ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 323 ซูซู “เด็กน้อย ข้าเป็นผีนะ”
บทที่ 323 ซูซู “เด็กน้อย ข้าเป็นผีนะ”
สวี่ชีอันยิ้ม ไม่กลัวแม้แต่น้อย เขานั่งลงที่โต๊ะ รินน้ำให้ตัวเองหนึ่งแก้วแล้วกล่าวขณะดื่ม
“แม่ทัพหลี่อยากทำอะไร ข้าห้ามได้เสียที่ไหน แต่บังเอิญข้ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่ไม่เคยบอกพวกเขาจริงๆ ตัวอย่างเช่นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ในอวิ๋นโจว เป็นต้น…แม่ทัพหลี่บอกว่า ข้าเป็นอัจฉริยะในการไขคดี ยังมีอีกมากเชียวล่ะ”
ก็มาสิครับ สู้มาสู้กลับ ไม่กลัวอยู่แล้ว!
หลี่เมี่ยวเจินพยายามเก็บสีหน้าอย่างหนักหน่วง อดทนอดกลั้นต่อความอับอายในใจของนาง และพูดอย่างเย็นชา “ข้าไม่สนใจเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ ขอสั่งสอนเจ้าสักหน่อยซิ”
มือเล็กๆ ตบโต๊ะ กระบี่บินออกจากฝักที่อยู่ข้างหลัง วนเป็นครึ่งโค้งกลางอากาศ จิ้มเข้าที่บั้นท้ายของสวี่ชีอัน
สีหน้าของซูซูดูสะใจเสียเต็มประดา
หลี่เมี่ยวเจินมองนักบวชเต๋าจินเหลียนด้วยหางตา นางคิดว่า นักบวชเต๋าจินเหลียนต้องเข้ามาหยุดนางแน่นอน ทว่านางกลับเห็นนักบวชเต๋าจินเหลียนลูบเครายิ้มเผล่ ไม่มีทีท่าว่าจะเข้ามาห้ามแม้แต่น้อย
‘อืม ดูเหมือนว่าท่านนักบวชเต๋าจะเห็นว่าชายผู้นี้น่าทุเรศเหมือนกัน จึงอยากให้ข้าสั่งสอนบทเรียนให้เขาสินะ’…ชั่วขณะที่ความคิดนั้นผุดขึ้นมา หลี่เมี่ยวเจินก็เห็นเจ้านั่นคว้าจับกระบี่บินไว้ได้ โดยไม่หันไปมองด้วยซ้ำ
ฝ่ามือของสวี่ชีอันถูกย้อมด้วยชั้นแสงสีทองอย่างรวดเร็ว ‘ติ๊ง’ เสียงก้อนหินกระทบกับเหล็กดังขึ้นจากฝ่ามือของเขา
หลี่เมี่ยวเจินลุกขึ้นยืนทันที ดวงตาคู่สวยของนางเบิกกว้าง นางจ้องไปที่แขนของสวี่ชีอันอย่างไม่เชื่อสายตา และพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ร่างทองแห่งสำนักพุทธหรือ”
สวี่ชีอันยิ้มและกล่าว “ถูกต้อง เป็นพลังเทพวชิระที่ได้มาจากการชนะในพิธีต้าวฮวด แม่ทัพหลี่ กระบี่บินของเจ้าอ่อนแรงไปหน่อยนะ เพิ่มพลังหน่อยสิ”
ร่างทองแห่งสำนักพุทธที่ได้มาจากการชนะในพิธีต้าวฮวด…หลี่เมี่ยวเจินตกตะลึง ประกาศราชสำนักไม่เห็นเขียนถึงเรื่องนี้เลย
“นายท่าน เขาดูถูกนายท่านอยู่นะเจ้าคะ” ซูซูรีบใส่ไฟทันที
ความกังวลเมื่อครู่นั้นมาจากใจจริง แต่ความโกรธในตอนนี้ ก็มาจากใจจริงเช่นกัน
“อยากลองสัมผัสกระบี่บินแห่งลัทธิเต๋าอยู่พอดี” สวี่ชีอันยักคิ้ว
“งั้นก็ดี!”
หลี่เมี่ยวเจินไม่อ่อนข้อให้อีกต่อไป นางบังคับกระบี่บินให้หลุดออกจากการเกาะกุมของสวี่ชีอัน ‘กึก กึก กึก…’ กระบี่บินสั่นไหวไม่หยุด แต่ก็ไม่สามารถหลุดออกจากฝ่ามือได้
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เผยสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งบีบแน่น กระบี่บินเปลี่ยนทิศทางการถอยหลังเป็นเคลื่อนมาข้างหน้าทีละนิดๆ แทน
สวี่ชีอันขบกรามจนกล้ามเนื้อใบหน้าปูดโปน บริเวณหน้าผากและมือปรากฏเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมา ราวกับกำลังงัดข้อกับใครสักคน
การเสียดสีระหว่างฝ่ามือกับกระบี่บินเกิดเป็นเสียงแสบแก้วหู
มวยปล้ำไร้เสียงกินเวลาไม่กี่วินาที ได้ยินเพียงเสียง ‘ตู้ม’ หลังคาก็ปลิวไปด้วยแรงระเบิด คานและกระเบื้องตกลงมาแตกกระจัดกระจายเสียงดังโครมคราม ประตูและหน้าต่างก็ถูกพัดปลิวทันทีเช่นกัน
ซูซูไม่เสียแรงที่เป็นผีมายี่สิบปี นางดึงพลังหยินออกมาสร้างกำแพงป้องกัน ขัดขวางการโจมตีของพลังปราณอย่างสุดความสามารถ
“สู้ให้มันมีขอบเขตบ้าง เอาแต่พอดีสิ…”
นักบวชเต๋าจินเหลียนโอดครวญ
สวี่ชีอันและหลี่เมี่ยวเจินมองหน้ากัน คนหนึ่งถือกระบี่ อีกคนหนึ่งใช้มือ
‘ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน การฝึกฝนของเขาก้าวมาถึงสู่ขั้นนี้แล้ว’…หลี่เมี่ยวเจินจ้องมองสวี่ชีอันด้วยความรูสึกซับซ้อน เมื่อครั้งได้เจอกันที่อวิ๋นโจว เขาเป็นทหารระดับแปดที่ทะลวงระดับหลอมวิญญาณ
ในความเห็นของหลี่เมี่ยวเจินซึ่งอยู่ในระดับห้าในขณะนั้น ถือว่าฝึกตนได้ไม่เลวเลย ใครจะไปคิดว่าหลังจากผ่านไปสองหรือสามเดือน เขาจะพัฒนาจนแข็งแกร่งได้เพียงนี้
ต้องบอกไว้ก่อนว่าการฝึกตนของนางไม่ได้เชื่องช้า ตอนนี้ก้าวสู่ระดับสี่รวมปราณของลัทธิเต๋าแล้ว เหนือกว่าอดีตจนไม่อาจเทียบได้
แต่ตอนนี้หลี่เมี่ยวเจินกลับสิ้นเรี่ยวแรง รู้สึกว่าพรสวรรค์ของตนมันก็เท่านี้เอง
“อะแฮ่มๆ!”
นักบวชเต๋าจินเหลียนกระแอมไอและพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าโจมตีร่างกายของเขาด้วยกระบี่บินของเจ้า ก็เหมือนโจมตีจุดแข็งของผู้อื่นด้วยจุดอ่อนของเจ้าเอง ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันเถิด อย่าเคร่งเครียดนักเลย”
หลี่เมี่ยวเจินเป็นยอดฝีมือระดับสี่ ยังไม่เคยใช้กระบวนท่าของนิกายสวรรค์ วิชากระบี่บินของนางสามารถกรีดเนื้อเถือหนังระดับหกกระดูกเหล็กผิวทองแดงได้ไม่มีปัญหา แต่ไม่แข็งแกร่งพอที่จะเผชิญหน้ากับระดับเพชรของสำนักพุทธ
‘เหตุใดพลังเทพวชิระของเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้พัฒนาเร็วขนาดนี้’…นักบวชเต๋าจินเหลียนเหลือบมองสวี่ชีอันและเกิดความสงสัยขึ้นในใจ
“หากต่อสู้กันจริงๆ ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้าหรอก แต่เจ้าต้องทำลายระดับเพชรไร้พ่ายของข้าให้ได้เสียก่อน ซึ่งเปลืองพลังงานอย่างมาก” สวี่ชีอันกล่าวอย่างถ่อมตัวแล้วเสริมในใจว่า
ไม่เกินเจ็ดวัน หลังจากที่ข้าได้ซึมซับแก่นโลหิตของไต้ซือเสินซูแล้ว ก็จะเลื่อนขั้นจากพลังเทพวชิระไปสู่ระดับก่อร่างขั้นต้น
ผลกระทบที่แท้จริงของแก่นโลหิตที่ไต้ซือเสินซูมอบให้เขาคือการเพิ่มความเร็วของการฝึกพลังเทพวชิระ เพราะตัวไต้ซือเสินซูเองก็เป็นถึงปรมาจารย์ใหญ่แห่งเทพวชิระ
แก่นโลหิตของเขาผสานกับพลังเทพวชิระได้อย่างลงตัว ขอแค่ตอนที่สวี่ชีอันฝึกฝนวิชานี้ซึมซับแก่นโลหิตไปด้วย ก็สามารถพัฒนาระดับของพลังเทพวชิระได้
หลี่เมี่ยวเจินส่งเสียง ‘หึ’ แล้วหันไปมองทางอื่น
หลังจากที่ปล่อยกระบี่ออกไป ความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ในใจของนางก็มลายสิ้น ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนมากเท่าที่เคยเป็นแล้ว ในขณะเดียวกัน การ ‘ข่มขู่’ ของสวี่ชีอันก็ทำให้นางเกิดความลังเลขึ้นมา
หากมีการเปิดเผยตัวตนของสวี่ชีอัน คำพูดและการกระทำของนางในอวิ๋นโจวก็จะถูกโพนทะนาในพรรคฟ้าดินด้วย…วิธีทำลายคนอื่นแต่ตัวเองก็ย่อยยับไปด้วย ไม่ใช่วิถีของเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์อย่างนาง
นางพอจะเข้าใจว่าเหตุใดสวี่ชีอันถึงยืนกรานที่จะปกปิดตัวตนของตัวเอง
ตอนแรกเขาโอ้อวดเอาไว้เสียใหญ่โต น่าจะเกินกว่านางไปประมาณร้อยเท่าเห็นจะได้ หากถูกเปิดโปงเช่นนี้ คงไม่เหลือความเป็นมนุษย์อีก
“เมี่ยวเจิน หากเจ้าไม่อยากพักที่โรงเตี๊ยม เจ้าก็ไปพักที่จวนของสวี่ชีอันก็ได้นะ หมายเลขห้าที่อยู่ที่นั่นเหมือนกัน จวนสกุลสวี่ตั้งอยู่ในเมืองชั้นใน มีทางเข้าออกสามทาง หรูหราโอ่อ่าเอาการทีเดียว” นักบวชเต๋าจินเหลียนกล่าว
เอาอีกแล้วหรือ บ้านข้ากลายเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าของพรรคฟ้าดินตั้งแต่เมื่อไร…สวี่ชีอันมุมปากกระตุก
ดวงตาของซูซูวาววับ เมื่อเทียบกับการพักในโรงเตี๊ยมแล้ว พักในจวนย่อมสะดวกสบายกว่าเป็นไหนๆ นอกจากนี้ นางคิดจะอาศัยช่วงกลางคืนนัดพบกับชายผู้นี้ เพื่อให้เขาพาไปสำนักโหราจารย์
หลี่เมี่ยวเจินคิดถึงศพหัวขาด นางกังวลว่าความสามารถในการคลี่คลายคดีของนางนั้นมีจำกัด จะส่งต่อคดีให้กับที่ทำการปกครอง วิกฤตความเชื่อมั่นนางที่มีต่อราชสำนัก ก็ทำให้นางต่อต้านความคิดนี้อย่างสุดหัวใจ
เกรงว่าพวกเสวยสุขบนซากศพ[1]เหล่านั้นคงไม่สนใจ
โชคดีที่สามารถส่งต่อคดีนี้ให้สวี่ชีอันจัดการได้ และยังสามารถเรียนรู้ทักษะการคลี่คลายคดีจากเขาได้อีกด้วย
ดังนั้นหลี่เมี่ยวเจินจึงพยักหน้าและพูดว่า “ดีเลย ข้าก็อยากเจอหมายเลขห้าเหมือนกัน นางคงลำบากมากตอนเดินทางขึ้นเหนือ”
รู้สึกเหมือนว่านักบวชเต๋าจินเหลียนมีบางอย่างที่อยากจะพูดกับข้าแฮะ…สวี่ชีอันตระหนักถึงสายตาพินิจพิเคราะห์ของนักบวชเต๋าจินเหลียนที่มองมาทางตนบ่อยๆ สีหน้าของเขาสงบ และส่งยิ้มน้อยๆ ให้
“แม่ทัพหลี่ จะกลับจวนกับข้าหรือไม่”
นักบวชเต๋าจินเหลียนมองดูทั้งสองคนจากไปและครุ่นคิด “เมื่อการต่อสู้ระหว่างสวรรค์กับมนุษย์จบลง ข้าจะออกไปจากเมืองหลวง แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น ต้องหาทางขัดขวางการศึกครั้งนี้ให้ได้”
…
“เมี่ยวเจิน…”
สวี่ชีอันที่นั่งบนหลังม้าเพิ่งอ้าปากพูดก็ถูกหลี่เมี่ยวเจินแก้คำพูดทันที เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์พูดจากระแทกกระทั้น “เจ้ายังต้องเรียกข้าว่าแม่ทัพหลี่”
“พิธีรีตองจะตายไป พวกเรามันก็คนคุ้นเคยกันแท้ๆ” สวี่ชีอันหน้าด้านหน้าทน พูดด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์”
หลี่เมี่ยวเจินมองไปข้างหน้าเดินเคียงข้างแม่ม้าน้อยอย่างไม่เร่งรีบ ไม่สนใจคำถามของเขา
นางน่าจะยังโกรธ เลยไม่อยากคุยกับข้า…สวี่ชีอันเปลี่ยนความคิด และพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ
“พวกเราน่าจะยังไม่เคยพูดถึงตอนที่เจอหมายเลขห้าที่เมืองเซียงโจวสินะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ หลี่เหมี่ยวเจินก็หันขวับ กัดฟันและพูดว่า “นักบวชเต๋าเอาแต่ปิดกั้นชิ้นส่วนหนังสือปฐพีของข้าตลอด ข้าน่าจะรู้ตั้งนานแล้ว ว่าเขาทำไปเพื่อปกปิดข่าวการฟื้นคืนชีพของเจ้า”
นักบวชเต๋าจินเหลียนช่วยสวี่ชีอันโกหกนาง เรื่องนี้หลี่เมี่ยวเจินยังผูกใจเจ็บไม่หาย
“เรื่องพวกนั้นมันไม่สำคัญหรอกน่า สิ่งที่สำคัญก็คือ สุสานที่พวกข้าค้นพบนั้น มีอายุยาวนานเกินว่าจะจินตนาการได้ เป็นสุสานของผู้นำลัทธิเต๋าคนก่อน และมีแนวโน้มมากว่าเขาจะเป็นลัทธิเต๋านิกายมนุษย์” สวี่ชีอันโยนเหยื่อล่อ
“นิกายมนุษย์”
หลี่เมี่ยวเจินมองเขาด้วยแววตาใคร่รู้
“ใช่ เป็นนักบวชเต๋าผู้ชิงบัลลังก์นั่นแหละ” รอยยิ้มบนใบหน้าของสวี่ชีอันแจ่มชัดขึ้น
เขาเล่าถึงสิ่งที่พบเจอในสุสานให้หลี่เมี่ยวเจินฟังเป็นน้ำไหลไฟดับ ราวกับเล่านิทาน ซึ่งไม่ได้รวมบทสนทนาระหว่างไต้ซือเสินซูและมัมมี่อยู่ในนั้น
หลี่เมี่ยวเจินฟังด้วยความเพลิดเพลิน ไม่ทำท่าห่างเหินเย็นชาอีกต่อไป และพูดคุยกับเขาอย่างกระตือรือร้น
“เรื่องนี้ทำให้ข้านึกถึงคำที่อาจารย์เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้ว่า สวรรค์ ปฐพี มนุษย์ ในบรรดาสามนิกายนั้น นิกายมนุษย์นั้นโง่เขลาที่สุด เพราะพวกเขาริเริ่มการพึ่งพาโชคชะตาของมนุษย์ รองลงมาก็นิกายปฐพี ที่ปลูกฝังให้ทำความบุญทำกุศลและโชคดีจะเข้ามาหา แต่สรรพสิ่งในโลกล้วนมีเหตุและมีผลที่ตามมา จะเอาคำว่าการทำดีนั้นมารองรับทั้งหมดได้อย่างไร ดังนั้นพวกคนของนิกายปฐพีจึงตกไปอยู่อันดับสอง พวกเขามักจะเข้าไปพัวพันกับเหตุต้นผลกรรม ตกสู่ทางมารได้ง่ายดาย”
ดูอย่างผู้นำเต๋านิกายปฐพีเป็นตัวอย่าง…เหตุใดนิกายมนุษย์ที่พึ่งพาโชคชะตาของมนุษย์จึงเป็นพวกที่โง่เขลาที่สุด โชคชะตาของมนุษย์ไม่อาจแตะต้องคืออะไร…เอ๊ะ เพราะแบบนี้ผู้นำนิกายมนุษย์คนก่อน ถึงได้สูญเสียร่างเดิมไปงั้นหรือ สวี่ชีอันพยักหน้า
“แล้วนิกายสวรรค์ล่ะ”
“นิกายสวรรค์ยึดมั่นในความเที่ยงตรง ลบเลือนความรู้สึก สวรรค์และมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกัน นี่คือวิถีแห่งนิกายสวรรค์” หลี่เมี่ยวเจินเชิดคางเรียวขึ้น
“นิกายสวรรค์สอนให้ลบเลือนความรู้สึก ระดับที่สูงสุดคือมนุษย์เป็นหนึ่งเดียวกับสวรรค์ หากยึดถือแนวคิดนี้ ก็ควรจะเพิกเฉยต่อทุกเรื่องไม่ใช่หรือ เหตุใดเจ้าถึงหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้ระหว่างสวรรค์และมนุษย์ หมกมุ่นกับระบบเต๋าขนาดนี้ด้วย”
สวี่ชีอันอาศัยจังหวะถามสิ่งที่เขาสงสัยในตอนนี้
หลี่เมี่ยวเจินมองเขาด้วยความประหลาดใจ “หายากที่เจ้าจะนึกถึงเรื่องนี้ได้”
หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วครู่ นางก็ส่ายหน้าและกล่าวว่า “ข้าไม่รู้ อย่างที่เจ้าพูด การหมกมุ่นอยู่กับการต่อสู้นั้นไม่สอดคล้องกับหลักคำสอนของนิกายสวรรค์ แต่ท่านอาจารย์ก็มีเหตุผลของท่าน ข้าเคยถามไปแล้ว แต่ไม่เคยได้รับคำตอบ”
กล่าวคือ มองผิวเผินข้อพิพาทระหว่างสวรรค์กับมนุษย์เป็นข้อพิพาทระหว่างความคิดในระบบเต๋า แต่แท้จริงแล้วยังมีเหตุผลที่ลึกซึ้งกว่านั้นซุกซ่อนอยู่เบื้องหลัง และเหตุผลที่ว่านี้ แม้แต่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ก็ยังไม่รู้…ลัทธิเต๋าช่างลึกล้ำจริงๆ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม พวกเขาก็เดินทางมาถึงจวนสกุลสวี่
ซูซูเดินตามสวี่ชีอันไม่ห่าง เอาแต่เหลียวซ้ายแลขวา ดูจะถูกใจการวางผังและตำแหน่งของจวนสกุลสวี่เอามากๆ “ไม่เลว อาศัยในจวนหลังใหญ่ในเมืองหลวงแบบนี้ได้ เจ้าคงยักยอกเงินได้เยอะละสิท่า”
“ถูกต้อง ดังนั้นหากเจ้ามาติดตามข้า รับรองว่าเจ้าได้กินอิ่มนอนอุ่นไปอีกนาน” สวี่ชีอันหัวเราะลั่น
เมื่อพวกเขาไปถึงลานชั้นใน พวกเขาก็พบกับลี่น่าและสวี่หลิงอินที่นั่งอยู่บนธรณีประตู พร้อมกับขนมแห้วบนตักของทั้งคู่
ลี่น่าพูดอย่างโมโห “ย่อขาลงไปสิ ถ้าเจ้าไม่ทำก็อดกินขนมแห้ว”
เสี่ยวโต้วติงตอบกลับ “ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าแบ่งขนมแห้วให้เจ้าครึ่งหนึ่ง แล้ววันนี้ข้าขอทำท่านั่งม้าครึ่งหนึ่ง ตกลงหรือไม่”
ลี่น่า “ก็ได้ๆ”
“พี่หย่าย”
เมื่อเสี่ยวโต้วติงเห็นสวี่ชีอันกลับมา ก็ตะโกนลั่นอย่างดีอกดีใจ แล้วพุ่งตัวเข้าไปอ้อมแขนของสวี่ชีอันราวกับมังกรทะยาน
“นางคือหมายเลขห้าหรือ” หลี่เมี่ยวเจินมองลี่น่า
สาวสวยผู้มีผมสีดำขลับยาวประบ่า ปลายผมม้วนงอเล็กน้อย ผิวพรรณดั่งข้าวสาลีดูสุขภาพดี ดวงตาใสเกลี้ยงราวกับทะเลสีคราม
ลี่น่าเองก็สังเกตเห็นหลี่เมี่ยวเจินเช่นกัน แต่นางไม่ได้พูดจาอะไร เอาแต่มองอีกฝ่ายเงียบๆ
สวี่ชีอันกวักมือเรียกและกล่าว “ลี่น่า นี่คือหมายเลขสอง หลี่เมี่ยวเจินเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์”
เมื่อลี่น่าได้ยินดังนั้น รอยยิ้มอันอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง และนางก็กระโดดโลดเต้นไปมาพร้อมกับขนมแห้วในมือ
“นี่ เจ้านี่เองหมายเลขสอง…กินขนมแห้วไหม”
‘ท่าทางไม่ฉลาดอย่างที่คิดจริงๆ ด้วย’…หลี่เมี่ยวเจินส่ายหน้าและถามว่า “จากซินเจียงตอนใต้มาถึงเมืองหลวง หนทางยาวไกล คงจะลำบากมากสินะ”
“อื้อๆ”
ลี่น่าพยักหน้าอย่างเอาจริงเอาจัง และพูดถึงการเดินทางอันยากลำบากของนางในขึ้นเหนือ นางถูกหลอกเอาเงิน ถูกหลอกให้ไปใช้แรงงาน ทำงานหลังขดหลังแข็งเพื่อแลกกับข้าวมื้อเดียว
ซ้ำร้ายยังถูกชาวยุทธ์ที่หื่นกระหายในความงามของนาง จึงใช้วิธีต่ำช้าวางยานาง โชคดีที่นางมาจากเผ่าพันธุ์กู่ แม้แต่หุบเหวลึกก็เคยไปมาแล้ว ยาพิษทั่วไปไม่มีผลอะไรกับนาง
นางคิดว่าอาชีพที่สบายและมีความสุขที่สุดคือขอทาน วันๆ ไม่ต้องทำอะไร พกแต่ชามแตกๆ ไปนั่งข้างถนน ก็มีคนใจดีให้ทานเป็นเหรียญทองแดงแล้ว
หลี่เมี่ยวเจินได้ยินดังนั้น ก็พูดไม่ออกอยู่นาน
“พี่สาวสวยจังเลย”
เสี่ยวโต้วติงเดินไปหยุดข้างกายซูซู เงยหน้าเล็กๆ ขึ้น และมองนางด้วยความอิจฉา
ซูซูคิดว่าเด็กน้อยคนนี้ท่าทางเซ่อๆ ดูตลกดี จึงแสร้งทำท่าทางดุร้าย แยกเขี้ยวแสยะยิ้ม “ข้าเป็นผีนะ…”
เสี่ยวโต้วติงตะลึง จ้องมองนางจนตาค้าง แล้วทันใดนั้นนางก็กลืนน้ำลายดัง ‘เอี๊อก’
ซูซู “???”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกสงสารลี่น่าจับใจ จึงพูดปลอบโยนไปสองสามคำ จากนั้นก็หันมาพูดกับสวี่ชีอัน “ระหว่างทางที่มาเมืองหลวง ข้าพบศพที่ดูเหมือนถูกฆาตกรรม ข้าจึงเรียกวิญญาณที่เหลือมาเพื่อสอบถาม จนค้นพบเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่ง”
เรื่องสำคัญหรือ
สวี่ชีอันขมวดคิ้วและกล่าว “ไปคุยต่อที่ห้องหนังสือ”
ทันทีที่พาหลี่เมี่ยวเจินไปห้องหนังสือ ซูซูก็กางร่มสีแดงเดินตามทั้งสองคนไป ระหว่างทาง นางก็หันกลับไปมอง
เห็นเสี่ยวโต้วติงยังจ้องมองนางไม่วางตา ในแววตานั้นเต็มไปด้วยความหิวกระหายและก้าวร้าว
…………………………………………………………..
[1] 尸位素餐 (สำนวน) เปรียบเทียบข้าราชการที่เอาแต่เสวยสุขแต่ไร้ความสามารถ