CatNovel
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
Advanced
  • หน้าหลัก
  • นิยายทั้งหมด
  • โดจิน
  • นิยายทั้งหมด
  • จบแล้ว
  • นิยายวาย Yaoi
ตอนก่อน
ตอนต่อไป
สล็อตเว็บตรง

ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 313 การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่

  1. Home
  2. ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง
  3. บทที่ 313 การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่
ตอนก่อน
ตอนต่อไป

บทที่ 313 การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่

“สวี่ฉือจิ้วสามารถเขียนบทกวีเหลวไหลเช่นนี้ ข้าสามารถเขียนอะไรก็ได้เพียงแค่สองสามประโยค ก็ทำให้เขาอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนีได้แล้ว ในวันนั้นถ้าหากไม่ใช่เพราะญาติผู้พี่ของสวี่ชีอันที่มอบบทกวีให้ จี้หยกของฆราวาสจื่อหยางชิ้นนั้นก็ควรจะเป็นของข้า”

จูทุ่ยจือนึกถึงงานฉลองเทศกาลในวันนั้น ก็ก่นด่าพึมพำ

“หรืออาจจะเป็นการฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่?” หลิวเจวี๋ยลองทดสอบหยั่งเชิง

“พูดจาเหลวไหล!” บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่เมื่อได้ยินสิ่งนี้ก็โกรธ และต่างพากันถลึงตาจ้องมองเขาทีละคน

การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่…คำคำนี้ปรากฏขึ้นในหัวของจูทุ่ยจือราวกับว่าเข้าใจทุกข้อสงสัยได้ทะลุปรุโปร่งได้ในชั่วพริบตา คำอธิบายที่สมเหตุสมผลว่าทำไมสวี่ฉือจิ้วสามารถถ่ายทอดผลงานชิ้นเอกชิ้นนี้ออกมาได้ เหตุผลที่เป็น ‘ผู้สอบได้ที่หนึ่งในการสอบแข่งขันชิงตำแหน่งบัณฑิต’

จูทุ่ยจือส่ายหัวอย่างไม่รีรอ “เป็นไปไม่ได้ บทกวีไม่ใช่บทความ การรู้หัวข้อการสอบก่อนล่วงหน้าก็จะยิ่งทำให้มีเวลาเตรียมตัวได้เต็มที่ พี่หลิว ข้าให้ ‘วิวทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิ’ เป็นหัวข้อให้พี่ ให้เวลาพี่สามวัน พี่สามารถถ่ายทอดผลงานชิ้นเอกออกมาสักหนึ่งบทได้หรือไม่?”

หลิวเจวี๋ยส่ายหัว “ข้าน้อยรู้สึกอับอายยิ่งนัก ให้เวลาสามปีก็เกรงว่าจะไม่สามารถเขียนออกมาได้”

เขาจิบเหล้าเล็กน้อย แสดงรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหมายลึกซึ้ง พลางพูดเสียงต่ำ “แต่ว่า พี่จูคิดดูสักหน่อย ถ้าคนที่เขียนบทกวีแทนเขา คือฆ้องเงินสวี่ชีอันล่ะ?”

บรรยากาศงานเลี้ยงเงียบลง ไม่ว่าจะบัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หรือบัณฑิตราชวิทยาลัยหลวง ก็ไม่มีใครโต้แย้งได้ในทันที และในหัวก็ยังคิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบอยู่สักพัก

‘ใช่สิ ถ้าหากเป็นสวี่ซือขุยแล้วละก็ หากรู้หัวข้อการสอบล่วงหน้า ไม่ต้องถึงขั้นสามวันหรอก เกรงว่าเพียงวันเดียวก็สามารถเขียนออกมาได้แล้ว’

บทกวีอำลาและบทกวีสรรเสริญ เช่นเดียวกับบทนั้นในอวิ๋นโจว ‘พลีชีพ’ คำในครึ่งบทแรกที่โก่งคอร้องเสียงดังอย่างมีความสุขนั้นล้วนอยู่แนวหน้าของการสู้รบ

บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ยิ่งคิดไปถึงผลงาน ‘กวีปลุกใจในการเรียน’ ที่ติดอยู่บนผนังแสดงผลงาน ความลับของสำนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้รั่วไหล สวี่หนิงเยี่ยนถอนหายใจสิบรอบกว่าจะกลายมาเป็นบทกวีได้ ความสามารถที่ทำให้คนทึ่ง รูปแบบสำนวนสละสลวย

“ฮึ เช่นนั้นฆ้องเงินสวี่ชีอันรู้หัวข้อการสอบได้อย่างไร?”

ถึงแม้ว่าในใจเขาจะคิดเช่นนั้น แต่ปากนั้นกลับไม่สามารถยอมรับได้ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ซักถาม

“ไม่รู้ๆ” หลิวเจวี๋ยกวัดแกว่งมือ และยิ้มพลางพูด “นี่เป็นเพียงคำพูดตอนเมา ข้าแค่คาดเดาสุ่มสี่สุ่มห้า แต่ว่าสวี่ชีอันนั่นเป็นฆ้องเงิน ข่าวลือแพร่สะพัดว่าคนคนนี้ได้รับความไว้วางใจจากเว่ยเยวียนอย่างมหาศาล…”

เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ

มีเพลงสลับฉากนี้ บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่หมดอารมณ์ที่จะดื่ม หลังจากนั่งได้ครู่หนึ่ง พวกเขาก็ลุกขึ้นและกล่าวคำอำลา

หลิวเจวี๋ยที่ชำนาญด้านการสื่อสารได้ลงไปส่งจูทุ่ยจือด้วยตนเอง จากนั้นก็เริ่มทำการตรวจสอบด้วยตนเอง ทุกคนในร้านอาหารก็เริ่มสลายตัวออกไปนอกร้าน

หนึ่งชั่วก้านธูปต่อมา หลิวเจวี๋ยออกไปแล้วและกลับมาแล้ว พร้อมกลับเข้าไปในรถม้าคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านนอกภัตตาคาร

ในรถม้านั้นมีชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเหมือนเศรษฐี นิ้วหัวแม่มือสวมใส่แหวนปานจื่อ ในมือนั้นยกเหอเถาอยู่ ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยกแก้วชา

“ผู้คุมจ้าว!”

หลิวเจวี๋ยก้มตัวคำนับด้วยความเคารพ

ชายวัยกลางคนพยักหน้า วางแก้วชาลง เปิดแก้วชาใบเล็กที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น แล้วรินน้ำชาพลางขมวดคิ้ว

“ทั้งเนื้อตัวเต็มไปด้วยกลิ่นสุรา ดื่มชากันเถอะ”

“ขอบคุณผู้คุมจ้าวยิ่งนัก” ในมือทั้งสองข้างของหลิวเจวี๋ยถือถ้วยชาใบเล็กไว้ พร้อมกับดื่มหมดในอึกเดียว แล้วค่อยๆพูด

“ไถ่ถามได้เรื่องบางส่วนแล้ว ตามที่บัณฑิตสำนักอวิ๋นลู่ว่า สวี่ฉือจิ้วแต่เดิมไม่สามารถเขียนบทกวีได้ มาตรฐานของเขาก็ดูเละเทะ บทกวี ‘การเดินทางอันยากลำบาก’ นั้นจากเก้าในสิบบทเป็นคนอื่นรับจ้างเขียนแทนทั้งนั้น แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มีหลักฐาน”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น ชายวัยกลางคนก็ยิ้มอย่างพอใจ พูดพลางยิ้มเยาะ “ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐาน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”

…

นอกเมือง ในบ้านนั้นปลูกต้นหลิวไว้

นักบวชเต๋าจินเหลียนที่เพิ่งกลืนยาบำรุงครรภ์ลงไป กำลังเคลิบเคลิ้มกับการอาบแสงอาทิตย์ในวันฤดูใบไม้ผลิ รู้สึกว่าร่างกายไม่ได้หนาวเย็น ไม่ได้กำลังจะแปรเปลี่ยนเป็นสารหยินอีกต่อไป ภายในร่างกายยังคงเหลือเศษเสี้ยวของพลังหยินอยู่ ต้องการแค่ยาบำรุงครรภ์หนึ่งเม็ดที่เหลือก็เพียงพอที่จะสามารถขจัดออกไปได้แล้ว

“ร่างเนื้อหนังนี้ไม่เข้ากับจิตวิญญาณเดิมของข้า จึงใช้ได้ไม่นานมากนัก โชคดีที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้ดอกบัวทองกำลังจะเติบโตเต็มที่ เมล็ดบัวสามารถที่จะประกอบเป็นร่างเนื้อหนังใหม่ให้ข้าได้ ข้าก็ควรที่จะออกจากเมืองจิงได้แล้ว”

‘หวังว่าเมื่อถึงเวลา จะไม่มีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นนะ’

นักบวชเต๋าจินเหลียนภาวนาในใจ

…

“ต้าหลาง เอ่อ…แม่นางคนนั้นดูเหมือนจะไม่ใช่บุคคลสำคัญของต้าฟ่ง”

ลูกชายของเหล่าจางผู้เฝ้ายามประตูใหญ่คิด พร้อมบรรยาย “แม่นางผิวดำขี้ริ้วขี้เหร่นางนี้ อีกทั้งยังมีนัยน์ตาสีฟ้า ผมเผ้าดูไม่ได้ ม้วนรุงรังไปหมด”

หมายเลขห้า?!

ให้ตายเถอะ นางมาบ้านข้าทำไม นักบวชเต๋าจินเหลียนให้นางมาหรือ? นางรู้หรือไม่เรื่องที่ข้าเป็นหมายเลขสาม?

นักบวชเต๋าจินเหลียนขอให้เขามาช่วยตามหาหมายเลขห้า ไม่ใช่หมายเลขสาม แต่ก็ยังคงสามารถใช้ ‘ยศขุนนางระดับสามที่แสนต่ำต้อย’ มาปกปิดความจริงได้อยู่

แต่ในขั้นยศของขุนนางรุ่นที่แล้ว ขั้นเก้าถึงขั้นเจ็ดก็ห่วยแตกกันทั้งหมด ถึงขั้นระดับกำเนิดปราชญ์ขั้นหกสามารถลอกเลียนแบบทักษะของคนอื่นๆ ได้ จึงสามารถมีกำลังรบที่เพียบพร้อมมากมายเลยทีเดียว

ในสายตาของฉู่หยวนเจิ่นและเหิงหย่วน แม้ว่าหมายเลขสามสวี่ฉือจิ้วจะฉลาดเป็นอย่างมาก แต่เมื่อถึงเวลาที่จำเป็นจริงๆ พลังต่อสู้อันกล้าหาญของญาติผู้พี่สวี่หนิงเยี่ยนก็ยังน่าเชื่อถือได้มากกว่า

ดูท่าวันนี้คงมีแต่จะต้องลางานแล้วล่ะ…สวี่ชีอันพยักหน้า “ข้าเข้าใจแล้ว รอหลังจากที่ข้าลางาน ข้าจะกลับไปที่จวนกับเจ้า”

หลังจากขอลางานแล้ว สวี่ชีอันก็ขึ้นนั่งบนหลังม้าและควบม้าวิ่งเหยาะๆ มุ่งหน้าไปยังจวนสกุลสวี่ พร้อมด้วยลูกชายของเหล่าจางผู้เฝ้าประตูใหญ่ที่ควบม้าวิ่งเหยาะๆ ควบคู่ไปด้วยอยู่ด้านข้าง

สองชั่วก้านธูปผ่านไป ก็เดินทางมาถึงจวนสกุลสวี่ที่อยู่ไม่ไกลจากศาลาว่าการ สวี่ชีอันนำเชือกบังเหียนม้าส่งให้เสี่ยวจาง แล้วมุ่งตรงเข้าไปในจวน

เมื่อเข้ามาจากลานด้านนอก ก็เห็นเหล่าแม่ครัวกำลังนำกับข้าวร้อนๆ และหมั่นโถว ข้าวสวยจานเล็กๆ เดินยกเข้าไปยังลานด้านใน

“ต้าหลางกลับมาแล้ว…” เหล่าแม่ครัวถอนหายใจด้วยความโล่งอก พูดพลางส่งสายตามองเข้าไปทางลานด้านใน

“มีหญิงสาวนางหนึ่งขึ้นมาที่จวน บอกว่ากำลังตามหาเจ้า ถามว่าเกี่ยวข้องอะไรกันกับเจ้า ตัวนางเองก็อธิบายได้ไม่ชัดเจน เอาแต่พูดพึมพำ ไม่มีสาระ ในสิบประโยคฟังไม่ชัดไปแล้วเก้าประโยค”

ในสิบประโยคฟังไม่ชัดไปแล้วเก้าประโยค ซินเจียงตอนใต้ของหมายเลขห้า สำเนียงค่อนข้างหนักแน่นน่ะ…สวี่ชีอันพูดแขวะแล้วเดินเข้าไปในลานข้างในพร้อมกับแม่ครัว ได้ยินเสียงอ่อนโยนของสวี่หลิงเยวี่ยดังไกลๆ มาจากในห้องโถง

“แม่นางลี่น่าเดินทางจากซินเจียงตอนใต้อันไกลถึงที่นี่ มาหาพี่ใหญ่ของข้าด้วยเรื่องอะไรหรือ?”

“ไม่ได้มาหาพี่ใหญ่ของเจ้า แต่มาหาเพื่อนสองสามคน เชิญฝึกฝนตามสบาย…” น้ำเสียงสำเนียงหนักแน่นดังขึ้น พูดภาษาราชการต้าฟ่งแบบงูๆ ปลาๆ

แต่ทว่าเสียงกลับใสราวกับระฆังเงิน เสนาะหู ถือว่าเพราะเลยทีเดียว

“ก็คือจะบอกว่าเจ้าไม่รู้จักพี่ใหญ่ของข้า?”

“ไม่รู้จัก”

เพียงไม่กี่คำก็สัมผัสได้ถึงรายละเอียดแล้ว แม่นางคนนี้ดูเหมือนจะไม่ฉลาดมากนัก และยังไม่มีความสัมพันธ์ใดกับพี่ใหญ่ด้วย

สวี่หลิงเยวี่ยให้การต้อนรับลี่น่าอย่างอบอุ่น

อาสะใภ้ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ไม่ไกลมากนักขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาที่มองลี่น่าเจือไปด้วยความเป็นศัตรู

‘หญิงต่างถิ่นนางนี้นี่กินเก่งจริงๆ ในเวลาเพียงครึ่งชั่วยามก็ทานอาหารปันส่วนสามวันของที่บ้านไปหมดแล้ว หากแปลงเป็นเงินแล้ว นั่น…ทั้งหมดนั้น คงจะหลายตำลึงเลยสินะ?’

โชคดีที่อาสะใภ้เจาะจงขอให้แม่ครัวจัดเตรียมข้าว หมั่นโถว และผักให้เป็นพิเศษ ถ้าเป็นเนื้อปลาเนื้อสัตว์ละก็ จะเสียเงินทิ้งไปตั้งเท่าไหร่?

‘ใครจะเลี้ยงแม่นางนี้ไหว’

“แม่นางลี่น่า? เจ้ามาทำอะไรที่จวนของข้า”

สวี่ชีอันก้าวข้ามธรณีประตู สายตามองไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่มาจากซินเจียงตอนใต้ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเทียบกับใบหน้าซีดขาวจากการบาดเจ็บ ใบหน้าของนางตอนนี้กลับแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาด ดวงตาสดใส ราวกับว่าอาการบาดเจ็บนั้นดีขึ้นแล้ว

“นักบวชเต๋าจินเหลียนสั่งให้ข้ามาหาท่าน กล่าวว่าในขณะที่อยู่ในเมืองหลวง ให้ข้ามาอยู่กับเจ้าที่นี่ ขอบคุณใต้เท้าสวี่ที่ช่วยชีวิต”

ลี่น่ารีบวางตะเกียบลงอย่างรวดเร็ว กลืนอาหารลง และมองไปยังสวี่ชีอันด้วยความจริงใจเปิดเผย

ตอนแรกนางคิดว่าเมื่อตัวนางมาถึงเมืองหลวงแล้ว คนที่รับดูแลนางหากไม่ใช่เป็นนักบวชเต๋าจินเหลียน ก็คงเป็นหมายเลขสาม หมายเลขสี่ หรือหมายเลขหก ใครจะคิดเล่าว่าในท้ายที่สุดแล้วจะลงเอยด้วยการเข้าอาศัยอยู่ในบ้านของชายแปลกหน้าคนหนึ่ง

นักบวชเต๋าจินเหลียนได้บอกกับนางแล้วถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ลี่น่ารู้ว่าชายหนุ่มฆ้องเงินรูปงามนี้คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนเองเอาไว้

ในเมื่อเขาเป็นเพื่อนที่นักบวชเต๋าเชื่อถือและไว้ใจ ลี่น่าจึงไว้ใจเขาอย่างไม่ลังเล

‘นางเรียกข้าว่าใต้เท้าสวี่ ไม่ใช่หมายเลขสาม…’

สวี่ชีอันจ้องไปที่ลี่น่าชั่วขณะหนึ่ง มองไม่เห็นร่องรอยความน่าสงสัยอันน่าระแคะระคายจากนัยน์ตาสีฟ้าใสที่ไร้เดียงสาคู่นั้น

‘เหตุใดนักบวชเต๋าจินเหลียนจึงจัดวางให้นางอยู่ข้างกายข้ากัน? นี่หมายความว่าอย่างไร?’

เรื่องที่เฒ่าเหรียญปากผีทำล้วนไม่เคยปรึกษากับข้ามาก่อน หากตัดสินจากประสบการณ์ของข้าในการไปมาหาสู่กับเฒ่าเหรียญปากผีแล้ว ทุกครั้งต้องปรึกษาหารือกันเสียก่อน ไม่มีแบบแผนอันใด

ไม่มีการปรึกษาหารือกันก่อน แสดงว่าต้องมีเรื่องราวแอบซ่อนอยู่อย่างแน่นอน

ดังนั้น สวี่ชีอันจึงเอ่ยถาม “นักบวชเต๋ายังบอกอะไรกับเจ้าอีกบ้าง?”

ลี่น่ากัดหมั่นโถวและพูดอย่างคลุมเครือว่า “นักบวชเต๋าจินเหลียนบอกว่าท่านคือสหายคนสนิทของเขาในเมืองหลวง ให้ข้าอยู่ที่เมืองนี้อย่างสบายใจไร้กังวล”

หลังจากกลืนหมั่นโถวแล้ว นางจึงพูดด้วยความโกรธและคับข้องใจว่า “นักบวชเต๋ากล่าวว่าข้าทานเก่งเกินไป ไม่สามารถเลี้ยงดูข้าได้”

เอ่อ… สีหน้าของสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความเฉื่อยชา

‘ที่จริงแล้วเหตุผลที่นักบวชเต๋าจินเหลียนส่งนางมาหาข้าที่นี่ ก็เพราะว่าทานเก่งเกินไป เลี้ยงไม่ไหวหรอกหรือ?’

นี่ช่างเป็นเหตุผลที่ไม่มีช่องโหว่ให้โจมตีได้เลยจริงๆ ด้วยเหตุผลเดียวกัน หมายเลขหกที่อาศัยอยู่บ้านพักคนชรา หรือหมายเลขสี่ที่ไม่ว่าอาหารการกินหรือการอยู่อาศัยก็ล้วนพึ่งพาสหาย นั่นก็เลี้ยงดูเด็กหญิงตัวน้อยที่มาจากซินเจียงตอนใต้นางนี้ไม่ได้เช่นกัน

‘ให้ตายเถอะ ความรู้สึกเหมือนได้รับการปฏิบัติเหมือนเศรษฐีนี่ช่างแย่เสียจริง ผู้คนอาศัยอยู่ในยุทธภพ หากไม่ใช่เจ้าที่อาศัยอยู่อย่างเปล่าประโยชน์ คงเป็นข้าที่เปล่าประโยชน์ นี่คือการลงโทษสินะ…’ สวี่ชีอันถอนหายใจ “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง”

‘แค่กๆ!’

อาสะใภ้ส่งเสียงไอเต็มแรง แสดงถึงตัวตนการมีอยู่ของการเป็นนายหญิงของบ้าน

แต่สวี่ชีอันไม่สนใจนาง และพูดด้วยตนเองว่า “เอาล่ะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้เจ้าทันที”

“สวี่หนิงเยี่ยน!” อาสะใภ้ตะโกนร้องด้วยความโกรธ ลุกขึ้นจากเก้าอี้และเท้าสะเอวบางนั้น ก่อนจะจ้องด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเคืองโกรธ “ข้าคือป้าของเจ้า เจ้า…เจ้าไม่คิดที่จะปรึกษากับข้าบ้างเลยสักนิดอย่างงั้นหรือ?”

ขณะที่พูด ดวงตาก็เหลือบมองไปยังโต๊ะอาหารที่มีถ้วยชามวางระเกะระกะ บอกกับหลานชายที่แสนโชคร้ายของนางว่านังเด็กนางนี้เป็นหลุมดำ

นี่…สวี่ชีอันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง การพิจารณาของอาสะใภ้เองก็สมเหตุสมผล ราคาสิ่งของที่เมืองหลวงนั้นแพง เด็กสาวนางนี้ทานเยอะมาก ช่างเปลืองเงินเสียจริง

ยิ่งกว่านั้น โชคของข้าในช่วงนี้เองก็เปลี่ยนแปลงไป ไม่สามารถเก็บเงินได้แล้ว ได้แต่เปลี่ยนเป็นสะสมชื่อเสียง จากนั้นเว่ยเยวียนก็หักเงินเดือนของข้าอีก

“พี่ชายใหญ่ลืมผงปรุงรสไก่ไปแล้วหรือ?”

เวลานี้ สวี่หลิงเยวี่ยเอ่ยปากพูด นางก็ทำการคิดคำนวณเก็บเงินกับสวี่ชีอัน “ที่ทำการปกครองขนส่งเกลือ เมื่อปีที่แล้วออกตั๋วเกลือไปสองพันชั่ง ได้กำไรมาห้าพันตำลึง พี่ใหญ่ถือครองสัดส่วนในนั้นอยู่หนึ่งในสิบ ได้ห้าร้อยตำลึง เงินนี้ท่านไม่เคยได้คืนจากสำนักโหราจารย์เลยนะ

“ข้าถามเจ้าพนักงานของที่ทำการปกครองขนส่งเกลือ ว่าราชสำนักมีแผนที่จะเปิดโรงงานหัตถกรรมอย่างน้อยสิบหลังในปีนี้เพื่อทำผงปรุงรสไก่ รอคำนวณงบบัญชีรายรับรายจ่ายของปลายปีนี้ก่อน ซึ่งคงจะทำให้มั่งคั่งมหาศาลอย่างคาดไม่ถึงเลยทีเดียว ดังนั้น ครอบครัวของเราก็ไม่ขาดแคลนเงินแล้วล่ะ”

‘ตั๋วเกลือ’ ที่สวี่หลิงเยวี่ยพูดนั่นหมายถึงผงปรุงรสไก่ ตอนนี้ผงปรุงรสไก่กับเกลือนั้นก็เหมือนกัน ได้กลายเป็นวัตถุดิบเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับราชสำนัก ปีที่แล้วยอดขายสูงเฉียดฟ้า ยังไม่มีวิธีผลิตในปริมาณที่มากมาย แต่หลังจากขยายขนาดการผลิตในปีนี้ ผลกำไรก็นับไม่ถ้วน

ถ้าเจ้าไม่พูด ข้าก็ลืมไปแล้วจริงๆ… ต้องเป็นท่านโหราจารย์ ตาเฒ่าไม่ดีคนนั้นแน่ๆ ที่ปกปิดผงปรุงรสไก่ไว้ ทำให้ข้าคิดไม่ถึง ว่าเขาคิดจะโกงเงินของข้า

สวี่ชีอันแปลกใจระคนดีใจเมื่อพบว่าที่จริงแล้วตัวเขาเองก็เป็นแจ็ก หม่าของยุคนี้

ลี่น่าฟังไม่เข้าใจอะไรเลย แต่รู้สึกว่าท่าทางของนางดูเก่งมาก นางเดินทางหลายหมื่นลี้จากซินเจียงตอนใต้มาถึงเมืองหลวง รู้ว่าหนึ่งเหรียญทองแดงสามารถซื้ออะไรได้ และเงินสามารถซื้ออะไรได้

ในขณะเดียวกัน ก็รู้ว่าการหาเงินนั้นเป็นเรื่องที่ยากขนาดไหน

นางมองไปทางคนคนนั้นโดยไม่รู้ตัว ‘ใต้เท้าสวี่’ ในสายตาของนางแสดงความเลื่อมใสศรัทธาออกมาอย่างแท้จริง ราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่เห็นพี่ชายเพื่อนบ้านลวกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สวมกางเกงยีน ที่เอวมีโซ่เหล็กห้อยคล้องลงมา เต้นรำอยู่ในลานบ้านของตนเอง

“ทำไมข้าถึงไม่รู้เรื่องนี้” อาสะใภ้กล่าวด้วยความสงสัย

“อาสะใภ้ไม่ทราบหรอกหรือ ข้าให้หลิงเยวี่ยไปบอกอาสะใภ้แล้วนะ” สวี่ชีอันถือโอกาสมองไปทางน้องหญิง แต่ใบหน้าของสวี่หลิงเยวี่ยงุนงง

“แม่นางสวี่ลืมไปแล้วหรอกหรือ”

อาสะใภ้อ้าปาก แต่พูดอะไรไม่ออก นางไม่แน่ใจว่าตนเองนั้นลืมไปหรือเปล่า เหรียญใหญ่ขนาดนี้กลับไม่มีภาพ ‘กำไร’ ในความทรงจำเลย

เวลานี้ ลี่น่าถามด้วยน้ำเสียงเลื่อมใสศรัทธา “ข้าขอถามชื่อจริงของใต้เท้าสวี่ได้หรือไม่”

วิธีการเอ่ยถามแบบนี้เป็นสิ่งที่นางได้เรียนรู้จากการพเนจรไปทั่วในยุทธภพต้าฟ่ง

“สวี่ชีอัน!”

“สวี่…สวี่ชีอัน” ลี่น่าเอียงศีรษะ ครุ่นคิดอยู่นานและจู่ๆ ก็ร้องเสียงแหลมออกมา “เจ้าก็คือสวี่ชีอัน เจ้าไม่ได้ตายในอวิ๋นโจวหรอกหรือ?”

อาสะใภ้และสวี่หลิงเยวี่ยมองดูอย่างสงสัย

‘สาวต่างชาติคนนี้อ้างว่าตนรู้จักสวี่ชีอัน แต่เธอกลับไม่รู้เรื่องการตายและฟื้นคืนชีพของเขา เช่นนั้น แล้วนางมาทำอะไรถึงที่จวน?’

“ถอยออกไปคุยกันหน่อย”

สวี่ชีอันลากลี่น่าออกมาจากห้องโถง หยุดลงที่แปลงดอกไม้ พร้อมอธิบาย

“ข้ายังไม่ได้ตาย แต่หลี่เมี่ยวเจินทำผิดพลาดไป อือ…อันที่จริงข้าเป็นสมาชิกชั้นนอกของพรรคฟ้าดิน แม้ว่าข้าจะไม่มีชิ้นส่วนของหนังสือปฐพี แต่เรื่องของพวกเจ้า ข้ารู้อย่างแจ่มแจ้งราวกับตาเห็น”

“มิน่าเล่า นักบวชเต๋าจินเหลียนถึงให้ข้ามาหาเจ้า” ลี่น่าแสดงรอยยิ้มที่มีความสุข เชื่อคำพูดของสวี่ชีอันอย่างง่ายดายโดยไม่ระแคะระคายสักนิด

หลอกง่ายเสียจริงเชียว…

สวี่ชีอันพูดอย่างจริงจัง “นี่เป็นความลับ เจ้าไม่สามารถเปิดเผยให้โลกภายนอกรู้ได้ แม้แต่ภายในพรรคฟ้าดินก็ไม่ได้”

“ได้!”

ลี่น่ายิ้มหวานและพยักหน้าอย่างแรง นางยิ้มออกมาอย่างสดใส ซินเจียงตอนใต้นั้นร้อนระอุ ผิวของลี่น่าเป็นสีข้าวสาลีที่แลดูสุขภาพดี แต่ในมุมมองความงามของต้าฟ่งที่สนับสนุนสีผิวขาว นี่นับว่าดำคล้ำไปเล็กน้อย

“ไปกินข้าวกันเถอะ”

ถ้าทุกคนบนโลกใบนี้บริสุทธิ์และไร้เดียงสาดั่งเช่นหมายเลขห้า ก็คงจะดีไม่น้อยเลยทีเดียว…

สวี่ชีอันมองแผ่นหลังที่กระโดดอย่างคึกคักร่าเริง พร้อมทอดถอนใจออกมาจากใจ

เขายังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องการจะถามหมายเลขห้า เช่น นางรู้ได้อย่างไรว่าหมายเลขสามคือคนที่หยิบเงินไป แถมยังบอกว่าเพื่อนเป็นคนทำอีก

ไม่ต้องรีบร้อน คนที่มีบุคลิกบริสุทธิ์เรียบง่ายมักจะดื้อรั้นมากกว่า หากกำชับให้ปกปิดเป็นความลับก็จะปิดเป็นความลับอย่างแน่นอน

แต่กินของเขารับของเขามาก็ไม่กล้าพูดได้เต็มปากเต็มคำ รอให้นางอยู่กินในบ้านอีกสักสองสามวัน เพียงแค่นางมีจิตใจที่มีคุณธรรมเพียงเล็กน้อย ก็จะรู้ว่าการขายศักดิ์ศรีนั้นไม่ถูกต้อง

…

สำนักราชเลขาธิการ

หวางเจินเหวินสวมชุดคลุมสีแดงนั่งอ่านเอกสารอยู่ที่โต๊ะ เขานั่งอยู่อย่างนี้มาสองชั่วยามแล้ว ในระหว่างนั้นนอกจากเข้าห้องน้ำเพียงไม่กี่ครั้งแล้ว ก็อุทิศเวลาทั้งหมดให้กับงานราชการ

สำนักงานราชเลขาธิการเปรียบดั่งเลขาส่วนตัวของจักรพรรดิ ทรงอำนาจยิ่งใหญ่กว่าหกชั้นศาลมาก

สาส์นกราบทูลข้อราชการของขุนนางทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ของราชสำนัก หรือแม้กระทั่งคำแนะนำของประชาชนทั่วไปที่มีต่อจักรพรรดิ ก็ต่างถูกรวบรวมโดยหน่วยงานส่วนกลางฝ่ายกิจการทั่วไป โดยผู้ตรวจและอ่านฎีกาจะรายงานไปยังจักรพรรดิเพื่อให้ตรวจสอบ และจากนั้นจึงส่งมอบให้กับสำนักงานราชเลขาธิการ

สำนักงานราชเลขาธิการมีหน้าที่ร่างความคิดเห็นในการจัดการ จากนั้นขันทีผู้ตรวจและอ่านฎีกาจะรายงานความคิดเห็นนั้นแด่องค์จักรพรรดิ เพื่อตัดสินใจครั้งสุดท้ายว่าจะจัดการกับเรื่องราวเหล่านี้อย่างไร และสุดท้ายหกชั้นศาลก็จะออกทำการ

เมื่อถึงรัชสมัยของจักรพรรดิหยวนจิ่ง หน่วยงานส่วนกลางฝ่ายกิจการทั่วไปได้ส่งมอบอนุสรณ์แก่สำนักงานราชเลขาธิการโดยตรง สำนักงานราชเลขาธิการร่างความคิดเห็นในการจัดการ และในท้ายที่สุดก็จะส่งมอบแด่จักรพรรดิหยวนจิ่ง

กระบวนการระหว่างกลางนั้นถูกละเว้นไว้

เป็นเพราะองค์จักรพรรดิหยวนจิ่งเชื่อว่า กระบวนการระหว่างกลางนั้นขัดขวางการฝึกฝนของพระองค์

แต่กระบวนการระหว่างกลางที่ละเว้นไว้นั้น กลับเป็นสิ่งที่ละเอียดที่สุดพอดี เพราะด้วยวิธีนี้ สิ่งที่จักรพรรดิหยวนจิ่งทรงทอดพระเนตรเห็น มีเพียงสิ่งที่สำนักงานราชเลขาธิการต้องการให้เห็นเท่านั้น

แน่นอนว่า แม้จักรพรรดิหยวนจิ่งจะไม่ใช่องค์จักรพรรดิที่ดี แต่ท่านก็จัดว่าเป็นจักรพรรดิที่เชี่ยวชาญอำนาจ เพื่อควบคุมอำนาจที่มากเกินไปของข้าราชบริพาร และตรึงอำนาจจักรพรรดิ เขาคิดถึงวิธีที่ดีและสวยงามที่สุดสำหรับทั้งสองฝ่าย

และชื่อของวิธีนี้คือ ‘เว่ยเยวียน’

จากมุมมองของสถานการณ์โดยรวมแล้ว ฝ่ายการเมืองและฝ่ายพันธมิตรของเว่ยเยวียนเปรียบได้ดั่งน้ำและไฟ หากมองโดยมุมมองที่แคบลงมา การต่อสู้ระหว่างฝ่ายต่างๆ เองก็ต่างดุเดือด

จักรพรรดิหยวนจิ่งนั่งอยู่บนแท่นตกปลา รับผิดชอบในการรักษาสมดุลระหว่างทั้งสองฝั่ง และฝึกฝนด้วยความสบายใจ

หวางเจินเหวินเปิดอนุสรณ์ชุดสุดท้าย หลังจากอ่านเนื้อหาทั้งหมด เขาไตร่ตรองและนั่งเงียบเป็นเวลานาน จากนั้นจึงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและเขียนข้อเสนอแนะของตัวเองลงไป ก่อนจะนำไปแปะไว้บนแผ่นอนุสรณ์

หลังจากจัดการเรื่องราวทั้งหมด ก็เป็นเวลาพลบค่ำพอดี

…

ตกเย็น โต๊ะอาหารของจวนสกุลสวี่ก็มีสหายร่วมรบนามสวี่หลิงอินเพิ่มมาอีกคน

สำหรับพี่สาวที่โผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ สวี่หลิงอินก็ทั้งรักทั้งเกลียด รักเพราะหลังจากการมาของ ‘พี่สาว’ อาหารของครอบครัวก็เพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ

เกลียดก็เพราะพี่สาวคนนี้กินเยอะเกินไปจริงๆ…

‘ปากของตนก็เล็กเพียงเท่านี้ ยังไงก็กินได้ไม่เยอะเท่านาง’

ใบหน้าของอารองสวี่มืดครึ้มลง สายตามองสำรวจไปที่ลี่น่า ก่อนจะหันศีรษะมาถามหลานชาย “นางเป็นคนของเผ่าพันธุ์กู่จากซินเจียงตอนใต้ใช่หรือไม่ คนของพวกลี่กู่?”

ลี่น่าเงยหน้าขึ้นจากชาม โดยมีเมล็ดข้าวติดอยู่ข้างมุมปาก และพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “ข้าเป็นพวกลี่กู่ อารองสวี่รู้ได้อย่างไรกัน”

‘ใครเป็นอารองของเจ้ากัน!’ สวี่ผิงจื้อเยาะ

ย้อนกลับไปเมื่อครั้งการต่อสู้ในด่านซานไห่ เขาได้รับประสบการณ์เกี่ยวกับสงครามนั้นด้วยตัวของเขาเอง และได้เห็นความแข็งแกร่งทางด้านกายภาพที่น่าสะพรึงกลัวของพวกลี่กู่ที่แสนป่าเถื่อน ลักษณะพิเศษของพวกเขาก็คือกินเยอะเป็นบ้าเป็นหลัง

การที่สมาชิกเผ่าลี่กู่ที่แข็งแรงสักคน ล้มวัวหนึ่งตัวและกินเนื้อของมันหมดภายในหนึ่งวันนับว่าเป็นเรื่องปกติ

ในปีนั้นเว่ยเยวียนไม่เคยจับเผ่าลี่กู่เป็นเชลยเลยสักครั้ง แต่กลับฆ่าพวกเขาทันทีเพื่อรักษาอาหารเอาไว้

“พี่ใหญ่ มีเรื่องจะพูดกับท่านสักเรื่อง” สวี่ซินเหนียนเปิดปากพูดออกมากะทันหัน

“รู้ตั้งนานแล้วว่าเจ้าต้องมีเรื่อง คิ้วไม่คลายออกเลยแม้แต่น้อย…ลองพูดมาสิ” สวี่ชีอันตอบกลับญาติผู้น้องไปด้วย พลางแย่งชิงเนื้อกับลี่น่าไปด้วย

“คุณหนูใหญ่แห่งบ้านสกุลหวางชวนข้าออกไปชมทะเลสาบพรุ่งนี้” สวี่ซินเหนียนเอ่ยด้วยความระมัดระวัง

“เจ้าคิดว่าอย่างไร?” สวี่ชีอันพูดเสียงครึ้ม

สวี่ซินเหนียนร้อง ‘เหอะ’ ออกมา วางตะเกียบลงก่อนจะพูดอย่างเหยียดหยาม “มีเหตุผลเพียงสองประการ หากไม่ด้วยความแค้นส่วนตัว ก็เพราะต้องการหาทางแก้แค้นให้กับหลานสาวเจ้ากรม

“หรือไม่ก็สมุหราชเลขาธิการหวางไม่ต้องการปล่อยข้าไป ต้องแอบทนอยู่อย่างลับๆ”

“แล้วเจ้าคิดว่าจะเป็นความเป็นไปได้ประการใด?” สวี่ผิงจื้อกล่าวต่อ

สวี่ซินเหนียนครุ่นคิดอยู่สักพัก ก่อนจะพูดด้วยความสงสารว่า “แม้ว่าในอนาคตข้าอาจจะกลายเป็นเป็นคนสนิทของสมุหราชเลขาธิการหวาง แต่เขาก็คงไม่ระลึกถึงขนาดนั้น ข้าคิดว่าเป็นคุณหนูหวางเสียเองที่ต้องการทำเรื่องเลวร้าย”

เมื่อได้ยินดังนั้น สวี่หลิงเยวี่ยก็วางตะเกียบลง ใบหน้าเล็กๆนั้นเต็มไปด้วยความจริงจัง “พี่ชายสอง ท่านไม่เก่งกาจเรื่องการรับมือกับผู้หญิง ข้าจะไปกับท่านด้วย…”

นางรีบเหลือบมองไปยังสวี่ชีอัน และกลับคำ “แม้ว่าตัวข้าจะไม่รู้จักวิธีการต่อสู้ที่ยุ่งเหยิงแบบนั้น แต่อย่างไรเสียผู้หญิงก็ยังเข้าใจผู้หญิงด้วยกันได้ดีที่สุด”

สวี่ซินเหนียนหัวเราะเยาะปัญญาของน้องสาวคนโต “ใครบอกว่าข้าจะต้องไป? เป็นคุณหนูหวางที่เชิญชวนข้าไปชมทะเลสาบ ไม่ใช่สมุหราชเลขาธิการหวางเสียหน่อย หากเป็นเช่นนี้ ชายยังไม่แต่งงาน หญิงยังไม่แต่งออก ไปชมทะเลสาบด้วยกันก็จะเป็นการเสื่อมเสีย ข้าปฏิเสธไปก็เท่านั้น

“ตำราพิชัยสงครามกล่าวไว้ว่า หากศัตรูรุกรานให้เราถอย เมื่อความแข็งแกร่งนั้นอ่อนแอลงก็มิอาจต่อสู้กับแนวหน้าต่อไปได้”

ไม่เลว จัดการได้ไม่เลวเลย…สวี่ชีอันพยักหน้า “ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแล้ว ยังจะถามข้าไปเพื่ออะไร”

ทั้งครอบครัวทานไปพูดไป บรรยากาศอบอวลไปด้วยความกลมเกลียว

…

วันรุ่งขึ้น เมื่อจักรพรรดิหยวนจิ่งเสร็จสิ้นการนั่งสมาธิ ศึกษาพระคัมภีร์เป็นเวลาครึ่งชั่วยาม ทานยาเม็ดและพักจิตหนึ่งก้านธูป การฝึกฝนในยามเช้าก็สิ้นสุดลง

ในขณะนั้น เขาถึงจะหยิบยกเวลาว่างขึ้นมาอ่านสาส์นเพื่อไม่ให้ล่าช้าเกินไป เพราะสำนักงานราชเลขาธิการได้ทำการ ‘ลงคะแนนเสียง’ ไว้เรียบร้อยแล้ว เขาเพียงต้องอนุมัติประทับตราแดงก็เท่านั้น

เขาเปิดสาส์นฉบับแรกขึ้น เป็นสาส์นจากข้าราชการสำนักฝ่ายซ้ายที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นใหม่ เนื้อหาคือการกล่าวโทษจ้าวถิงฟาง ยื่นมติไม่ไว้วางใจจากสำนักบัณฑิตเหอตงว่ารับสินบน โดยการเปิดเผยคำถามแก่สวี่ซินเหนียน บัณฑิตจากสำนักอวิ๋นลู่

ในสาส์นยังมีหลักฐานว่า ในขณะที่สอบระดับมณฑล บทกวีของบัณฑิตควรอยู่ขั้นสี่ ชั้นที่ต่ำที่สุดคือขั้นห้า ถึงจะสามารถเขียนบทกวีที่สืบทอดต่อกันมาอย่าง ‘การเดินทางอันยากลำบาก’ ได้อย่างไร

เมื่อทอดพระเนตรถึงตรงนี้ จักรพรรดิหยวนจิ่งไม่สนใจเลยแม้แต่น้อย ถ้อยคำบทกวีไม่ใช่บทความ หากเป็นข้อสอบบทความที่หลุดออกไป แสดงว่านั่นคือเหตุการณ์ที่ร้ายแรงมาก ในขณะที่ถ้อยคำบทกวีนั้นเบากว่า แม้ว่าเจ้าจะรู้ข้อสอบ แต่เจ้าก็จะพบว่าการหานักกวีที่ดีนั้นยากกว่าการได้รับข้อสอบมามากมายนัก

แต่หลังจากนั้น ในสาส์นยังมีการกล่าวอีกว่า ‘นักเรียนดังกล่าวมีลูกพี่ลูกน้องชาย ที่เป็นฆ้องเงินจากที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล นามว่าสวี่ชีอัน’

แต่ดั่งที่ผู้คนรับรู้ สวี่ชีอันนั้นคือ ซือขุยแห่งต้าฟ่ง

เมื่ออ่านอนุสรณ์จบ ดวงตาของจักรพรรดิหยวนจิ่งก็ปรากฏความเฉียบคมขึ้น แต่เขาไม่ได้แสดงความคิดเห็น จากนั้นจึงถอดใบ ‘ลงคะแนนเสียง’ ของสำนักราชเลขาธิการออกมา บนนั้นเขียนถึงคำแนะนำของสำนักราชเลขาธิการ

‘การสอบเคอจวี่เป็นการสอบคัดเลือกขุนนางระดับสูงสุด ตั้งแต่โบราณกาลมาเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างที่สุด การทุจริตในการสอบเคอจวี่เป็นสิ่งที่ไม่อาจยอมรับได้ หวังว่าพระองค์จะทรงตรวจสอบอย่างเคร่งครัด’

จักรพรรดิหยวนจิ่งครุ่นคิดเพียงครู่ ก็หยิบปากกาขึ้นมาแล้วตวัดขีดประทับตราสีแดง

……………………………………………………

ตอนก่อน
ตอนต่อไป

ความคิดเห็นทั้งหมดของ "บทที่ 313 การฉ้อโกงการสอบขุนนางระดับเคอจวี่"

ใส่ความเห็น ยกเลิกการตอบ

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

*

*

  • อ่านนิยาย
  • แทงหวย24

© 2020 cat-novel.com
เว็บอ่านนิยาย นิยาย pdf เว็บ “cat-novel.com” เว็บอ่านนิยายสนุกๆ เพลิดเพลินไปกับนิยายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น นิยายวาย, นิยายจีน, นิยายรัก, แฟนตาซี, กำลังภายใน, ผจญภัย สุดยอดวิชากำลังภายใน อัพเดททุกวัน พร้อมรองรับการอ่านบนมือถือ คอมพิวเตอร์ ไอแพด หรือแท็บเล็ต อ่านได้ตลอดเวลา ไม่มีโฆษณา อ่านนิยายฟรีต้อง เว็บ ”cat-novel.com”
นิยาย อ่านนิยาย นิยาย pdf นิยายวาย อ่านนิยายฟรี นิยายออนไลน์