ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 315-2 ทำลายการแข่งขันอย่างไร (2)
บทที่ 315 ทำลายการแข่งขันอย่างไร? (2)
พระราชวัง
ภายในสวนเต๋อซิน ฮว๋ายชิ่งในชุดกระโปรงสีเขียวนั่งอยู่หลังโต๊ะทรงพระอักษร นางหันหน้าไปกล่าวกับหัวหน้าทหารรักษาพระองค์จากตำหนัก “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าออกไปเถอะ”
หลังจากหัวหน้าทหารองครักษ์จากไป ฮว๋ายชิ่งก็หยัดกายขึ้น เดินไปทางหน้าต่าง ขมวดคิ้วครุ่นคิด “หากเป็นข้า ข้าจะทำลายแผนการนี้อย่างไรดี”
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน นางก็ส่ายหน้าพลางถอนใจ
จากนั้น นางก็คิดอีกครั้งว่า หากเป็นสวี่หนิงเยี่ยน เขาจะทำอย่างไร
…
ภายในโรงเหล้าแห่งหนึ่ง ซุนเย่าเยว่จองห้องส่วนตัวและเชิญสหายร่วมสำนักจากราชวิทยาลัยหลวงมาร่ำสุรา หากแต่เป้าหมายสำคัญก็คืออยากร่วมกันแบ่งปันเหตุการณ์สำคัญที่กำลังสั่นสะเทือนสำนักบัณฑิตแห่งเมืองหลวงตอนนี้
“เช้านี้บิดาข้าได้ส่งคนไปคุมตัวฮุ่ยหยวนสวี่ซินเหนียนมาแล้ว กล่าวกันว่าเขาติดสินบนผู้คุมสอบครั้งนี้”
“ข่าวจริงหรือไม่” บัณฑิตจากราชวิทยาลัยหลวงท่าทางตื่นตะลึง
“แน่นอน ข้าไปที่กรมอาญาเพื่อยืนยันและถามท่านพ่อด้วยตนเอง แม้ว่าจะโดนไล่ให้กลับไปโดยเร็ว แต่รองเจ้ากรมก็เปิดเผยให้ข้าทราบแล้ว ตอนนี้สวี่ซินเหนียนก็อยู่ในคุก รอรับโทษอยู่” ซุนเย่าเยว่กวาดตามองสหายของตน เอ่ยด้วยความภาคภูมิใจ
เขาเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้ากรมซุน ปัญญาฉลาดเฉลียวไม่น้อย และแข็งแกร่งกว่าพี่น้องคนอื่นๆ แต่เขากลับมีโรคที่รักษาไม่หายขาด นั่นคือนิสัยชอบนินทาว่าร้ายผู้อื่น
ซุนเย่าเยว่ทั้งอิจฉาและโกรธเคืองสวี่ซินเหนียนบัณฑิตสำนักอวิ่นลู่ที่ได้รับตำแหน่งฮุ่ยหยวน ทว่าตอนนี้อีกฝ่ายถูกคุมขังในข้อหาฉ้อโกงข้อสอบเคอจวี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเขามีความสุขเพียงไร
“ฆ้องเงินสวี่ชีอันนั้นไม่ใช่ลูกผู้ชาย มันอาศัยบารมีของเว่ยกง สำแดงฤทธาอวดอ้างอำนาจไปทั่วเมืองหลวง และเขียนบทกวีเหยียดหยามพ่อของข้า น่าแทงให้ตายด้วยดาบสักพันเล่ม”
ซุนเย่าเยว่ฟาดมือลงบนโต๊ะ แล้วส่งเสียงหัวเราะเยาะ “หากกำจัดเขาไม่ได้ ก็กำจัดญาติผู้น้องของเขาแล้วกัน ฮ่าๆๆ ดื่มๆ”
เมื่อบัณฑิตของราชวิทยาลัยหลวงทราบข่าวเรื่องนี้ก็ทั้งแปลกใจและสะใจในคราวเดียว ฮุ่ยหยวนที่สอบคัดเลือกช่วงวสันต์ผ่านเข้ารอบนั้นมาจากสำนักอวิ๋นลู่ เช่นนี้ศักดิ์ศรีของบัณฑิตเหล่าราชวิทยาลัยหลวงไปอยู่ที่ใด
จะต้องเป็นการฉ้อโกงเท่านั้น ฉ้อโกงอย่างแน่นอน ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ยอมรับได้
“พี่ซุน มีความสุขคนเดียวไม่เท่ามีความสุขร่วมกันนะ เรื่องน่ายินดีเช่นนี้ พวกเราช่วยกันกระจายข่าวไปให้ทั่วดีกว่า”
“ตกลง ตามที่เจ้าว่า เจอกันคืนนี้ที่สำนักสังคีต”
หลังจากรับประทานอาหารและร่ำสุรากันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว ซุนเย่าเยว่ก็ออกจากโรงเหล้ามาด้วยความเมามาย แล้วเดินไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ด้านนอกโดยมีบ่าวคอยช่วยประคองร่างอยู่ไม่ห่าง
ขณะที่เขากำลังจะงีบหลับ สายตาก็พลันเหลือบไปแมวสีส้มตัวหนึ่งนั่งอยู่บนหมอนนุ่ม ม่านตาสีเหลืองอำพันของมันนั้นจ้องตรงมาทางเขา
ไม่มีการเคลื่อนไหวใด รถม้ายังคงเคลื่อนไปข้างหน้า ทันใดนั้น หน้าต่างก็เปิดออก แมวสีส้มกระโดดออกไป หางของมันสะบัด ก่อนที่ร่างของมันจะหายลับไปท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน
…
กรมอาญา
เจ้ากรมซุนเรียกเจ้าพนักงานเข้ามาเอ่ยถาม “เข้าไปที่คุก ตรวจสอบดูว่าสวี่ซินเหนียนรับสารภาพแล้วหรือยัง”
เจ้าพนักงานรีบนำคำสั่งไปถ่ายทอด หลังจากรออยู่ครู่หนึ่ง เขาก็กลับมารายงานอีกครั้ง “เรียนท่านเจ้ากรม สวี่ซินเหนียนยืนกรานหนักแน่น ทุบตีอย่างไรก็ไม่ยอมรับสารภาพเลยขอรับ”
“เช่นนั้นคงจะยังไม่ทรมานมากพอ” เจ้ากรมซุนแค่นเสียง “ให้เขาได้ลิ้มรสความทรมานแสนสาหัส ประเดี๋ยวก็หลุดปากออกมาเอง”
“ขอรับ”
เจ้าพนักงานก้าวออกไป ตอนนั้นเองใครบางคนก็พุ่งเข้ามาทันที คนผู้นี้แต่งกายหรูหรา ผมสีขาวโพลน เขาปราดเข้ามาด้วยความเร็วปรี่จนสะดุดเข้ากับขอบประตูทีหนึ่ง
“เจ้ามาทำอะไรที่นี่” เจ้ากรมซุนขมวดคิ้วถาม
คนผู้นี้เป็นพ่อบ้านจากจวนสกุลซุน คอยรับใช้อยู่ข้างกายของเจ้ากรมซุนมานับหลายสิบปีแล้ว
“นายท่าน เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ” บ่าวผู้นี้ร่ำไห้ เอ่ยเสียงสะอื้น “คุณชาย หายตัวไปขอรับ”
“อะไรกัน เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
สีหน้าของเจ้ากรมซุนแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ลุกเดินเข้ามา แล้วจ้องเขม็งไปทางบ่าวรับใช้ ถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “เจ้าพูดเรื่องอะไรกัน”
“บ่าวที่ติดตามคุณชายกลับมาที่จวนแล้วรายงานว่า วันนี้คุณชายชวนสหายไปสังสรรค์ที่สำนักสังคีต แต่หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ก็ขึ้นรถม้า…จากนั้นก็หายตัวไปเลยขอรับ หลังจากรถม้ามาถึงจวนแล้วจึงพบว่าไม่มีใครอยู่ข้างในรถม้าเลย”
พ่อบ้านชรามือไม้เงอะงะด้วยทำอะไรไม่ถูก เขาลนลานกล่าวต่อท่าทางระแวดระวัง “หลายคนบอกว่า บางที บางทีคุณชายอาจจะไปล่วงเกินใครเข้า?”
มีกฏที่รู้กันในแวดวงขุนนางว่าหากเป็นการต่อสู้ทางการเมืองแล้วจะไม่มีการโยงครอบครัวเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด ไม่ใช่เพราะบรรทัดฐานทางศีลธรรมสูงส่งแต่อย่างใด แต่หากเราทำลงไป คนอื่นก็จะเอาคืนหนักกว่าเดิม
และจะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกนอกคอกด้วยเหตุนี้ และถูกตัดขาดจากวงสังคมไปด้วย
อำนาจของกฎปากเปล่านี้มีผลอย่างมาก และแม้แต่ราชสำนักเองก็เห็นชอบ ไม่มีการบัญญัติอย่างชัดเจนตายตัว เพราะเป็นเรื่องที่ไม่อาจพูดกันอย่างเปิดเผยได้
อย่างไรก็ดี ต้าฟ่งยังมีกฎระเบียบข้อหนึ่ง คือไม่ว่าจะเป็นขุนนางคนใดเมื่อเข้าสู่เมืองหลวงเพื่อรับราชการแล้ว บิดามารดา ภรรยา และบุตรของคนผู้นั้นก็จะต้องตามเข้ามาอาศัยในเมืองหลวงด้วยเช่นกัน
จุดประสงค์ของกฎเกณฑ์นี้คืออะไร?
กฏเกณฑ์นี้จะปูทางไปสู่กฏปากเปล่าที่ว่า เพื่อแสดงให้เห็นว่ากฏที่ว่านั้นศักดิ์สิทธิ์เพียงไร
ล่วงเกินใครบางคนเข้างั้นหรือ…เจ้ากรมซุนพึมพำกับตนเอง ในหัวผุดชื่อของสวี่ชีอันขึ้นมาทันที
“บัดซบ!”
เจ้ากรมซุนตะคอกดังลั่น เคราสั่น ด้วยไม่อาจข่มกลั้นโทสะไว้ได้ “เจ้าคิดว่าการลักพาตัวบุตรชายของข้า จะทำให้ทางการยอมอ่อนข้อให้อย่างนั้นหรือ? เจ้าโง่ เจ้าหาเรื่องใส่ตนเองแล้ว! ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายของข้า ข้าจะทำให้เจ้าไร้ที่ยืนต่อไปในเมืองหลวง ไม่สิ ทั้งครอบครัวของเจ้าต้องพินาศ”
หลังจากส่งเสียงคำรามเช่นนั้นออกมา เจ้ากรมซุนก็กวาดของทุกอย่างบนโต๊ะลงไปเพื่อระบายโทสะที่อัดอั้นอยู่ในอก ‘เพล้ง’ เสียงถ้วยชา ที่ฝนหมึกร่วงแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย รวมถึงหนังสือ และกระดาษต่างๆ ก็กระจัดกระจายไปทั่วห้อง
พ่อบ้านชราเงียบเสียง ไม่กล้าเอ่ยขัดและขยับเขยื้อน เขาอยู่กับนายท่านมานานหลายปีแล้ว ย่อมรู้จักนิสัยดี
ท่าทางเดือดดาลนั้น ทั้งหมดล้วนมาจากคนคนเดียว นั่นก็คือสวี่ชีอัน
ตอนนั้นเอง เจ้ากรมซุนก็รวบชายเสื้อขึ้นเล็กน้อย แล้ววิ่งออกไปด้านนอกทันทีโดยไม่สนใจอายุของตนในตอนนี้เลย
“นายท่าน ถ้าท่านต้องการสิ่งใด บ่าวจะรีบไปจัดการให้ขอรับ…” พ่อบ้านชรารีบวิ่งตามออกไป เอ่ยเสียงดัง
แต่เจ้ากรมซุนไม่สนใจเขาเลยสักนิด เขาคำราม “ใครก็ได้ ใครก็ได้ ไปที่คุกเดี๋ยวนี้ ไปดูที่คุก หยุดการลงทัณฑ์ หยุดการลงทัณฑ์…”
ท้องฟ้าเหนือกรมอาญาตอนนี้กึกก้องด้วยเสียงของเจ้ากรมซุน “หยุดการลงทัณฑ์”
…
ครึ่งชั่วยามให้หลัง เวลานี้เจ้ากรมซุนก็สงบสติอารมณ์ได้บางส่วนแล้ว เขาหอบหายใจกลับมาที่ห้อง จิบชาร้อนที่ที่พ่อบ้านชรานำมาให้
“เจ้านั่น อาจหาญนัก พวกไร้อารยะ บัดซบ!”
หลังจากก่นด่าเสร็จ เจ้ากรมซุนก็รีบกำชับ “เจ้าไปที่หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทันที ให้เจ้าคนต่ำช้านั่นมาพบข้าให้ได้”
แม้ว่าอีกฝ่ายจะฝ่าฝืนกฎ แต่เจ้ากรมซุนก็ไม่อาจตอบโต้ด้วยไม้แข็งได้ หากเจรจาตกลงกันได้ย่อมเป็นการดีที่สุด ก่อนอื่นเขาต้องปกป้องสวัสดิภาพของลูกชายตนก่อน แล้วค่อยคิดบัญชีกับเจ้าคนโฉดสวี่ชีอันทีหลัง
พ่อบ้านรับคำ แล้วผันกายเดินออกไปทันที ตอนนั้นเองทหารยามก็เดินเข้ามา กอบหมัดขึ้นคำนับ “ท่านเจ้ากรมขอรับ สวี่ชีอันมาอีกแล้ว”
มาถูกเวลาเสียจริง!
ดวงตาของเจ้ากรมซุนวาววับ ยืดหลังตรงแน่ว “ให้เขาเข้ามา”
ครู่ต่อมา ทหารยามก็นำทางสวี่ชีอันเข้ามาแล้ว เขายิ้มพรายเดินตรงเข้ามาด้านใน
แต่เจ้ากรมซุนกลับไม่ได้มีท่าทียินดีด้วย
“ซุนเย่าเยว่ บุตรชายของข้าอยู่ที่ใด สวี่ชีอัน เจ้ารีบส่งเขากลับมาโดยเร็ว แล้วข้าจะแสร้งทำเป็นว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้น” เจ้ากรมซุนไม่แม้แต่จะมองหน้า ราวกับว่าสวี่ชีอันไม่ได้อยู่ในสายตาของเขา
“หมายความว่าอะไรกัน ข้าไม่เข้าใจ”
สวี่ชีอันตีหน้าซื่อ ทำทีใคร่ครวญ จากนั้นก็แปรเปลี่ยนสีหน้าทันที “งั้นหรือ เจ้ากรมซุนปักปรำญาติผู้น้องของข้าไม่พอ ยังคิดจะใส่ความข้าอีกคนด้วย ใต้หล้าแห่งนี้มีคนที่น่ารังเกียจเช่นนี้อยู่จริงๆ สินะ”
“เจ้า…”
ในที่สุดเจ้ากรมซุนก็ยอมหันหน้ามาสบตา เข้าจ้องสวี่ชีอันเขม็ง ไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับ แต่โบกมือให้เจ้าพนักงานที่อยู่ในห้องออกไป หลังจากนั้น ก็เอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ข้าเห็นเจ้าแล้วก็คิดถึงตนเองตอนเป็นหนุ่ม ไม่รู้จักกฎเกณฑ์ เช่นนั้นข้าก็จะยอมให้โอกาสเจ้าสักครั้ง หากเจ้ายังต้องการรับราชการอยู่ในเมืองหลวงต่อไป ก็ปล่อยเขา”
สวี่ชีอันส่ายหน้าตอบ “เจ้ากรมซุนคงเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่รู้ว่าท่านกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่”
เขาหยุดนิ่งชั่วครู่ คิดถึงคำพูดที่เจ้ากรมซุนเพิ่งจะเอ่ยก็พอจะปะติดปะต่อเรื่องราวได้ “ฟังจากที่ท่านว่าเมื่อครู่แล้ว หรือว่าเกิดเรื่องกับบุตรชายของท่าน? ถูกใครบางคนลักพาตัวไปอย่างนั้นหรือ? ท่านว่ามาเถอะ ข้านรักความยุติธรรมกว่าใคร ความสามารถในการไขคดีไม่มีใครเทียบเคียง ขอเพียงเจ้ากรมซุนเอ่ยปากขอ ข้าสัญญาว่าจะพาตัวบุตรชายของท่านกลับมาหาท่านภายในหนึ่งวัน”
อย่ามาแสร้งตบตาข้า ความโกรธของเจ้ากรมซุนถึงขีดสุดแล้ว เขาตะคอกด้วยความโมโห “สวี่ชีอัน อย่าลืมว่าเจ้าเองก็มีครอบครัว”
สวี่ชีอันถอนหายใจ ใบหน้าเศร้าหมอง “ท่านเจ้ากรมซุน ดูเหมือนท่านจะไม่เข้าใจข้า บิดามารดาของข้าจากไปตั้งแต่ข้ายังเด็ก มีแต่อารองเท่านั้นที่เลี้ยงดูข้ามา
“และใช่ ท่านอาสะใภ้ของข้ารังแกข้าและทำให้ข้าอับอายแทบทุกวัน ปีนั้นตอนที่ข้าอายุได้สิบห้าปี นางก็ขับไล่ข้าออกจากเรือน ให้ข้าไปอาศัยอยู่ในคอกหมา น่าเสียดายที่ข้าไม่ได้มีทหารนับแสนนายรายล้อม หรือบิดาที่คดโกงฉ้อฉลได้…”
“สวี่ชีอัน!” เจ้ากรมซุนตวาดลั่น ดวงตาจ้องสวี่ชีอันเป็นเวลานาน เอ่ยเสียงต่ำ
“เจ้าต้องการอะไรกัน? คดีฉ้อโกงการสอบเคอจวี่นั้นฝ่าบาทมีพระประสงค์ให้มีการตรวจสอบ กรมอาญาและที่ว่าการเมืองเป็นผู้รับผิดชอบ ตอนนี้ทั้งราชสำนักกำลังจับตามองอยู่ ข้าไม่ใช่คนตัดสินคำพิพากษาสุดท้าย หากเจ้าต้องการใช้บุตรชายของข้ามาข่มขู่ ข้าคงต้องสู้กับเจ้าจนตกตายไปทั้งคู่ เลิกเสแสร้งได้แล้ว!”
สมัยนี้ใครรุกเร็วกว่าย่อมได้เปรียบ…แน่นอน ความสำคัญของญาติผู้น้องเทียบไม่ได้กับบุตรชาย แต่ถึงกระนั้นข้าก็ ‘ใจไม้ไส้ระกำ’ กับเขาไม่ได้…
สวี่ชีอันหรี่ตา แล้วเดินไปเบื้องหน้าของเจ้ากรมซุน กระซิบที่หูของเขา
“ข้ามีเพียงคำขอเดียวเท่านั้น ในระหว่างที่คุมขังสวี่ซินเหนียน เขาต้องไม่ถูกทรมาน อย่าเค้นอะไรจากเขา ถ้านิ้วของเขาหายไปแม้แต่หนึ่งนิ้ว ข้าจะหักนิ้วของบุตรชายท่าน หากตามร่างกายของเขามีบาดแผลเท่าไร บุตรชายของท่านก็จะต้องได้รับบาดแผลเท่ากัน
และหลังจากคดีนี้สิ้นสุดลง ไม่ว่าสวี่ซินเหนียนจะรอดพ้นโทษหรือไม่ ข้าก็จะปล่อยบุตรชายของท่านตามสัญญา”
“สวี่ชีอัน…”
เจ้ากรมซุนกำลังจะอ้าปาก แต่ใบหน้าของสวี่ชีอันก็เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม สีหน้าเหี้ยมโหด ตวาดเสียงดัง “เรียกข้าว่าท่านใต้เท้าจื่อ”
เจ้ากรมซุนยอมทำตาม “ใต้เท้าจื่อ ข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร”
สวี่ชีอันค่อยๆ ย่างสามขุมเข้าไปช้าๆ แล้วหยิบขนมชิ้นหนึ่งบนโต๊ะใส่ปาก เอ่ยเสียงเรียบ
“ท่านเจ้ากรมซุนมีทางเลือกอื่นอีกรึ? จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ท่านก็ต้องทำในสิ่งที่ข้าต้องการ เว้นเสียแต่ว่าท่านจะไม่อยากได้บุตรชายคืน ข้าไม่ได้ขอให้ทันช่วยให้สวี่ซินเหนียนพ้นผิด แต่ข้าขอให้ท่านไม่ทำเรื่องไร้สาระที่ไม่จำเป็น ไม่ใช่เรื่องยากเลย”
เขาเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าเจ้ากรมซุน เช็ดมือกับเสื้อคลุมสีแดงเบาๆ แล้วเอ่ยเสียงเข้ม “อย่างที่ท่านว่า ข้าเองก็มีครอบครัวเหมือนกัน”
ไม้ตายนี้เว่ยเยวียนเป็นผู้สอนเขา แต่วิธีการและแผนการนั้นเขาเป็นคนคิด หาใช่แผนการของเว่ยเยวียนไม่
การที่ไม่ทำอะไรเลยแต่หวังว่าคู่ต่อสู้จะมีจิตใจเมตตาเป็นเพียงความเพ้อฝันของคนโง่เท่านั้น การเย้ยหยัน และการต้อนรับอย่างเย็นชาที่ได้รับจากกรมอาญาเมื่อเช้านี้เป็นข้อพิสูจน์ที่เที่ยงแท้
หากต้องการเอาชนะศัตรู ก็ต้องจับจุดอ่อนให้ได้
และจุดอ่อนโดยส่วนมาก ก็ย่อมเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข อย่างไรก็ดี การทำร้ายคนในครอบครัวนั้นเป็นข้อห้าม เช่นนั้นสวี่ชีอันจึงต้องพิจารณาเรื่องนี้อย่างรอบคอบ
ดังนั้น เขาจึงไม่คิดอย่างไร้เดียงสาว่าจะเอาซุนเย่าเยว่มาเป็นข้อต่อรองเพื่อช่วยเอ้อร์หลางพ้นผิดแต่อย่างใด เพียงแต่ใช้ซุนเย่าเยว่มาทำข้อตกลงกับเจ้ากรมซุนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องยากก็จะค่อยๆ คลี่คลายจนง่ายขึ้นเอง
หากเจ้ากรมซุนผิดคำ เอาความแค้นไปลงที่สวี่เอ้อร์หลาง เช่นนั้นสวี่ชีอันก็พูดจริงทำจริง เจ้ากรมซุนจะได้ส่งศพลูกชายตนเองก็คราวนี้ล่ะ
จนถึงตอนนี้ ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ ต้องขอบคุณแผนการที่วางไว้อย่างดีในครั้งนี้
เจ้ากรมซุนพ่นลมหายใจ “ข้าจะเชื่อเจ้าสักครั้ง ข้าจะไม่ทรมานเอ้อร์หลางอีก เช่นนั้นก็หวังว่าตอนที่บุตรชายของข้ากลับจวน เขาจะปลอดภัยทุกส่วน ไม่อย่างนั้น เจ้าต้องชดใช้ผลที่ตามมา”1
“ย่อมเป็นเช่นนั้น” สวี่ชีอันแค่นเสียงกล่าว
“แต่ข้ายังไม่ไว้ใจเจ้า ข้าขอเข้าพบสวี่ซินเหนียน เจ้าไปจัดการให้ด้วย” สวี่ชีอันกล่าวพลางเดินไปทางประตูอย่างไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ก่อนจะหันหน้ากลับมาคลี่ยิ้มอีกครา
“จริงสิ ใต้เท้าจื่อ…เรียกได้ดี”
ใบหน้าของเจ้ากรมซุนมืดครึ้ม เคราสั่นด้วยความโกรธ
…
‘กริ๊กๆๆๆ…’
เสียงโซ่ตรวนดังสะท้อน ขณะที่ผู้คุมเปิดประตูนำทางไปสู่คุก อากาศเปียกชื้นและเน่าเหม็นก็ลอยแตะจมูกทันที
สวี่ชีอันเดินผ่านทางเดินมืดมิดตามหลังผู้คุม จนมาถึงห้องขังที่สวี่ซินเหนียนอยู่
สวี่ซินเหนียนหลับตาสนิท เอนหลังพิงกำแพง เขาสวมชุดนักโทษ ใบหน้ายามนี้ซีดเผือด ร่างกายเปรอะเปื้อนเลือด
เห็นท่าทางอันน่าสังเวชของญาติผู้น้องเป็นเช่นนี้ ใบหน้าของสวี่ชีอันก็สลดลงไป เขามาช้าไปก้าวหนึ่ง ไม่อย่างนั้นเอ้อร์หลางคงไม่ต้องถูกทรมานเช่นนี้
เขาประเมินความใจร้อนของเจ้ากรมซุนที่คิดจะแก้แค้นตนต่ำเกินไป
สวี่ชีอันเอ่ยแผ่วเบา “เอ้อร์หลาง เอ้อร์หลาง…”
สวี่เอ้อร์หลางตกตะลึงอยู่พักหนึ่ง สงสัยว่าเขาได้ยินผิดไปหรือไม่ ก่อนจะลืมตาโพลง
………………………………………………………..