามารถรอบด้าน มีกองกำลังทหารและแม่ทัพฝีมือดีอยู่ภายใต้บังคับบัญชานับไม่ถ้วน ทว่าคิดจะครองบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ มีอุปสรรคหนึ่งที่เขามิอาจเลี่ยงได้ตลอดกาล อุปสรรคนั้นถึงขั้นอาจทำให้แผนการอันยิ่งใหญ่ของเขามลายหายสิ้น”
บุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของสวี่ชีอัน ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง!
“ท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งจากสำนักโหราจารย์ ยอดฝีมือขั้นหนึ่งของระบบโหร มีท่านโหราจารย์อยู่ ตราบใดที่ต้าฟ่งยังไม่สิ้น ผู้ใดก็มิอาจสั่นคลอนตำแหน่งจักรพรรดิได้ เมื่อเผชิญหน้ากับความแข็งแกร่งไร้เทียมทานและมิอาจเลี่ยงอุปสรรคได้เช่นนี้ จักรพรรดิอู่จงจึงเลือกร่วมมือกับสำนักพุทธแดนประจิม ครั้งนั้นสำนักพุทธแดนประจิมเริ่มต้นผูกพันธมิตรกับต้าฟ่ง สำนักพุทธช่วยจักรพรรดิอู่จงสังหารท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่ง จักรพรรดิอู่จงก็ต้องเห็นด้วยให้สำนักพุทธเผยแผ่ศาสนาที่ภาคกลางและผนึกสิ่งชั่วร้ายแทนสำนักพุทธ ท่านโหราจารย์เฒ่านั่นนั่งมองซังผอถูกระเบิดอย่างเงียบๆ ก็นับว่าผิดสัญญาแล้ว”
แม่เจ้าโว้ย!
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ จักรพรรดิอู่จงครองบัลลังก์สำเร็จ แล้วเหตุใดท่านโหราจารย์รุ่นที่หนึ่งถึงจากไป…ในศึกครองบัลลังก์ตอนนั้นสำนักพุทธก็เข้าร่วมด้วย สำนักพุทธมีผู้อยู่เหนือชั้นยศเช่นพระพุทธเจ้าอยู่ นี่ก็สมเหตุสมผลที่จะกำจัดท่านโหราจารย์ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของโหรไป
ช้าก่อน เช่นนั้นท่านโหราจารย์คนปัจจุบันรับบทเป็นอะไรในนั้นล่ะ
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สวี่ชีอันก็สั่นเทาเล็กน้อย เสียใจที่มาเอ่ยถามเว่ยเยวียนอยู่หน่อยๆ
“ท่านโหราจารย์ หะ เหตุใดเขาถึงได้แต่นั่งนิ่งมองสิ่งชั่วร้ายหลุดพ้นไปล่ะ…” สวี่ชีอันลังเลอยู่นาน แต่ยังคงถามข้อสงสัยนี้ออกไปอยู่ดี
เพราะปัญหานี้อาจเกี่ยวพันถึงตนอย่างมาก
ท่านโหราจารย์รู้แผนการของพวกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจ แต่ยังเลือกที่จะนั่งมองอย่างเงียบๆ ท่านโหราจารย์รู้ว่าพวกกากเดนอาณาจักรหมื่นปีศาจพักแขนที่ขาดของไต้ซือเสินซูไว้บนร่างของตน แต่ก็ยังเลือกนิ่งดูดาย มิหนำซ้ำท่านโหราจารย์ยังลอบช่วยเหลือเขาอย่างลับๆ!
ท่านโหราจารย์มีจุดประสงค์ใด เขากำลังวางแผนอะไรอยู่กันแน่
เขาไม่กลัวพระพุทธเจ้าโบกฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่มาถึงหน้าประตูหรือ
เว่ยเยวียนหัวเราะ ‘หึหึ’ “ใครจะรู้เล่า”
เขาหรี่ตาลง เพลิดเพลินไปกับการปรนนิบัติของฆ้องเงินคู่ใจพร้อมเอ่ย “ประชุมราชการเช้าในวันนี้ ไต้ซือตู้เอ้อร์เข้าวังแล้ว เขาเสนอจะต่อสู้กับท่านโหราจารย์ วางเดิมพันด้วยแผ่นความลับสวรรค์และวัชรปรัชญาปารมิตาสูตร หวังว่าฝ่าบาทจะเห็นด้วย ฝ่าบาทส่งคนไปสอบถามท่านโหราจารย์แล้ว ท่านโหราจารย์ก็เห็นด้วย ช่วงบ่ายจะแจกประกาศแจ้งทั่วเมืองหลวง หากชื่นชอบความครื้นเครงก็มาดูได้”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ ภายในใจสวี่ชีอันถึงได้ดำดิ่ง รู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนจะเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง
“ต่อสู้อย่างไร”
เว่ยเยวียนส่ายหน้า “วันนี้ก็จะรู้”
……………………………………………………