ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 304 เขาวงกตและการกลับมาอีกครั้ง
บทที่ 304 เขาวงกตและการกลับมาอีกครั้ง
“ไหนบอกว่ากลุ่มจือหลิวนั้นเคยเป็นที่นิยมอย่างมากในขุนนางชั้นสูงมิใช่หรือ และตัวตนของเจ้าของสุสานนี้ก็สูงส่งอย่างเห็นได้ชัดอีก” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าววิเคราะห์
เห็นได้ชัดว่าเขาหมายถึงอะไร เจ้าของสุสานคือผู้ที่ชื่นชมวิชาบำเพ็ญคู่อย่างบ้าคลั่ง
“การได้พบวิชาบำเพ็ญคู่ที่หายสาบสูญไปอย่างยาวนานอยู่ที่นี่ ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว” นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่ปลงตก
“ท่านนักบวช ท่านไม่แตะต้องสตรีเสียหน่อย วิชาบำเพ็ญคู่นี้สำหรับท่านแล้ว ถือว่าไม่มีประโยชน์อันใด” สวี่ชีอันหัวเราะ
นักบวชเต๋าจินเหลียนมีสีหน้าที่ไม่พอใจ
“อาภรณ์ของผู้คนเหล่านั้นที่สวมใส่บนฝาผนังดูแปลกไปเสียหน่อย เก่าแก่มากจนข้าไม่แน่ใจว่าเป็นของราชวงศ์ใด”
เมื่อเทียบกับวิชาบำเพ็ญคู่แล้ว ฉู่หยวนเจิ่นสนใจจิตรกรรมฝาผนังอีกชิ้นหนึ่งมากกว่า
สวี่ชีอันได้จดจำวิชาบำเพ็ญคู่ที่อยู่บนฝาผนังเรียบร้อยแล้ว กล่าวเร่งเร้า “ออกไปจากที่นี่กันเถอะ สิ่งสำคัญคือการ ตามหาหมายเลขห้า”
ของดีเช่นนี้ เขาอยากครอบครองไว้แต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้นผู้คนจึงเดินหน้าตามหากันต่อไป เฉียนโหย่วได้ยินการสนทนาของพวกเขาทั้งหมดแล้ว จึงรู้ว่าสิ่งที่อยู่บนฝาผนังคือวิชาบำเพ็ญคู่ที่อยู่ในตำนาน
ของดีนี่ ทั้งเรื่องบนเตียง และการบำเพ็ญพรตทั้งสองเรื่องไม่มีพลาด
สำหรับบุรุษแล้ว มันเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่อาจต้านทานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวยุทธภพอย่างเฉียนโหย่ว ที่ขาดแคลนทั้งทรัพยากร คำชี้แนะจากอาจารย์ที่มีชื่อเสียง และความมุ่งมั่นเช่นนี้
เขาถอยหลังไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ รอให้สวี่ชีอันและคนอื่นๆ เดินจากไปไกลแล้ว เฉียนโหย่วรีบหมุนกายกลับไปดูจิตรกรรมฝาผนังทันที
เวลามีจำกัด เขาเพิ่งจำภาพได้เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้น ไม่สามารถปะติดปะต่อวิชาบำเพ็ญคู่ได้อย่างเห็นผล ซึ่งเทียบเท่ากับไร้ประโยชน์
“รอให้ข้าจำมันแล้วจะตามพวกเขาไป ใกล้เสร็จแล้ว ใกล้เสร็จแล้ว…”
เฉียนโหย่วถือคบเพลิง ก้าวเดินอย่างรวดเร็ว ในสภาพแวดล้อมที่เปิดโล่ง มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่กำลังดังกึกก้อง
ไม่นาน เฉียนโหย่วพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ เขาเดินมาตั้งนาน ยังเดินกลับไปไม่ถึงจิตรกรรมฝาผนังเสียที
“พวกเราไม่ได้เดินมาไกลขนาดนี้ เหตุใดยังเดินกลับไปไม่ถึงที่ตั้งของจิตรกรรมฝาผนังเล่า”
เขาถือคบเพลิงสอดส่องไปทั่ว ห้องเก็บศพที่ว่างเปล่าเงียบสงัดจนน่ากลัว ไม่ใช่แค่ไม่มีภาพจิตรกรรมฝาผนัง แม้แต่โลงศพก็ไม่มี
ภาพจิตรกรรมฝาผนังหายไปแล้ว โลงหินและผีดิบก็หายไปแล้ว…เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนี่ง เหงื่อเย็นไหลออกมาอย่าง ‘พรั่งพรู’
ฟันของเฉียนโหย่วสั่น ทำให้เสียงสั่นตามไปด้วย “ท่าน ท่านจอมยุทธ์ ท่านจอมยุทธ์ ข้าอยู่นี่ อย่าทิ้งข้าไป…”
เสียงที่ดังก้องกังวาน หักเหและเปลี่ยนรูปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ว่างเปล่า เมื่อเล็ดลอดเข้ามาในโสตประสาทอีกครั้ง มันเหมือนกับมีใครสักคนกำลังตะโกนอยู่
เฉียนโหย่วสันหลังเย็น ขนอ่อนลุกตั้งขึ้นทีละเส้น ปิดปากสนิท ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากอีก
เขาหันหลังและเดินกลับไป พยายามไล่ตามสวี่ชีอันและคนอื่นๆ ทว่าเขาเปลี่ยนจากวิ่งเหยาะๆ เป็นวิ่งอย่างบ้าคลั่งและกระหืดกระหอบ สุดท้ายก็ยังตามสวี่ชีอันไม่ทัน
ภายในห้องเก็บศพที่เงียบสงบ ไม่เห็นแม้แต่เงาคน มีเพียงเสียงฝีเท้าของเขาที่ดังก้องกังวาน เสมือนคนเหมือนตกลงไปในอุโมงค์น้ำแข็ง จนสัมผัสถึงความหนาวเหน็บที่มาจากนรก
ทันใดนั้น เฉียนโหย่วที่กำลังวิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่เท้าเกิดสะดุดล้มลง กระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ทำให้เกิดเสียงโอดโอยดังขึ้น เขาหยิบคบเพลิงด้วยความตื่นตระหนกส่องเข้าไป
มันคือศพหนึ่งร่าง ถ้าจะพูดให้ถูก คือศพครึ่งร่างต่างหาก
ศพนั้นมีแค่ครึ่งท่อนบน ช่วงเอวท่อนล่างไม่รู้โดนอะไรตัดขาด บาดแผลมีเลือดปนอยู่ อวัยวะภายในก็ถูกดึงออกไปด้วย
เฉียนโหย่วอุทานออกมาเสียงดัง ‘อ๊าก’ ถอยหลังวิ่งหัวซุกหัวซุนด้วยความตกใจ
‘มีสิ่งชั่วร้าย มีสิ่งชั่วร้ายกินคน…มันอยู่แถวนี้ ข้าสามารถเผชิญหน้ากับมันได้ทุกเมื่อ…’ ความน่ากลัวอย่างมหาศาลระเบิดออกมาภายในจิตใจ สีหน้าของเฉียนโหย่วค่อยๆ ซีดเผือด
“ออกไป ต้องรีบออกไปจากที่นี่”
มือของเฉียนโหย่วที่ถือคบเพลิงสั่นเล็กน้อย หายใจเข้าลึกๆ และบังคับตัวเองให้ใจเย็นลง
เขาเป็นผู้อาวุโสของกลุ่มโฮ่วถู่ เคยลงไปในหลุมฝังศพ และประสบกับอันตรายต่างๆมากมาย แต่อันตรายเหล่านั้นต่างก็ไม่เหมือนกับตัวประหลาดที่อยู่ตรงหน้านี้ ยังดีที่ยังมีความกล้าเพียงพอ ไม่ถึงขั้นตกใจจนทำอะไรไม่ถูก
“แสงคบเพลิงอาจดึงดูดสิ่งชั่วร้ายได้ แต่หากไม่มีแสงไฟคอยสาดส่อง หากข้าพุ่งเข้าไปประจันหน้ามันคงไม่รู้สึกตัว อีกอย่าง มันอาศัยอยู่ใต้ดินมาตลอดหลายปี สายตาคงเสื่อมและไวต่อแสงน้อยลงอย่างแน่นอน
“สิ่งที่ข้าต้องทำไม่ใช่การดับไฟ แต่เป็นการกำจัดกลิ่นที่อยู่บนตัว”
ในฐานะเป็นโจรปล้นสุสานที่ความชำนาญคนหนึ่ง ต่างก็มีสิ่งของเหล่านี้อยู่แล้ว เขาหยิบโถดินเผาที่พกติดตัวออกมาจากกระเป๋าห่อของ ในโถได้บรรจุผงที่มีกลิ่นฉุน หากดมอย่างละเอียดแล้ว จะคล้ายกับกลิ่นศพอยู่บ้าง
เฉียนโหย่วโรยผงลงบนร่างกายของเขา ถือคบเพลิง และเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
เขาไม่รู้ทิศทางอย่างสมบูรณ์แล้ว ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ ไม่มีจุดหมาย
ทันใดนั้น มีเสียงจากด้านหลังดังขึ้นด้วยความประหลาดใจ “เฉียนโหย่ว?”
…
ถือคบเพลิงเดินนำหน้าอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นนักบวชเต๋าจินเหลียนขมวดคิ้วขึ้น “เราขาดใครไปใช่หรือไม่”
ขณะที่พูด เขาก็เหลือบมองที่ด้านหลัง รูม่านตาของนักพรตผู้เฒ่าหดเล็กลง
ด้านหลังว่างเปล่า หัวหน้าของกลุ่มโฮ่งถู่ผู้นั้นหายไปแล้ว
สวี่ชีอัน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วนสังเกตเห็นความผิดปกติ ใบหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง
“เขาหายไปตั้งแต่เมื่อใดหรือ ข้าไม่ได้สังเกตเลยแม้แต่น้อย” สวี่ชีอันหลับตา จ้องมองด้วยความสงสัย พลางเอ่ยและขมวดคิ้ว
“สัมผัสเทพไม่ได้รับผลกระทบ หากโดนอะไรลักพาตัว ข้าไม่มีทางไม่รับรู้ เพราะในเมื่อสิ่งนั้นเป็นศัตรูกับเขา ก็ต้องเกิดศัตรูขึ้นกับพวกเราเช่นเดียวกัน และเมื่อเกิดศัตรูขึ้น สัมผัสเทพของข้าจะสามารถติดตามได้อย่างรวดเร็ว และตอบกลับข้า”
ฉู่หยวนเจิ่นมีสีหน้าเคร่งขรึม เอ่ยอย่างวิเคราะห์ “ไม่เพียงแค่นั้น เสียงฝีเท้าขาดไปหนึ่งเสียง พวกเราไม่สังเกตเห็นจริงๆ หรือ ตัวเขาเองนี่ก็ไม่ธรรมดา”
เหิงหย่วนขมวดคิ้วอยู่เงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนหัวใจกระตุก หยิบชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมา มองดูอยู่สักครู่ เอ่ยด้วยเสียงเคร่งขรึม “ชิ้นส่วนหนังสือปฐพีใช้งานไม่ได้แล้ว”
สวี่ชีอัน ฉู่หยวนเจิ่น และเหิงหย่วน ทำท่าควักของสิ่งหนึ่งจากอกออกมาพร้อมกัน แต่สองคนหลังสามารถควักชิ้นส่วนหนังสือปฐพีออกมาได้สำเร็จ แต่สวี่ชีอันได้สติทันเวลา รั้งม้าหน้าผา ไม่นำอารมณ์ร้อนมาขัดขวางจิตใจ…
“ใช้งานไม่ได้แล้วจริงๆด้วย” ฉู่หยวนเจิ่นลองพยายามส่งสาร แต่หลังจากล้มเหลว สีหน้าจึงดูเคร่งขรึม
เหตุผลที่หมายเลขห้าขาดการติดต่อที่เมืองเซียงโจวถูกค้นพบแล้ว
สุสานใต้ดินแห่งนี้ปิดกั้นชิ้นส่วนหนังสือปฐพี
“ข้า ข้าดูเหมือนจะรู้แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน เอ่อ พูดให้ถูกก็คือ รู้ถึงสถานการณ์ของพวกเราแล้ว” จงหลียกมือเล็กขึ้น
เมื่อผู้ติดตามทั้งสี่มองมา นางก้มหน้า เอ่ยเสียงเบา
“โดยปกติแล้ว โครงสร้างของสุสานจะแบ่งออกเป็นสามชั้น คือชั้นใน ชั้นกลาง และชั้นนอก ชั้นในสุดคือที่เก็บศพหลัก เจ้าของนอนอยู่ในสุสานใหญ่ ตรงกลางคือห้องด้านข้างและทางเดิน มีบุคคลที่สำคัญนอนอยู่ใกล้กับเจ้าของสุสาน และชั้นนอกคือการป้องกันของสุสานใหญ่ ตอนนี้ที่พวกเราอยู่คือชั้นนอกสุด และเป็นชั้นที่อันตรายที่สุดเช่นกัน
“ที่นี่มีกลไกและกับดัก รวมถึงค่ายกลอยู่ทุกที่…หากข้าดูไม่ผิด ครั้งแรกที่พวกเราเข้าสู่ห้องฝังศพที่มีจิตรกรรม ก็เข้าสู่ค่ายกลแล้ว”
ชายทั้งสี่มองมาที่นางพร้อมกัน สวี่ชีอันจ้องเขม็งพร้อมกล่าว “เหตุใดจึงไม่รีบบอกเล่า”
“ข้าลืมแล้วนี่” จงหลีก้มหน้า กล่าวอย่างเสียใจ “ข้าก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจึงลืม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ชายทั้งสี่ก็นิ่งเงียบ ไม่อาจฝืนทนตำหนินางอีก
“นี่มันคือค่ายกลอันใด เจ้ามองออกหรือไม่” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าวถาม
“น่าจะเป็นค่ายกลชนิดหนึ่ง เค้าโครงภายนอกของพระราชวังใต้ดินสอดคล้องกับค่ายกลนี้ ตอนนี้พวกเราอยู่ในเขาวงกตขนาดใหญ่ ต้องตามหาทางที่ถูกต้องถึงจะสามารถออกไปได้ มิฉะนั้นคงติดอยู่ในนี้ตลอดไปเป็นแน่” จงหลีกล่าว
“รีบพาเราออกไปจากที่นี่” ฉู่หยวนเจิ่นกล่าวอย่างเร่งรีบ
“ข้า ข้าอาจพาพวกเจ้าเข้าสู่ทางตันน่ะสิ” จงหลีก้มศีรษะลงต่ำกว่าเดิม
ทุกคน “…”
ศาสดาพยากรณ์ที่ช่างโชคร้าย…สวี่ชีอันลอบถอนหายใจ
ฉู่หยวนเจิ่นขมวดคิ้วแน่น เหลือบมองไปที่สวี่ชีอัน ทันใดนั้นเขาก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา “หากไม่สามารถใช้วิธีการปกติเพื่อทำลายค่ายกลได้ เช่นนั้นการใช้วิธีที่รุนแรงทำลายค่ายกลก็เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ก็เหมือนกระบี่สองเล่มที่สวี่ชีอันชักออกมาในช่วงแสดงอิทธิฤทธิ์”
นักบวชเต๋าจินเหลียนปฏิเสธข้อเสนอนี้ และกล่าวด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ก่อนจะค้นพบตัวตนของเจ้าของสุสาน ทางที่ดีไม่ควรทำด้วยวิธีนี้ ชั้นนอกทั้งหมดต่างก็ทำมาจากกองหินชิงกัง โอ่อ่าเช่นนี้ อย่าว่าแต่สมัยโบราณเลย ต่อให้เป็นต้าฟ่งในตอนนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งท่านนั้น เขาก็ไม่สามารถนำเอาหินชิงกังมากขนาดนั้นออกมาได้
“การบำเพ็ญคู่แบบโบราณเป็นวิชาลับของกลุ่มจือหลิว ปกติคงไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ทั้งหมด แต่กลางสุสานกลับมี
“ค่ายกลที่พวกเราอยู่ช่างประณีตเช่นนี้ อีกอย่างที่ตั้งของมันถูกจัดวางเป็นเวลาอย่างน้อยสองพันปีแล้ว ช่วงเวลานั้นยังไม่มีนักพรต ทั้งหมดทั้งมวล ต่างก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสุสานแห่งนี้ไม่ธรรมดา หากบุ่มบ่ามทำลายค่ายกล เกรงว่าจะชักนำผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงในภายหลังได้ อ้อ หากเจ้าเป็นยอดฝีมือระดับสาม เช่นนั้นก็ถือเสียว่าข้าไม่ได้กล่าว”
ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าเงียบๆ
เหิงหย่วนขมวดคิ้วแน่น “ตอนนี้พวกเราควรจะทำเช่นไร”
เขาเป็นจอมยุทธ์ภิกษุ ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ สิ่งที่ฉู่หยวนเจิ่นฝึกคือการฝึกกระบี่ ถึงแม้ว่าสาเหตุที่ฐานะเดิมจะเป็นปัญญาชน เป็นที่รู้จักและมีความรู้ แต่ก็ไม่สามารถขวางกั้นค่ายกลได้เช่นเดียวกัน
สวี่หนิงเยี่ยนที่เป็นทหารนายหนึ่ง ก็ยิ่งวางใจไม่ได้แล้ว
“ลัทธิเต๋าไม่สามารถขวางกั้นลมฝนได้ แต่ก็มีวิธีฝ่าค่ายกล อาตมาสามารถลองพาพวกท่านเดินรอบได้ๆ” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
ลัทธิเต๋าสามารถสร้างค่ายกลได้ ตอนแรกจื่อเหลียนกับหยางเยี่ยนประลองยุทธ์ที่นอกเมือง ก็เคยวางขนาดใหญ่ไว้ เพียงแต่ไม่ได้วิปริตเหมือนโหรขนาดนั้น แค่ยกเท้าขึ้น พลังก็ปรากฏขึ้นเอง
หนึ่งเค่อผ่านไป ใบหน้าของนักบวชเต๋าจินเหลียนก็แข็งทื่อ มองไปยังความมืดที่อยู่เบื้องหน้า และขมวดคิ้วอย่างเงียบๆ
นักบวชเต๋าจินเหลียนล้มเหลวในการสำรวจเส้นทาง สีหน้าราวกับหวาดระแวงโลกใบนี้
แม้แต่ท่านนักบวชก็ยังแสดงท่าที่เช่นนี้…สวี่ชีอันเยาะเย้ยในใจ
ในที่เกิดเหตุไม่มีผู้ใดรู้ว่านักบวชเต๋าจินเหลียนเป็นเพียงเศษเสี้ยวผู้นำเต๋าของนิกายปฐพี และเป็นด้านที่ดี ด้วยเหตุนี้จึงไม่รู้ว่าเบื้องหลังสีหน้าจริงจังของเขานั้น มีข้อเท็จจริงที่หนักหนาซ่อนอยู่
พวกเขากำลังมีปัญหา และเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก
“ก่อนหน้าโหร ยังมีใครที่มีระดับทักษะค่ายกลที่มีอำนาจบ้าง” นักบวชเต๋าจินเหลียนใช้ความคิดอยู่เงียบๆ กำลังค้นหา ‘เป้าหมายที่น่าสงสัย’ อยู่ในใจ
“ท่านนักบวชก็ทำไม่ได้หรือ”
เหิงหย่วนและฉู่หยวนเจิ่นมองหน้ากัน ต่างก็เห็นความหนักหนาในดวงตาของกันและกันแล้ว
‘ช่างประมาทเกินไปแล้ว รู้อย่างนี้แต่แรกน่าจะตรวจสอบตำนานและตำราประวัติของเมืองเซียงโจว ค้นหาเบาะแสเกี่ยวกับสุสาน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะเข้าสุสานดีหรือไม่…ด้วยกองกำลังที่แข็งกล้าของเรากองนี้ ยอดฝีมือเห็นแล้วถึงกับวิ่งหนีไป ทำให้ข้าจิตใจอ่อนระทวยไปชั่วขณะ จนประมาทเลินเล่อ’
ฉู่หยวนเจิ่นแอบเสียใจอยู่ภายในใจ
เหิงหย่วนท่องอามิตตาพุทธเสียงเบา เขารู้สึกผิดในใจ หมายเลขห้าหายไปหลายวันแล้ว คงรอการช่วยเหลืออยู่ในสุสานที่ทั้งแปลกและมืดมิด แต่กลุ่มของตนเองเพิ่งจะลงมา ก็ต้องมาเจอปัญหาที่จัดการไม่ได้เสียแล้ว
นักบวชเต๋าจินเหลียนถอนหายใจ มองไปที่จงหลี “เจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร ไม่จำเป็นต้องบอกทางเลือกของเจ้าให้ข้ารู้ แค่อธิบายอย่างละเอียดเกี่ยวกับความลับของค่ายกลนี้ก็พอ”
จงหลีครุ่นคิด “ค่ายกลประเภทนี้ มักจะสร้างขึ้นในห้องมืดและใต้ดิน มิฉะนั้น ผู้เข้าแข่งขันเพียงต้องค้นหาทิศทางเท่านั้น ก็จะสามารถแยกแยะเส้นทางที่ถูกต้องได้อย่างง่ายดาย
“ในกรณีที่ไม่สามารถแยกแยะทิศทาง คิดจะหลุดพ้นจากค่ายกล มีเพียงพึ่งพาประสบการณ์และการตัดสินใจของผู้เข้าแข่งขันเท่านั้น ข้า ประสบการณ์และการตัดสินใจของข้าแค่วันเดียวก็ ‘สับสน’ แล้ว เกรงว่าจะทำให้เกิดปัญหายิ่งมากขึ้น”
คราวนี้ นักบวชเต๋าจินเหลียนก็เงียบเช่นกัน
ในที่สุดเหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินก็เข้าใจอย่างลึกซื้งถึงความสิ้นหวังของหมายเลขห้าแล้ว ตัวอยู่ชั้นใต้ดิน ออกไปไม่ได้ แถมติดต่อกับโลกภายนอกไม่ได้อีก เมื่อเวลาผ่านไป สภาพร่างกายก็ค่อยๆ ทรุดลง…
ในบรรยากาศที่ตึงเครียด จงหลียกมือขึ้นอีกครั้ง พลางกล่าวด้วยเสียงเบา “ความจริงแล้ว ยังมีวีธีหนึ่งที่ปลอดภัยและเชื่อถือได้อยู่”
ฉู่หยวนเจิ่นและสวี่ชีอันมีสีหน้าดีใจ รีบกล่าวถาม “วิธีใดหรือ”
เหิงหย่วนเงยหน้ามองไปที่นาง ในดวงตาเต็มไปด้วยความหวัง
นักบวชเต๋าจินเหลียนหัวใจกระตุก
จงหลีใช้นิ้วแตะสวี่ชีอันครั้งหนึ่ง ก้มศีรษะพลางกล่าว “ให้เขานำทาง พวกเราก็จะสามารถออกไปได้ เอ่อ คิดว่าน่าจะได้”
เขา?!
สายตาที่อยู่รอบๆ จากจงหลี เปลี่ยนเป็นสวี่ชีอัน
ฉู่หยวนเจิ่นมีสายตาที่ยากจะเชื่ออยู่เล็กน้อย ปรากฏความคิดมากมายอยู่ในใจ สวี่หนิงเยี่ยนเป็นแค่ทหารนายหนึ่ง เป็นไปไม่ได้ที่จะเชี่ยวชาญด้านค่ายกล ให้เขาทำลายค่าย ไม่สู้ให้ข้าทำเองจะดีกว่าหรือ
แต่ศาสดาพยากรณ์ของสำนักโหราจารย์ท่านนี้ไม่น่ามีเจตนาล้อเล่น ดังนั้น เป็นตัวของสวี่หนิงเยี่ยนเองที่มีความพิเศษ หรือว่ามีบางอย่างในตัวเขาที่สามารถทำลายค่ายกลได้กัน?
ทว่า ด้วยท่าทางของสวี่หนิงเยี่ยน เมื่อเปรียบดูเหมือนเขาค่อนข้างจะแปลกใจกับสิ่งนี้…
คิดมาถึงจุดนี้ ฉู่หยวนเจิ่นอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองนักบวชเต๋าจินเหลียน กลับพบว่าเขาก็ดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้ในทันที
นักบวชเต๋าจินเหลียนก็รู้ด้วยหรือ ฉู่หยวนเจิ่นค่อยๆ เก็บรายละเอียดนี้เงียบๆ
บนร่างกายของหนิงเยี่ยนดูเหมือนจะมีความลับบางอย่าง…นับวันข้ายิ่งสงสัยในตัวเขามากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว
“ใต้เท้าสวี่เข้าใจเรื่องค่ายกลหรือ”
เหิงหย่วนไม่ได้มีกลอุบายเหมือนนักปราชญ์ จึงถามข้อสงสัยที่อยู่ในใจออกไปตรงๆ
สวี่ชีอันมุมปากกระตุก “ไม่เข้าใจ”
…
เฉียนโหย่วหันกลับไปทันที สบโอกาสเตรียมท่าป้องกันและปล่อยอาวุธ หรี่ตามองไปยังเบื้องหน้าที่มืดมิด ตะโกนด้วยเสียงต่ำ “ผู้ใดกัน”
เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เงาคนร่างหนึ่งเดินเข้ามาใกล้บริเวณแสงสว่างของคบเพลิง รูปร่างจากที่เลือนรางเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้น เป็นชายวัยกลางคนที่มีอายุราวๆ สี่สิบคนหนึ่ง
ใบหน้าซูบผอม รอบตาคล้ำ ดวงตาทั้งสองเต็มไปด้วยเส้นเลือด เหมือนคนป่วยที่ร่างกายทรุดโทรม จากการป่วยอย่างหนัก
ใต้คางที่ไม่ได้จัดการมาหลายวัน มีหนวดสีดำยาวขึ้นเป็นวง ทั้งมอมแมมทั้งเสื่อมโทรม
“หัวหน้า?!”
ดวงตาของเฉียนโหย่วเบิกกว้าง ใบหน้ามีความปีติ เขาขยับแสงคบเพลิง เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง ต่างก็เป็นเหล่าพี่น้องของกลุ่มโฮ่วถู่ทั้งนั้น
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมาเจอเหล่าหัวหน้าที่นี่ โดยไม่ต้องพยายามก็ได้เจอ…เฉียนโหย่วกำลังจะเดินเข้าไป ทันใดนั้นใบหน้าก็เปลี่ยนไป อาวุธชี้มาที่ฝูงคน ตะโกนอย่างแข็งนอกอ่อนใน
“อย่าเข้ามา อย่าขยับทั้งนั้น มิฉะนั้นกระบี่ของข้าอาจจะไม่รู้จักใคร เอ่อ พวกเจ้าจะพิสูจน์ตนเองอย่างไรเล่า”
หัวหน้าที่ป่วยท่านนั้นเผยให้เห็นรอยยิ้มที่ใจดีออกมา “ยอดเยี่ยม มีความรอบคอบดี ดูเหมือนว่าผีในร่างคนที่เจ้าพบชั้นใต้ดินเมืองจิวโจวเมื่อสองปีก่อนจะทำให้เจ้ามีความทรงจำที่ลึกซึ้ง”
ตามมาด้วยการด่าทอของกลุ่มสมาชิกที่อยู่ด้านหลัง “คนแซ่เฉียน เจ้าทราบหรือไม่เหตุใดจึงให้เจ้าอยู่ด้านหน้า เพราะการต่อสู้ที่ไม่ได้เรื่องของเจ้าอย่างไรเล่า การเข้าสุสานก็คือการส่งไปตาย”
“ฮ่าฮ่า เป็นพวกเจ้าจริงๆด้วย” เฉียนโหย่วไม่โกรธกลับหัวเราะ เดินเข้าไปอย่างดีใจ ตอนเข้าใกล้หัวหน้าที่ป่วย ทันใดนั้นเขาก็เผยชาดแดงออกมา
“มารดาเถอะ ของไร้ประโยชน์นี้ใช้ได้แต่วิญญาณอาฆาตที่ด้อยกว่าเท่านั้น ใช้กับผีดิบไม่ได้ผลหรอก” หัวหน้าที่ป่วยตบชาดแดงที่อยู่บนร่างกาย พลางก่นด่า
ถึงช่วงเวลานี้ เฉียนโหย่วไร้สงสัยอีกต่อไป
ขณะที่เขาถือคบเพลิง ก็ค่อยๆ มองเข้าไป เห็นโหรป่าที่เป็นผู้อาวุโสท่านนั้น เบ้าตาจมลึก เหมือนรองหัวหน้าที่มีท่าทางดูซูบเซียวไม่ต่างกัน
ในเวลานี้ เสื้อคลุมสีขาวบนตัวทั้งสกปรกทั้งชำรุดหมดแล้ว
ต่อมา เขาเห็นสาวน้อยจากซินเจียงตอนใต้คนนั้น เดิมใบหน้าของสาวน้อยอ้วนกลมได้ผอมลงแล้ว คางดูแหลมขึ้น ท่าทียังคงมีความสง่างามเหมือนเดิม มีเพียงดวงตาทั้งสองที่เต็มไปด้วยเส้นเลือด ดูเหมือนไม่ได้นอนมานาน ทั้งยังมีสีหน้าซีดเซียวเท่านั้น
พอเขามองครบทั้งหมด และนับจำนวนคนแล้ว ในใจกลับรู้สึกหนักอึ้ง
ตอนแรกเข้ามาในสุสานหลวงสามสิบสองคน ตอนนี้เหลือแค่สิบสองคนเท่านั้น
“ทุกคนคงหิวกันแย่แล้วใช่หรือไม่ ข้าพกเสบียงอาหารและน้ำมาให้ทุกคนด้วย” เฉียนโหย่วเปิดสัมภาระที่แบกบนหลังออก และแจกจ่ายเสบียงอาหารให้แก่ทุกคน
รวมทั้งสาวน้อยที่มาจากซินเจียงตอนใต้ผู้นั้นด้วย ดวงตาทุกคนต่างจ้องเซาปิ่ง[1]อย่างเปล่งประกายขึ้นทันใด เหมือนกับการจ้องมองสาวงามผู้มีเสน่ห์อย่างไม่วางตาก็มิปาน
อาหารของกองทหารนี้ขาดแคลนตั้งนานแล้ว ต้องอดยากอยู่ใต้ดินมาหลายวัน
ในขั้นตอนที่เฉียนโหย่วแจกจ่ายอาหาร สังเกตเห็นบนร่างกายของเหล่าพี่น้องต่างบาดเจ็บ มีทั้งแขนหัก แม้แต่แขนเสื้อก็หายไปด้วย บาดแผลถูกพันด้วยผ้าพันแผลแบบง่ายๆ เผยให้เห็นรอยเลือดเล็กน้อย
“หัวหน้า นี่เกิดอะไรขึ้นกับพวกท่านหรือ” เฉียนโหย่วถาม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนที่กินอย่างตะกละตะกลามต่างหยุดนิ่ง หัวหน้าที่ป่วยกล่าวเสียงเบา “พวกเราเจอเรื่องที่ยากลำบากเข้าน่ะ”
‘เรื่องนี้ คนตาบอดก็มองออกกระมัง’ เฉียนโหย่วกล่าวในใจ
“ในเขาวงกตแห่งนี้ จะเดินอย่างไรก็เดินออกไปไม่ได้ หลังจากที่ข้าพาเหล่าพี่น้องเข้ามาในสุสาน หลุมฝังศพต่างก็มีผีดิบเดินเข้ามาเต็มไปหมด ต้องเสียสละพี่น้องไปไม่น้อยเลยกว่าจะหลุดพ้นจากสิ่งชั่วร้ายนั่นได้ เรื่องนี้ต้องขอบคุณลี่น่า มิฉะนั้นพี่น้องคงตายและบาดเจ็บมากกว่านี้เป็นแน่”
หัวหน้าที่ป่วยเหลือบมองสาวน้อยที่ก้มหน้ากินปิ่ง[2] พลางกล่าวต่อ “หลังจากเข้ามายังสุสานแห่งนั้น พวกเราก็ไม่เคยออกไปอีก ได้แต่วนเวียนมาหลายวันแล้ว จนอาหารและน้ำดื่มลดทีละนิด
“ด้วยเหตุนี้ กองกำลังและยอดฝีมือที่เชิญมาเหล่านั้นเกิดทะเลาะกัน…นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด มีครั้งหนึ่งพวกเราตื่นมา ค้นพบว่าพี่น้องที่ ‘เฝ้ายาม’ หายไปแล้ว
“ตั้งแต่นั้นมา พี่น้องหลายคนได้หายตัวไปโดยไร้สาเหตุทุกวัน ในช่วงท่ามกลางความตื่นตระหนกครั้งใหญ่ของกองกำลัง หลังจากที่พวกเรากับยอดฝีมือที่เชิญมาเหล่านั้นเกิดการแบ่งแยก ทะเลาะกันอย่างรุนแรง และแยกทางกัน
“ไม่นาน พวกเราก็พบว่าคนที่ออกจากกลุ่มเหล่านั้น ได้ตายทั้งหมดแล้ว สภาพการตายช่างน่าอนาถ เหมือนกับเคยถูกอะไรบางอย่างแทะ”
หัวใจเฉียนโหย่วกระตุกวูบ นึกถึงอย่างอธิบายไม่ได้ถึงซากศพที่น่าเวทนาเกินกว่าที่จะทนดูได้ที่ตนสะดุดร่างนั้น
หัวหน้าที่ป่วยดื่มน้ำหนึ่งอึก กลืนอาหารที่อยู่ในปาก พลางกล่าว “สิ่งชั่วร้ายนั้น เป็นสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งมาก มันกำลังไล่ล่าพวกเรา กินวันละสองคนทุกวัน ไม่มากและไม่น้อย”
ขณะที่พูดประโยคนี้อยู่นั้น มีความสั่นคลอนอยู่ในน้ำเสียงของเขาเล็กน้อย
“พวกเราเอาชนะมันมาสองครั้งแล้ว ต้องขอบคุณที่มีลี่น่าอยู่ มิฉะนั้นเจ้าอาจไม่ได้เห็นพวกเราแล้วก็ได้” หัวหน้าที่ป่วยกล่าวด้วยเสียงเคร่งขรึม
“แต่อาการของลี่น่ากลับแย่ลงเรื่อยๆ แล้ว หากไม่มีการบำรุงของอาหารและน้ำ สุดท้ายพวกเราก็คงจะตายกันทุกเมื่อ จริงสิ แล้วเจ้าเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
………………………………………………….
[1] ขนมแป้งทอด
[2] ขนมปัง