ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 295 ความตระหนกของลั่วอวี้เหิง
บทที่ 295 ความตระหนกของลั่วอวี้เหิง
ชั้นบนสุดของหอดูดาว ท่านโหราจารย์ไม่รู้ว่าออกมาจากแท่นแปดทิศเมื่อไรสายตาของเขาจับจ้องไปที่มีดแกะสลักในมือของสวี่ชีอันด้วยสายตาเฉียบคม
‘เจ้าก็เลือกเขาเช่นกันหรือ…’ เวลานี้ ‘ชาย’ ผู้เฝ้ามองเมืองหลวงมานานกว่าห้าร้อยปี และอยู่ภายในใจประชาชนของต้าฟ่ง พึมพำกับตัวเองในก้นบึ้งของหัวใจ
“ฮ่าๆๆ…”
จักรพรรดิหยวนจิ่งแหงนหน้าคำราม มือสองข้างไขว้หลัง เขายืนฟังเสียงปีติยินดีของเหล่าราษฎรอยู่ในอาคารที่สูงเป็นอันดับหนึ่งของต้าฟ่ง นี่คือชัยชนะแห่งต้าฟ่งและชัยชนะของเขา
คราวนี้สำนักพุทธก็อยู่ใต้เท้าของเขาแล้ว
“เยี่ยมมากที่ไม่คุกเข่า” จักรพรรดิหยวนจิ่งทอดถอนใจ “หลายปีแล้ว หลายปีแล้วที่เมืองหลวงไม่มีอัจฉริยะหนุ่มที่โดดเด่นเช่นนี้”
“กรี๊ด…”
ยายตัวร้ายระเบิดเสียงกรีดร้องแสบแก้วหูออกมาและย่ำเท้าอย่างตื่นเต้น “ชนะแล้ว ฮว๋ายชิ่ง เจ้าสุนัขรับใช้ชนะแล้ว เขาเป็นคนของข้า เขาเป็นคนของข้า”
ฮว๋ายชิ่งมองไปทางสวี่ชีอันที่หมดสติ ดวงตาคู่งามราวกับหมกมุ่นอยู่
นางเป็นผู้หญิงที่โดดเด่น สูงส่งและหยิ่งผยอง แม้ว่าจะเป็นจอหงวน สำหรับฮว๋ายชิ่งก็ยังแค่เป็นที่น่าพอใจ ในเมืองหลวงมีอัจฉริยะมากมาย แต่ผู้ที่สามารถทำให้องค์หญิงชื่นชมได้อย่างแท้จริงมีเพียงเว่ยเยวียนคนเดียวเท่านั้น
เจ้าสำนักจ้าวโส่วเป็นผู้อาวุโสที่สมควรได้รับการเคารพนับถือ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางชื่นชม
ในเวลานี้เอง ฮว๋ายชิ่งหวนนึกถึงเกียรติประวัติต่างๆ ของสวี่ชีอัน คดีเงินภาษียังขาดประสบการณ์ เขาแอบวางแผนใส่ร้ายลูกชายของรองเจ้ากรมกรมการคลังโจวลี่ เพื่อกำจัดภัยแฝงไปให้หมดสิ้น
ต่อมาเขาก็เข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ฟันฆ้องเงิน ติดคุกและได้รับคำสั่งในยามวิกฤตให้สืบสวนคดีซังผอ…เขาเกือบจะเสร็จสิ้นการสืบสวนคดีอวิ๋นโจวอย่างอิสระ ทว่าต่อมาก็เสียชีวิตในการรบท่ามกลางกองทัพกบฏสี่ร้อยคน เมื่อกลับเมืองหลวง…เขาก็ได้รับคำสั่งให้สืบสวนคดีพระสนมฝู
ในช่วงเวลานี้ เขาก็มีผลงานชิ้นเอกที่ตกทอดมาแต่โบราณกาลออกมาอยู่บ่อยครั้ง ทำให้กลุ่มบัณฑิตได้รับขวัญกำลังใจ
จวบจนตอนนี้ เขาเข้าร่วมพิธีต้าวฮวดกับสำนักพุทธแทนสำนักโหราจารย์ ฟันดาบสองครั้งและบังคับนำความเชื่อมั่นของประชาชนในเมืองหลวงกลับมา
ครั้งสนทนาเต๋า เขาก็ทำให้ภิกษุเฒ่าผู้ลุ่มหลงใต้ต้นโพธิ์พ้นทุกข์ ทำให้พระอรหันต์ระดับสองผู้ยิ่งใหญ่ตรัสรู้และตระหนักรู้ในพุทธศาสนานิกายมหายาน
จากนั้น แสงใสก็พุ่งลงมาจากเหนือท้องฟ้าและเขาก็ทำลายธรรมลักษณะด้วยการโจมตีครั้งเดียวและทำลายของวิเศษของพระอรหันต์
องค์หญิงฮว๋ายชิ่งไม่เคยเห็นผู้ชายที่โดดเด่นเช่นนี้มาก่อน ไม่เคยเลย
เหล่าญาติผู้หญิงต่างส่งเสียงเชียร์ เหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือน ทหารและขุนนางต่างก็หัวเราะเสียงดัง…ท่ามกลางเสียงเชียร์ที่ราวกับระเบิด สวี่ผิงจื้อนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ราวกับว่าหมดเรี่ยวแรง
อีกนิดเดียว เขาก็ถูกสำนักพุทธแย่งชิงไปด้วยมือขนาดใหญ่แล้ว
ท่ามกลางเสียงเชียร์และเสียงตะโกนอันเดือดพล่านของประชาชนในเมืองหลวง เจ้าของบ้านสวี่ชีอันกลับไม่มีใครสนใจ สวี่เอ้อร์หลางจึงเดินเข้าไปเงียบๆ และแบกพี่ใหญ่ไว้บนหลัง
‘สุดท้ายก็เป็นข้าคนเดียวที่ต่อกรกับทุกอย่าง…’ สวี่เอ้อร์หลางคิดในใจ
เขาแบกสวี่ชีอันไว้บนหลังและเดินไปทางหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ดวงตาเหลือบไปเห็นมีดแกะสลักที่สวี่ชีอันกำไว้ในมือแน่น
‘นี่คืออะไร ดูเหมือนกับมีดแกะสลัก’
ดูจากรูปทรงน่าจะเป็น ‘พู่กันหมึก’ ที่ปัญญาชนในสมัยโบราณใช้ สมัยนั้นยังไม่มีกระดาษ จึงเขียนตัวอักษรบนไม้ไผ่ ปัญญาชนจะถือมีดแกะสลักและเขียนความสามารถอันยิ่งใหญ่บนไม้ไผ่
‘มีดแกะสลักนี่มาจากไหน…’ เขารอจนไม่มีใครสังเกตและแอบขโมยมันมาจากมือของพี่ใหญ่! สวี่เอ้อร์หลางอยากได้นิดหน่อย โบราณวัตถุประเภทนี้ดึงดูดปัญญาชนอย่างมาก
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ยืนอยู่กับที่อย่างไร้จิตวิญญาณ ไม่ใช่เพราะเขาเสียใจที่อาวุธเวทมนตร์บาตรพระทองคำถูกทำลาย แต่เขาเสียใจที่ชาวพุทธที่เกิดมาพร้อมรากปัญญาไม่ได้เปลี่ยนไปเข้าสำนักพุทธ
“อาจารย์ปู่…”
ภิกษุจิ้งเฉินมองแผ่นหลังของสวี่เอ้อร์หลาง มองสวี่ชีอันที่อยู่บนไหล่ของเขาและเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “ประสกสวี่เป็นอัจฉริยะที่สวรรค์ประทานให้แก่สำนักพุทธ เป็นผู้ก่อตั้งพุทธศาสนานิกายมหายาน อาจารย์ปู่ต้องพาเขากลับไปยังแดนประจิมให้จงได้”
พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ครุ่นคิดอยู่นานและถอนหายใจยาว “ช่างเถิด โชคชะตายังมาไม่ถึง”
ภิกษุจิ้งเฉินไม่ยินยอม ราวกับเขาคิดอะไรอยู่ เขาหันกลับไปมองหอดูดาวและอ้าปาก แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะเงียบ
…
พิธีต้าวฮวดระหว่างสำนักพุทธกับสำนักโหราจารย์สิ้นสุดลงแล้ว แต่ผลพวงของเหตุการณ์ที่ยอดเยี่ยมนี้ก็ยังดำเนินต่อไป
ในร้านอาหารแห่งหนึ่ง มีชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินมอซอถือขวดเหล้าที่ว่างเปล่า ก้าวข้ามธรณีประตู เข้าไปในห้องโถงและเดินตรงไปที่เคาน์เตอร์
“เถ้าแก่ ข้าได้ยินมาว่าขอเพียงแค่ข้าเล่าเรื่องพิธีต้าวฮวดให้ท่านฟัง ท่านก็จะให้เหล้าข้าฟรีหนึ่งขวดใช่หรือไม่”
เจ้าของร้านที่ไว้เคราแพะยิ้มและพยักหน้า “เจ้าสามารถดื่มไปพลางเล่าไปพลางได้และทางร้านยังจะมอบถั่วลิสงให้อีกหนึ่งจานด้วย”
ชายวัยกลางคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เดิมทีเขาอยากนำเหล้ากลับไปดื่มที่บ้าน แต่เจ้าของร้านให้มากเกินไป เขาจึงพูดว่า “ได้ เช่นนั้นก็ดื่มที่นี่ เร็ว นำถั่วลิสงมา”
เจ้าของร้านกวักมือเรียกเสี่ยวเอ้อให้เสิร์ฟเหล้าหนึ่งขวดกับถั่วลิสงหนึ่งจานให้ชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีน้ำเงินมอซอ
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินดื่มเหล้าอึกหนึ่ง หยิบถั่วลิสงอีกสองเม็ดโยนเข้าปากและเอ่ยช้าๆ
“พระอรหันต์แห่งสำนักพุทธรูปนั้นโยนบาตรพระทองคำลงพื้น ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ฟ้าร้องผสานกัน ท้องฟ้าจำแลงเป็นแดนพุทธ ภายในแดนพุทธนี้มีทั้งหมดสี่ด่าน ด่านแรกชื่อว่าต่ายกลแปดทุกข์ ด่านนี้ช่างน่าทึ่ง ว่ากันว่าภิกษุชั้นสูงแห่งสำนักพุทธใช้เพื่อขัดเกลาจิตพุทธ…ด่านที่สองชื่อว่าค่ายกลระดับเพชร เถ้าแก่รู้หรือไม่ว่าระดับเพชรที่ประจำการเป็นใคร”
ชายวัยกลางคนชำเลืองมองเจ้าของร้าน
“ไม่ใช่ภิกษุน้อยจากหนานเฉิงรูปนั้นหรือ” เสี่ยวเอ้อร์หัวเราะเยาะ
“ใช่ ไม่ใช่ภิกษุน้อยหรือ” นักดื่มที่อยู่โต๊ะข้างๆ สมทบ
“พวกเจ้ารู้…” ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินตกตะลึง
“ไม่ใช่เพราะให้ฆ้องเงินสวี่ของพวกเราฟันดาบเดียวหรือ ระดับเพชรไร้พ่ายอะไรกัน ก็แค่เสือกระดาษ ถุย” สีหน้าของนักดื่มที่พูดเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในคนของเมืองหลวง
หากพูดถึงภิกษุน้อยจิ้งซือเมื่อวันก่อน พวกเขาคงขบเขี้ยวเคี้ยวฟันและพูดว่า “ต้าฟ่งมียอดฝีมือมากมาย เพียงแค่ภิกษุน้อยรูปเดียวก็จัดการไม่ได้หรือ”
โกรธเกรี้ยวที่ไร้ความสามารถ
แต่ตอนนี้ เมื่อพูดถึงภิกษุน้อยระดับเพชรรูปนั้น แม้แต่ผู้คนในตลาดก็ยืดอกอย่างภาคภูมิใจและหัวเราะเยาะอย่างดูแคลน ไม่มากไปกว่านั้น
นี่คือหน้าตาที่สวี่ชีอันแย่งกลับมาทีละน้อยและความเชื่อมั่นที่สร้างขึ้นใหม่ทีละน้อยระหว่างพิธีต้าวฮวด
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินมองเจ้าของร้านด้วยความประหลาดใจ “ท่านรู้แต่แรกแล้ว เหตุไฉนยังตั้งกฎข้อนี้ขึ้นมาอีก”
“ต่างคนก็มองเห็นต่างกัน เสริมส่วนที่ขาดไปด้วย” เจ้าของร้านยิ้มตาหยี “วันนี้ข้าเฝ้าร้านจึงไม่ได้ไปดูพิธีต้าวฮวด ช่างเป็นความเสียใจที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ขอเพียงได้ลิ้มรสซ้ำๆ หลังจากเหตุการณ์นั้นและดื่มเหล้าเล็กน้อย ความเสียใจก็จะเปลี่ยนเป็นความสุข”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินพยักหน้าและพูดต่อ “…หลังจากฆ้องเงินสวี่ออกมา เขาก็แต่งบทกวีไปทีละก้าว…”
“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ เจ้าของร้านก็เรียกให้หยุดและถามว่า “เมื่อทะเลไปถึงจุดสิ้นสุดจะมีท้องฟ้าเป็นชายฝั่ง เมื่อทหารไปถึงจุดสูงสุดจะมีข้าเป็นยอดเขา เจ้าแน่ใจหรือว่ามีบทกวีบทนี้ หลายคนก่อนหน้าก็พูดถึงส่วนนี้กับข้า แต่ก็ไม่ได้กล่าวไว้”
ชายวัยกลางคนในชุดสีน้ำเงินพยักหน้าอย่างแรง “มี มีประโยคนี้ ข้าอ่านหนังสือมาสิบกว่าปี บทกวีไม่กี่ประโยคจะจำไม่ได้เชียวหรือ”
“อืม…มันแปลกๆ” เจ้าของร้านขมวดคิ้ว
เวลานี้มีชาวยุทธภพคนหนึ่ง ‘กระแอม’ หนึ่งทีและเอ่ยเสียงเบา “เถ้าแก่ ผู้ที่บอกเรื่องเหล่านี้กับท่านล้วนเป็นจอมยุทธ์ในยุทธภพ”
เจ้าของร้านถามกลับ “มีปัญหาอะไรหรือ”
“เฮ้อ!” ชาวยุทธภพคนนั้นโบกมือ “คนธรรมดาเช่นพวกเจ้าอาจไม่สนใจแล้วก็แค่พูดออกมา แต่ในฐานะคนที่ฝึกวิทยายุทธ์ ใครจะกล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย ไม่หาเรื่องตาย ก็หาเรื่องต่อยตี”
เจ้าของร้านตระหนักได้ในทันทีว่า ทหารนั้นกล้าหาญดุดันและทนเห็นคนหยิ่งผยองไม่ได้มากที่สุด พวกเขาจึงมักจะชักดาบใส่กันเพราะอีกฝ่ายพูดจาไม่เหมาะสมไม่กี่ประโยค เรื่องแบบนี้แม้จะอยู่ในเมืองหลวงที่มีกฎเข้มงวดก็ยังเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว
“ข้ารวบรวมบทกวีดีๆ มาได้อีกบทหนึ่ง นี่คือบทกวีของยอดกวีสวี่ เร็ว รีบเตรียมกระดาษกับพู่กันหมึกมาให้ข้า” เจ้าของร้านรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาและสั่งเสี่ยวเอ้อร์
…
สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
สำนักบัณฑิตฮั่นหลินอยู่ในสังกัดของสำนักราชเลขาธิการ รับผิดชอบเรียบเรียงหนังสือและประวัติศาสตร์ ร่างพระราชกฤษฎีกา เป็นวิทยากรของสมาชิกในราชวงศ์และทำหน้าที่เป็นผู้คุมการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการ
ตำแหน่งสามตำแหน่งที่สูงศักดิ์ที่สุดในราชสำนัก ได้แก่ ผู้ตรวจการของฝ่ายตรวจการ ขุนนางใกล้ชิดหกฝ่าย และสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
หากพูดถึงสถานะ สำนักบัณฑิตฮั่นหลินอยู่อันดับแรก เพราะสำนักบัณฑิตฮั่นหลินมีอีกชื่อเรียกหนึ่งว่า ฐานอบรมบัณฑิตฝึกหัด
ผู้ที่ดำรงตำแหน่งสมุหราชเลขาธิการของต้าฟ่งล้วนมาจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน พูดอีกอย่างคือ มีเพียงผู้สูงศักดิ์ในสำนักบัณฑิตฮั่นหลินเท่านั้นที่สามารถเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการได้และกลายเป็นราชบัณฑิตวิทยาลัย ถึงขั้นดำรงตำแหน่งเป็นสมุหราชเลขาธิการ
ข้อยกเว้นประการเดียวคือขุนนางชั้นสูงหรือองค์ชายสามารถก้าวข้ามสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ทันทีและเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการเพื่อคุมสมดุล
แต่ขุนนางบุ๋นทำแบบนั้นไม่ได้ หากขุนนางบุ๋นอยากเข้าสำนักราชเลขาธิการ พวกเขาต้องเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน และสำนักบัณฑิตฮั่นหลินมีเพียงบัณฑิตขั้นสูงที่ได้คะแนนอันดับหนึ่งกับอันดับสองเท่านั้นที่สามารถเข้าได้
เวลานี้ ขันทีที่เข้าเวรในตำหนักบรรทมของจักรพรรดิหยวนจิ่งกำลังยืนดุด่าเหล่าผู้สูงศักดิ์อยู่ในห้องโถงของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน
“ชัยชนะของพิธีต้าวฮวดครั้งนี้ไม่ใช่เพราะฝ่าบาทแต่งตั้งผู้มีความสามารถและศีลธรรมหรือ ไม่ใช่เพราะราชสำนักฝึกฝนฆ้องเงินสวี่จนมีผลงานหรือ ดูสิ่งที่พวกเจ้าเขียนสิว่าคืออะไร พวกเจ้าแต่ละคนล้วนได้คะแนนอันดับหนึ่ง ให้พวกเจ้าเรียบเรียงประวัติศาสตร์แค่นี้ก็ทำไม่ได้”
ขันทีโยนหนังสือลงบนพื้น “เขียนใหม่อีกครั้ง”
สีหน้าของเหล่าผู้สูงศักดิ์ในที่นี้เปลี่ยนไป หลังจากพวกเขากลับมาที่สำนักบัณฑิตฮั่นหลิน แม้แต่ข้าวก็ไม่ได้กิน พวกเขาอาศัยจิตวิญญาณฝนแท่งหมึกและเขียน
พิธีต้าวฮวดในวันนี้ต้องบันทึกลงในพงศาวดารเพื่อส่งต่อไปยังคนรุ่นหลัง นี่เป็นสิ่งที่ไม่ต้องสงสัยเลย แต่ต้องเขียนอย่างไร ภายในนั้นก็เฉพาะเจาะจงมากแล้ว
เหตุการณ์สำคัญที่แสดงถึงศักดิ์ศรีของประเทศชาติทั้งหมดจะต้องบันทึกในเชิงบวกลงบนหนังสือประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเกียรติยศและความรุ่งโรจน์
ผู้มีอำนาจก็คือจักรพรรดิหยวนจิ่ง ซึ่งขัดกัน
แน่นอนว่าจักรพรรดิองค์อื่นก็เลือกที่จะทำเช่นเดียวกับจักรพรรดิหยวนจิ่งเมื่อพบโอกาสเช่นนี้
บรรณาธิการหนุ่มเอ่ยเสียงขรึม “คนท่านโหราจารย์ก็เป็นผู้เลือก พิธีต้าวฮวดฆ้องเงินสวี่ก็เป็นผู้ลงแรง นี่เกี่ยวอะไรกับฝ่าบาทหรือ ในฐานะบรรณาธิการของสำนักบัณฑิตฮั่นหลิน พวกเราไม่เพียงเรียบเรียงหนังสือประวัติศาสตร์เพื่อราชสำนักเท่านั้น แต่พวกเรายังร้อยเรียงประวัติศาสตร์เพื่อคนรุ่นหลังอีกด้วย”
ขันทียิ้มเยาะและพูดด้วยน้ำเสียงแปลกประหลาด “ที่บางคนสามารถเข้าสำนักบัณฑิตฮั่นหลินได้ก็เป็นพระกรุณาของฝ่าบาท การเข้าสู่สำนักราชเลขาธิการในอนาคตก็เป็นเรื่องในไม่ช้าก็เร็ว สุริยันจันทราส่องแสง อนาคตนั้นไร้ขอบเขต หากทำให้ฝ่าบาทไม่มีความสุข ก็จัดสรรพวกเขาไว้ข้างนอก จุ๊ๆ อนาคตที่ดียิ่งนี้ ไม่ต้องพูดถึงสุริยันจันทรา แม้แต่แสงดาวก็ไม่มี ความหมายของฝ่าบาทคือ ความยาวไม่เปลี่ยน เขียนเรื่องพิธีต้าวฮวดอย่างละเอียดและกระบวนการเลือกผู้ที่เหมาะสมของฝ่าบาท ส่วนผลคุณงามความดีของฆ้องเงินสวี่ เขายังเด็ก ในอนาคตก็ยังมีโอกาสอีก ใต้เท้าทุกท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่”
บรรณาธิการหนุ่มคนนั้นคว้าแท่งหมึกขึ้นมาโยนใส่หน้าอกของขันที หมึกย้อมชุดคลุมงูเหลือมจนเป็นสีดำ ขันทีพูดเสียงอู้อี้และถอยหลังไป
“เจ้ากล้าสู้ข้าหรือ” ขันทีโกรธจัด
“คนที่สู้ก็คือเจ้า” บรรณาธิการคนนั้นชี้ขันทีและตะคอกว่า “การมาเยือนเมืองหลวงของสมณทูตแดนประจิมครั้งนี้ ตอนแรกมีระดับเพชรนั่งสังเวียนที่หนานเฉิงและนักพรตมาเผยแพร่คำสอนที่เป่ยเฉิง ต่อมาก็มีธรรมลักษณะลงมาจุติและตั้งคำถามท่านโหราจารย์ จากนั้นก็เป็นพิธีต้าวฮวดระหว่างสำนักโหราจารย์กับสำนักพุทธ ยอดกวีสวี่พยายามพลิกกระดานและเอาชนะความฮึกเหิมของสำนักพุทธ หากไม่มีเขา ครั้งนี้ราชสำนักคงเสียหน้า เหตุใดไม่ได้ผลคุณงามความดี เหตุใดต้องลดพู่กันหมึกกับหมึกลง วีรบุรุษหนุ่ม ข้าชื่นชมเขาในใจ หากเขาเป็นปัญญาชน ข้าก็จะนับถือเขาเป็นอาจารย์ ไสหัวออกไป สำนักบัณฑิตฮั่นหลินไม่ใช่สถานที่ที่สุนัขตอนเช่นเจ้าจะมาประพฤติตัวแย่ๆ ได้”
“ไสหัวออกไป” ผู้สูงศักดิ์คนอื่นคว้าสิ่งของที่คว้าได้รอบตัวและโยนพู่กัน หมึก กระดาษ แท่งหมึก หนังสือ และที่วางพู่กันใส่…
ขันทีวิ่งหนีไปด้วยความอับอายและออกจากสำนักบัณฑิตฮั่นหลินไป
…
อารามรัตนะ
หญิงสาวที่สวมชุดฝ่ายในงามวิจิตร ชายกระโปรงลากพื้นและสวมเครื่องประดับล้ำค่าบนศีรษะมาที่ลานด้านในด้วยท่าทางสง่างามและสั่งด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
“พวกเจ้าสองคนลงไปก่อน ข้ามีเรื่องจะพูดคุยกับราชครู”
เด็กสาวสองคนที่ตามมาถอยออกไปจากลาน
หญิงสาวคนนั้นมีชีวิตชีวาขึ้นทันที นางยกกระโปรงขึ้น วิ่งเหยาะๆ เข้าไปในห้องสงบใจและตะโกนว่า “ราชครู เหตุใดวันนี้ข้าไม่เห็นเจ้าตอนพิธีต้าวฮวด เจ้าได้ดูพิธีต้าวฮวดในวันนี้หรือไม่”
ในห้องสงบใจ ลั่วอวี้เหิงที่สวมชุดคลุมเต๋าสีดำ สวมมงกุฎดอกบัวและมวยผมอย่างเรียบร้อยจนเผยให้เห็นหน้าผากอันขาวกระจ่างใสกับใบหน้าที่งดงาม นั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะนั่ง มองหญิงสาวที่สุ่มสี่สุ่มห้าบุกเข้ามา ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ
“ข้าไม่สนใจ”
“เช่นนั้นเจ้าก็พลาดการแสดงดีๆ แล้ว”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเดินมานั่งที่โต๊ะและกล่าวว่า “พิธีต้าวฮวดวันนี้ยอดเยี่ยมมาก น่าสนใจกว่าคณะอุปรากรขับร้องอีก ข้าจะเล่าให้เจ้าฟัง…”
นางพูดคุยจ้อกแจ้กและเล่ากระบวนการของพิธีต้าวฮวดให้ลั่วอวี้เหิงฟังด้วยน้ำเสียงสดใส
“เจ้าบอกว่า เขาทำลายค่ายกลแปดทุกข์ด้วยดาบเดียวหรือ” ลั่วอวี้เหิงขมวดคิ้ว
“ใช่ มันยอดเยี่ยมมาก ทำไมหรือ” หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าถามกลับ
‘ท่านโหราจารย์ช่วยเขา และยังระดมพลังแห่งสรรพชีวิตให้เขาอีก…’ ลั่วอวี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “เจ้าเล่าต่อเถิด”
หญิงที่สวมผ้าคลุมหน้าเล่าให้นางฟังอีกว่าสวี่ชีอันทำลายค่ายกลระดับเพชรด้วยดาบเดียว ลั่วอวี้เหิงไม่ได้แสดงท่าทีอะไร เมื่อได้ยินเขาคุยพระธรรมกับภิกษุเฒ่าและทำให้พระอรหันต์ตู้เอ้อร์ตรัสรู้ หญิงสาวก็ทอดถอนใจ
“แม้ว่าข้าจะยังฟังเรื่องพุทธศาสนานิกายมหายานอะไรนั่นไม่เข้าใจ แต่ก็ฟังดูยอดเยี่ยมมาก”
‘พุทธศาสนานิกายมหายาน…’ เขามีสติปัญญาเช่นนี้เชียวหรือ นัยน์ตาคู่งามของลั่วอวี้เหิงเปล่งประกายด้วยความตกใจ
“เรื่องพวกนี้ไม่เท่าไหร่ ที่โดดเด่นที่สุดคือด่านที่สี่…เวลานั้นธรรมลักษณะร่างทองก็ปรากฏขึ้น บังคับให้สาวกเติ้งคนนั้นคุกเข่า ในเวลานี้เอง ฉากที่น่าสนใจที่สุดก็เกิดขึ้น…”
ดวงตาของหญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าเปล่งประกาย นางดื่มชาไปหลายอึก
ลั่วอวี้เหิงยิ้ม “ค่อยๆ ดื่ม หนานจือ เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่”
“อะไรหรือ”
“เมื่อก่อนเจ้ามาที่อารามของข้าและตะโกนว่าเบื่อหน่ายตลอด อยากออกไปเที่ยวเล่น แต่ตอนนี้ เจ้าไม่พูดว่าเบื่อหน่ายแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่พูดเท่านั้น แต่ในบรรดาเรื่องที่เจ้าพูดกับข้า ทุกคำล้วนกล่าวถึงสวี่ชีอัน”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าตกตะลึง นางจ้องลั่วอวี้เหิงครู่หนึ่ง เก็บท่าทางมีชีวิตชีวาของนางและเปลี่ยนเป็นหญิงสาวที่สำรวมและสง่างาม นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เหินห่างเล็กน้อยและสงบนิ่ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ลั่วอวี้เหิงยิ้มและส่ายหน้า “ข้าเพียงแค่อยากเตือนเจ้าว่า เจ้ามีสามีแล้ว สามีของเจ้าคือไหวอ๋อง ทหารระดับสาม เขาคุ้มกันชายแดนอยู่และไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง แต่ในเมืองหลวงมีคนสนิทกับหูตาของเขามากมาย เจ้าอย่าได้ไปยุ่งเกี่ยวกับสวี่ชีอันมากเกินไปนัก มิเช่นนั้นจะเป็นการทำร้ายเขา”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้ายิ้มเยาะและเอ่ยด้วยน้ำเสียงภาคภูมิใจ “ข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับสาวกเติ้งที่เข้าออกสำนักสังคีตทั้งวันได้อย่างไร เจ้ากำลังถกถามข้าหรือ”
“เช่นนั้นก็ดี” ลั่วอวี้เหิงพยักหน้า “อันที่จริงถึงเจ้าไม่บอก ข้าก็รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น คงไม่พ้นธรรมลักษณะถูกทำลายโดยไร้เหตุผล หรือว่าท่านโหราจารย์ลงมือแล้ว”
เมื่อครู่นี้ นางสัมผัสได้ว่าพลังแห่งสรรพชีวิตขยายตัวขึ้น จากนั้นทุกอย่างก็สงบลง
ท่านโหราจารย์ลอบช่วย หรือเขาลงมืออย่างเปิดเผยกันแน่
ในเมืองหลวง จักรพรรดิหยวนจิ่งมีโชคชะตาไม่เพียงพอและยังมีพื้นฐานการฝึกฝนที่อ่อนแออีก จึงมีเพียงโหรคนเดียวเท่านั้นที่สามารถระดมพลังแห่งสรรพชีวิต โหรระดับหนึ่ง ท่านโหราจารย์!
“ไม่ใช่”
หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าส่ายหน้าและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา
หญิงสาวใจแคบคนนี้เอะอะก็ชักสีหน้า…ลั่วอวี้เหิงยิ้ม นางถือถ้วยชาและถามว่า “ไม่ใช่หรอกหรือ”
“เป็นแสงใสพุ่งลงมาจากฟ้า ทำลายธรรมลักษณะร่างทองและทำลายแดนพุทธลงพร้อมกัน” นางเอ่ยเสียงเบา
“ตอนนั้นข้าอยู่ใกล้ๆ และเห็นชัดเจนว่า นั่นคือมีดแกะสลัก”
‘มีดแกะสลักหรือ?!’
ข้างหูราวกับมีสายฟ้าฟาด มือของลั่วอวี้เหิงสั่นสะท้าน ชาอุ่นๆ กระเซ็นออกมา ใบหน้าอันงดงามของนางแข็งค้างทันที
‘ไม่ใช่ท่านโหราจารย์…ท่านโหราจารย์ไม่น่าจะควบคุมมีดแกะสลักของลัทธิขงจื๊อได้…’ ลั่วอวี้เหิงเอ่ยเสียงขรึม “มีดแกะสลัก มีดแกะสลักอยู่ที่ไหน หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น เจ้าเล่ามาให้ละเอียด”
ในน้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความร้อนใจและตื่นเต้นอย่างไม่อาจปกปิดได้ หญิงสาวที่สวมผ้าคลุมหน้าไม่เคยเห็นลั่วอวี้เหิงอารมณ์แปรปรวนมากเช่นนี้มาก่อน จึงเอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “เจ้าเป็นอะไรไป”
“เจ้ารีบเล่ามา!” ลั่วอวี้เหิงเอนตัวไปข้างหน้าและตะโกนออกมา
“ก็เป็นมีดแกะสลักที่ทำลายธรรมลักษณะ”
“มีดแกะสลักหายไปหลังจากทำลายธรรมลักษณะหรือยังอยู่ในที่เกิดเหตุ สวี่…สวี่ชีอันเขาได้สัมผัสมีดแกะสลักหรือไม่” ลั่วอวี้เหิงจ้องมองนางด้วยสายตาเปล่งประกาย ราวกับว่าจุดนี้สำคัญมาก
“สัมผัสสิ เขาแทงธรรมลักษณะในวัดจนพังทลายลงด้วยมีดเล่มเดียว” หญิงสาวยกแขนขวาขึ้นและทำท่า ‘แทง’ ไปข้างหน้า
ลั่วอวี้เหิงตะลึงงัน
…………………………………………………