ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 299-2 วางแผนแทงข้างหลัง (2)
บทที่ 299 วางแผนแทงข้างหลัง (2)
สวี่หลิงเยวี่ยนั่งอยู่ที่ริมสระ ปะทะสายลมอ่อน ชมเชยทัศนียภาพเงียบๆ
งานชุมนุมวรรณกรรมไม่น่าสนใจ นางไม่ใช่คนในวงนั้น อีกทั้ง ‘ชายหนุ่มมากพรสวรรค์’ ที่ท่านแม่กล่าวก็ไม่เลวเลย ทว่าหากเทียบพวกเขากับพี่ใหญ่และพี่รองก็ดูจะห่างชั้นอยู่เล็กน้อย แม้ว่าคนเหล่านี้จะล้วนเป็นบัณฑิตบรรณาการก็ตาม
“ฮึ! ”
เสียงฮึดฮัดดังขึ้นจากด้านหลัง สาวน้อยชุดสีม่วงเดินเข้ามาและมองสวี่หลิงเยวี่ยอย่างเชือดเฉือนพร้อมด่าทอ “นังคนชั้นต่ำ เมื่อครู่เจ้าแสร้งทำเป็นน่าสงสารไปทำไม”
สวี่หลิงเยวี่ยเงยหน้าขึ้นพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน “พี่เหยียนเอ๋อร์พูดอะไรน่ะเจ้าคะ ขะ…ข้าแสร้งทำเป็นน่าสงสารตั้งแต่เมื่อใด”
สาวน้อยชุดสีม่วงเย้ยหยัน “เล่ห์เหลี่ยมแค่นั้นของเจ้าก็กล้าทำอะไรโง่ๆ ต่อหน้าข้า แสร้งทำหรือไม่นั้นตัวเจ้าเองก็ไม่กระจ่างแจ้งหรือ เด็กสาวชั้นต่ำที่มาจากตระกูลทหารอันหยาบคาย คู่ควรที่จะนั่งอยู่ที่นี่หรือ คู่ควรที่จะร่วมโต๊ะกับข้างั้นหรือ ไสหัวออกไปจากจวนสกุลหวางเดี๋ยวนี้ อย่าให้ข้าได้เห็นหน้าเจ้าอีก”
สวี่หลิงเยวี่ยคิ้วขมวด “ที่พี่เหยียนเอ๋อร์เกลียดข้าเป็นเพราะพี่ใหญ่ของข้างั้นหรือ”
สาวน้อยชุดสีม่วงยิ้มเยาะพร้อมด่าทอ “เจ้าก็รู้ตัวนี่”
สวี่ชีอันที่เป็นศัตรูกับท่านอาผู้นั้นย่อมเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือนังคนหลอกลวงนี่จงใจแสร้งทำเป็นน่าสงสารเมื่อครู่ จึงได้รับความเห็นใจจากเหล่าพี่ๆ น้องๆ ทำให้นางถูกตอกกลับเบาๆ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก
สาวน้อยชุดสีม่วงไม่เคยได้รับความกล้ำกลืนเช่นนี้มาก่อน
เมื่อคิดได้เช่นนี้นางก็ยิ่งเดือดดาล ยิ่งอิจฉาในความงามของสวี่หลิงเยวี่ย แล้วมองตาเขียว “นังคนชั้นต่ำเช่นเจ้า ก็แค่ลูกไม้ง่ายๆ รูปร่างหน้าตาเช่นนางจิ้งจอก เชื่อหรือไม่เดี๋ยวแม่จะขายเจ้าให้หอนางโลม ให้เจ้าได้ลิ้มลองความยากแค้นของโลกมนุษย์เสีย”
สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกกล้ำกลืนโดยพลัน “พี่รองเป็นคนพาข้ามางานชุมนุมวรรณกรรม คำเชิญจากจวนสกุลหวางข้าจะออกไปกลางคันได้อย่างไร หรือพี่สาวจะช่วยข้ารึ”
เมื่อสาวน้อยชุดสีม่วงได้ยินก็ขมวดคิ้ว
บัดนี้สวี่หลิงเยวี่ยแอบยื่นมือออกไปหยิกเอวเล็กของสาวน้อยชุดสีม่วงอย่างแรง
สีหน้าของสาวน้อยชุดสีม่วงซีดขาวด้วยความเจ็บปวด แล้วยื่นมือผลักนางโดยไม่รู้ตัว
สวี่หลิงเยวี่ยจึง ‘ฉวยโอกาส’ ล้มตัวไปด้านหลังและตกลงไปในสระน้ำ
“ช่วย ช่วยด้วย…ข้าว่ายน้ำไม่เป็น พี่รอง พี่รองช่วยข้าด้วย…”
สวี่หลิงเยวี่ยตะโกนร้อง เสียงกรีดร้องดังขึ้นได้ดึงดูดความสนใจของเหล่าชายมากพรสวรรค์และหญิงงามทุกคน
“ตกน้ำ มีคนตกน้ำ”
“ใครก็ได้รีบช่วยเร็วเข้า…”
เสียงร้องดังขึ้นไม่หยุด ทุกคนเข้ามามุงกันอย่างรวดเร็ว
สวี่ซินเหนียนที่ได้ยินเสียงร้องขอความช่วยเหลือมองไปตามเสียงก็เห็นสวี่หลิงเยวี่ยตะเกียกตะกายอยู่ในน้ำ ท่าทางกำลังจมน้ำ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนสี ยังไม่ทันจะทักทายคุณหนูหวางก็สาวเท้าวิ่งออกไป
‘ตู้ม…’
เขาพุ่งตัวกระโดดลงไปในสระน้ำ คว้าเอวของสวี่หลิงเยวี่ยไว้ พยุงนางขึ้นเหนือน้ำและดึงสวี่หลิงเยวี่ยขึ้นไปภายใต้ความช่วยเหลือของคุณหนูหวางและคนอื่นๆ
“ระ…รีบไปหยิบเสื้อคลุมของข้าในบ้านมาเร็วเข้า” คุณหนูหวางรีบสั่งสาวใช้
ไม่นานนักสาวใช้ก็หยิบเสื้อคลุมมา คุณหนูหวางคลุมเสื้อให้สวี่หลิงเยวี่ยเองกับมือ สวี่หลิงเยวี่ยซุกอยู่ในอ้อมอกของพี่รอง ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ฝูงชนล้อมรอบและมองดูสถานการณ์
สวี่ซินเหนียนสีหน้าอึมครึม กวาดตามองสาวน้อยชุดสีม่วงแล้วก้มหน้าถาม “หลิงเยวี่ยเกิดอะไรขึ้น”
สวี่หลิงเยวี่ยสูดจมูก ผมสลวยปรกติดใบหน้าสวย ทั้งอ่อนแรงและน่าสงสาร สะอึกสะอื้นเอ่ย
“ขะ…ข้าไม่รู้ พี่สาวผู้นี้ให้ข้าไสหัวออกไปจากจวนสกุลหวาง บอกว่าข้าไม่คู่ควรจะร่วมโต๊ะกับนาง ข้าไม่สนใจ นะ…นางจึงผลักข้าลงสระ”
ทุกคนมองไปที่สาวน้อยชุดสีม่วงในทันใด เหล่าบัณฑิตบรรณาการชำเลืองมองสวี่หลิงเยวี่ยที่ทำตัวน่าสงสารเรียกให้ผู้คนเห็นอกเห็นใจ แล้วมองสาวน้อยชุดสีม่วงตัวร้ายใช้อำนาจบาตรใหญ่ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเงียบๆ
“ข้าเปล่า”
ใบหน้าของสาวน้อยชุดสีม่วงแดงก่ำด้วยความโกรธ ชี้ที่สวี่หลิงเยวี่ยพร้อมด่าทอ “นังคนชั้นต่ำ เจ้าบังอาจให้ร้ายข้า เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเจ้าหยิกข้าก่อน พวกเจ้าอย่าหลงเชื่อนาง นังชั้นต่ำนี่กำลังให้ร้ายข้า นางจงใจลงน้ำไปเอง”
บุตรีคนหนึ่งขมวดคิ้วพร้อมเอ่ยเสียงเบา “แม้เหยียนเอ๋อร์จะร้ายกาจ แต่ก็ไม่ถึงขั้นทำเรื่องอย่างผลักคนตกน้ำได้”
สาวน้อยชุดสีม่วงส่งสายตาซาบซึ้งไปที่สหายคนสนิท จากนั้นก็ชี้ที่สวี่หลิงเยวี่ยร่วมด้วย “นางทำตัวเอง นางจงใจกระโดดลงน้ำเอง ยังคิดจะให้ร้ายข้าด้วย นังคนชั้นต่ำนี่ช่างใจดำเสียจริง”
ทุกคนมองไปที่สวี่หลิงเยวี่ยด้วยความสงสัย
สวี่หลิงเยวี่ยไม่สนใจสายตารอบข้าง น้ำตาไหลเปาะแปะเป็นสาย ร้องสะอึกสะอื้นพร้อมเอ่ย
“พี่รอง พี่ใหญ่ได้ล่วงเกินใครไปหรือไม่ พี่เหยียนเอ๋อร์ผู้นี้บอกว่าพี่ใหญ่มักจะตั้งตนเป็นศัตรูกับท่านอาของนาง นางทำอะไรพี่ใหญ่ไม่ได้ แต่แอบขายข้าให้หอนางโลมได้”
ขายให้หอนางโลม…ไฟโทสะของสวี่ซินเหนียนลุกโชนขึ้นเหนือศีรษะในบัดดล จับจ้องสาวน้อยชุดสีม่วงอย่างแน่วแน่ “มิทราบว่าแม่นางเป็นบุตรสาวบ้านไหนรึ”
คุณหนูหวางรู้สึกผิดเล็กน้อยจึงเอ่ยเสียงเบา “ท่านอาของเหยียนเอ๋อร์คือเจ้ากรมซุนซ่างซู”
บัณฑิตบรรณาการทุกคนกระจ่างแจ้งโดยพลัน มีสีหน้าของ ‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’ ในฐานะบัณฑิตบรรณาการจะต้องเข้าวังเป็นขุนนางในวันหน้า พวกเขามีความเข้าใจในท้องพระโรงประมาณหนึ่ง
บุญคุณความแค้นของซุนซ่างชูกรมอาญากับสวี่ชีอันพวกเขาก็เคยได้ยินมาก่อน ‘คดีซังผอ มอบให้แก่ซุนซ่างชู’ ที่โด่งดังที่สุดบทนั้นยังคงถูกผู้คนหยิบยกมาพูดคุยกันสนุกปากจนกระทั่งทุกวันนี้
ด้วยชื่อเสียงของยอดกวีสวี่ในปัจจุบัน กลอนบทนี้จะต้องถูกเล่าขานสู่คนรุ่นหลังเป็นแน่ ซุนซ่างชูก็จะมีชื่อเสียงฉาวโฉ่ไปชั่วลูกชั่วหลานเช่นกัน
ด้วยเหตุนี้แรงจูงใจที่เหยียนเอ๋อร์ผลักน้องสาวของยอดกวีสวี่ตกน้ำก็มีมากพอแล้ว
“เจ้า…”
สาวน้อยชุดสีม่วงเงียบไปอีกครั้ง นางพูดเช่นนี้ไว้จริงๆ เดิมคิดจะปฏิเสธ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของบุรุษรอบข้าง นางก็รู้ว่าถึงตนจะแก้ต่างไปก็ไร้ค่า
“เจ้าบอกว่าน้องสาวข้าหยิกเจ้า หยิกตรงไหนหรือ” สวี่ซินเหนียนเอ่ยถาม
“ที่เอวข้า” ในดวงตาของสาวน้อยชุดสีม่วงเดือดดาลด้วยไฟโทสะ
สวี่ซินเหนียนพยักหน้าช้าๆ “แม่นางแผนการช่างแยบยล รู้ว่าสิ่งอนาจารปัญญาชนมิอาจมอง จึงมิอาจพิสูจน์ได้ ทุกสิ่งล้วนอาศัยเพียงลมปากเจ้า”
สาวน้อยชุดสีม่วงชะงักงัน พลันเข้าใจเหตุผลที่นังคนชั้นต่ำคนนี้หยิกที่เอวของนาง ตอนนี้ถึงมีเหตุผลก็ใช้ไม่ได้
“พวกเราพิสูจน์ได้” สาวน้อยนางหนึ่งเอ่ยขึ้น
สวี่ซินเหนียนพยักหน้า “หันกลับไปหยิกตนเองก็มีรอยช้ำแล้ว น้องสาวข้าคารมไม่คมคาย แม้มีร้อยปากก็เถียงไม่ขึ้น”
นี่…สาวน้อยชุดสีม่วงและสหายคนสนิทใกล้ชิดถูกสวี่เอ้อร์หลางต้อนจนพูดไม่ออก
สวี่ซินเหนียนเย้ยหยัน “หากวันนี้เจ้าไม่ให้คำอธิบายกับข้า เรื่องนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่”
รอบตาของสาวน้อยชุดสีม่วงแดงก่ำด้วยความโกรธ ชี้ที่สวี่ซินเหนียนพร้อมด่าทอ “เจ้าอย่าได้ใจเกินไปนัก เจ้าก็แค่บัณฑิตฮุ่ยหยวนตัวเล็กๆ เจ้าคิดว่าตนเป็นใครถึงกล้าทำกับข้าเยี่ยงนี้”
‘เผียะ!’
สวี่ซินเหนียนตวัดมือตบ
สาวน้อยชุดสีม่วงเซไปเล็กน้อย แก้มบวมแดงในทันใด นางเอามือปิดหน้าพร้อมเอ่ยอย่างไม่คาดคิด “จะ…เจ้ากล้าตบข้าหรือ”
ทุกคนตกตะลึง นึกไม่ถึงว่าสวี่ซินเหนียนจะเด็ดขาดเยี่ยงนี้ ตบตีผู้หญิงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“เหตุการณ์ในวันนี้ท่านทั้งหลายล้วนเป็นสักขีพยาน ตอนนี้ข้าก็มัดนางไปขึ้นศาล แล้วจะเชิญทุกท่านไปเป็นพยาน”
เมื่อกล่าวจบสวี่ซินเหนียนก็จ้องมองสาวน้อยชุดสีม่วง แล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “มิได้ไปกรมอาญาหรือที่ว่าการเมือง สวี่คนนี้ขอเชิญแม่นางไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
ทุกคนต่างเปลี่ยนสีหน้า
ที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือที่ใด เมื่อเข้าไปด้านในแล้ว ต่อให้เป็นคำพูดของเจ้ากรมกรมอาญาก็ใช้การไม่ได้ หากจะหาเรื่องจริงๆ ตัดสินให้ผลักคนตกน้ำเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลก็ทำได้
แม้เจ้ากรมกรมอาญาจะพยายามช่วยอย่างเต็มความสามารถ หลังจากออกมาชื่อเสียงของตระกูลแม่นางก็สิ้นแล้ว ในอนาคตจะยังแต่งงานกับคนฐานะเท่าเทียมกันได้อยู่หรือ
ความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของสาวน้อยชุดสีม่วง นางสาวเท้าไปข้างกายคุณหนูหวางพร้อมร้องไห้ “พี่ซือมู่ช่วยข้าด้วย…ข้าไม่อยากไปที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล”
หวางซือมู่มองไปที่สวี่หลิงเยวี่ยทันที สวี่หลิงเยวี่ยหันหน้าหนีอย่างเยือกเย็น
หญิงผู้นี้มิใช่คนดีเช่นกัน…คุณหนูหวางปรากฏความคิดนี้ขึ้นในใจ จากนั้นก็มองสวี่ซินเหนียนพร้อมเอ่ยเสียงเบา
“คุณชายสวี่ เหยียนเอ๋อร์มิได้เจตนา ข้าจะให้นางกล่าวขอโทษเป็นการชดเชยที่ทำให้น้องหลิงเยวี่ยเสียหาย เห็นแก่ประโยชน์ของหญิงสาวแล้วปล่อยผ่านไปได้หรือไม่”
นางก็ลำบากใจเช่นกัน งานชุมนุมวรรณกรรมถูกจัดขึ้นที่นางจวนของนาง เมื่อเกิดเรื่องนี้ขึ้น หากให้สวี่ซินเหนียนพาคนไป เช่นนั้นเจ้ากรมกรมอาญากับบิดาจะต้องเกิดบาดหมางกันแน่
ขัดขวางสวี่ซินเหนียนและผิดใจกับเขาอย่างถึงที่สุด…นี่เป็นสิ่งที่หวางซือมู่ไม่อยากเห็น จึงคิดจะแก้ไขข้อพิพาทกันเอง ไม่ต้องขึ้นศาล
“ได้ เห็นแก่หน้าของคุณหนูหวาง ข้าจะไม่ขึ้นศาลก็ได้” สวี่ซินเหนียนเอ่ย
บัดนี้คุณหนูหวางได้นำทางสองพี่น้องบ้านสกุลสวี่เข้าไปในโถงด้านข้าง หารือเรื่องการชดเชยและขอโทษกับเรื่องราว
“เหยียนเอ๋อร์นิสัยดื้อรั้นเอาแต่ใจ ทำเรื่องผิดเช่นนี้ออกไป ควรจะชดเชยด้วยคำขอโทษ…ห้าร้อยตำลึงเงินเป็นอย่างไร” นัยน์ตาสวยของคุณหนูหวางจับจ้อง
“เงินเป็นเพียงเรื่องเล็ก ต้องดูทัศนคติเป็นหลัก” สวี่ซินเหนียนเอ่ยเบาๆ
หวางซือมู่ชำเลืองมองสาวน้อยชุดสีม่วง นางก้มหน้ากล่าวขอโทษอย่างกล้ำกลืน
สวี่ซินเหนียนจึงพยักหน้าพร้อมเอ่ย “หนึ่งพันตำลึง ขาดไปสักอีแปะก็เป็นการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา”
“…ตกลง”
รอยยิ้มของหวางซือมู่อ่อนหวาน แล้วเอ่ยด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน “คุณชายสวี่รีบพาน้องหลิงเยวี่ยกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่สะอาดเถิด อย่าให้เป็นหวัดเชียว”
ดังนั้นคุณหนูหวางจึงให้คนหยิบตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงมา แล้วส่งให้สวี่ซินเหนียนอย่างซาบซึ้งใจยิ่งและส่งสองพี่น้องออกจากจวนด้วยตนเอง
ในรถม้าสวี่ซินเหนียนส่งตั๋วเงินหนึ่งพันตำลึงให้สวี่หลิงเยวี่ยพร้อมเอ่ย “น้องสาว เก็บตั๋วเงินไว้ให้ดี มันก็คือส่วนหนึ่งของสินเดิมของเจ้าในอนาคต”
เขายื่นมือไปจับบ่าของสวี่หลิงเยวี่ยไว้พร้อมเอ่ยอย่างสบายๆ “เลือดเร่าร้อนเดือดพล่าน สายลมชั่วมิอาจรุกราน”
สวี่หลิงเยวี่ยรู้สึกเหมือนมีสายธารอุ่นหลั่งไหลมาจากในร่างกายขจัดความหนาวเย็น
นางพ่นลมหายใจอย่างสบายๆ พร้อมเอ่ยเสียงเบา “พี่รอง ข้าไม่ดีเอง ทำให้ท่านต้องออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลา”
สวี่ซินเหนียนโบกมือ “ออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลาเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน พูดตามตรงว่าข้าก็ไม่มีความมั่นใจในการต่อสู้กับสมุหราชเลขาธิการหวางเท่าไรนัก สบโอกาสตอนที่เขายังไม่มารีบออกมาก่อน นี่เรียกว่ามุ่งหาผลประโยชน์เลี่ยงภัยอันตราย สุภาพชนพึงกระทำ”
หยุดไปสักพักก่อนจะเอ่ยต่อ “ทว่าคุณหนูหวางผู้นั้นไม่ง่ายเลย”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยถาม “คุณหนูหวางบารมีไม่ธรรมดา กระทำการเป็นระเบียบเรียบร้อย เอาสถานการณ์ได้อยู่หมัด”
นางล้วนจัดการสถานการณ์ตั้งแต่ต้นจนจบ เห็นชัดๆ ว่าไม่ใช่เรื่องของนาง แต่กลับมีท่าทาง ‘ยอมรับผิด’ อย่างดีเยี่ยม มีภาวะของความเป็นผู้นำ
สวี่ซินเหนียนหัวเราะพร้อมเอ่ย “นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่ง เจ้าตกน้ำนางกลับไม่ปล่อยให้เจ้าเปลี่ยนเสื้อที่จวน นี่ทั้งทำให้ยายเด็กบ้าบ้านเจ้ากรมกรมอาญาเห็น และทำให้ข้ากับเจ้าเห็นเช่นกัน หลิงเยวี่ย เจ้ากระโดดลงไปในน้ำเองสินะ”
สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่รองรู้สาเหตุที่พี่ใหญ่เป็นที่รักของผู้คนมากกว่าท่านหรือไม่”
ความชอบเอาชนะของสวี่ซินเหนียนถูกกระตุ้นโดยพลัน “ข้าเป็นที่รักของผู้คนมากกว่าเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
สวี่หลิงเยวี่ยส่ายหน้า “หากเป็นพี่ใหญ่ ตอนนี้เขาคงถามไถ่ทุกข์สุขของข้าและโทษตนเองที่ไม่ได้ปกป้องข้าให้ดี ในใจเขากระจ่างแจ้งทุกสิ่ง แต่ไม่พูดออกมา”
สีหน้าของสวี่ซินเหนียนพลันแข็งทื่อ
…
“จะร้องทำไม”
คุณหนูหวางถือผ้าเช็ดหน้าไว้ในมือเช็ดน้ำตาให้สาวน้อยชุดสีม่วง แล้วหัวเราะพร้อมเอ่ย “เจ้าเป็นบุตรีคนโต โอ้อวดฤทธิ์เดชในจวนตั้งแต่ยังเด็ก ไม่มีใครกล้าหาเรื่องเจ้า มีบางเรื่องที่เจ้ารู้กระจ่างแจ้ง ทว่าด้วยนิสัยที่ถูกเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เจ้าชอบพูดจาขวานผ่าซาก ซึ่งมันไม่ถูกต้อง ในอนาคตออกเรือนเจ้าก็จะรู้เอง”
“ก็นังคนชั้นต่ำนั่นตกน้ำเอง” สาวน้อยชุดสีม่วงตะโกนด้วยความน้อยใจ
“นี่ไม่สำคัญ ทุกคนคิดอย่างไรต่างหากที่สำคัญ พวกเขาคิดว่าเจ้าเป็นคนผลักก็คือเจ้าเป็นคนผลัก” คุณหนูหวางยิ้ม
“พี่สาว เจ้าก็ไม่ช่วยข้า” สาวน้อยชุดสีม่วงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
“ข้าสู้สองพี่น้องนั่นไม่ได้” คุณหนูหวางเอ่ยพร้อมยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
นางอารมณ์ดียิ่ง เก็บเกี่ยวผลพวงได้เต็มๆ
ประการแรก สวี่ฉือจิ้วยังไม่ได้แต่งงานและยังไม่ได้หมั้นหมาย
ประการสอง ได้รู้นิสัยของน้องสาวบ้านสกุลสวี่
ประการสาม แม้จะสนทนาเป็นเวลาสั้นๆ ทว่านิสัยและบุคลิกของสวี่ซินเหนียนก็ตรงรสนิยมนางเป็นอย่างยิ่ง
รูปงาม หนักแน่น เฉลียวฉลาด มีความคิดอ่านเป็นของตนเองจอมแผนการ ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ เขายอมผิดใจกับเจ้ากรมกรมอาญาเพื่อคนในครอบครัว
นับแต่โบราณกาลบุรุษที่สติปัญญาเฉียบแหลมและแผนการล้ำลึกมีมากนับไม่ถ้วน ปราดเปรื่อง หน้าเนื้อใจเสือ และเหี้ยมโหด…คนเหล่านี้ไม่น่าสนใจทั้งสิ้น เพราะในสายตาของพวกเขามีเพียงแผนการอันยิ่งใหญ่ของตนเองเท่านั้น น้อยมากที่จะยกให้หญิงในบ้านเป็นที่หนึ่ง
อบรมบุตรธิดาจอมวางแผนและชุบเลี้ยงหลานชายพรสวรรค์ล้ำเลิศออกมาได้เช่นนี้ นายหญิงแห่งบ้านสกุลสวี่ผู้นั้นจะต้องเป็นคนที่สุดยอดมากแน่ๆ
นัยน์ตาของคุณหนูหวางประกายแสงอันคมกริบเต็มไปด้วยความฮึกเหิม
………………………………………………