ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 331 วิธีการที่ไม่คาดคิด
บทที่ 331 วิธีการที่ไม่คาดคิด
เขากลับมาแล้วหรือ?
ความเงียบปกคลุมครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงโห่ร้องของประชาชนจะดังขึ้นเป็นสิ่งแรก
“รอข้าบิดขี้เกียจสักครู่ก่อน? สิ่งที่สวี่ชีอันต้องการจะสื่อคือตอนนี้เขาไม่ได้กำลังต่อสู้อย่างจริงจังอยู่สินะ”
“เจ้าเห็นหรือไม่ บาดแผลที่หน้าอกของเขาหายไปแล้ว…แสดงว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้ลงมือจริงจัง ฮ่าฮ่า ข้าบอกแล้ว สวี่ชีอันงัดความแข็งแกร่งของเขาออกมาต่อสู้เพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น สองคนนี้จะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้อย่างไร”
ขอบคุณสำหรับประโยค ‘รอข้าบิดขี้เกียจ’ ที่หลอกประชาชนได้สำเร็จ ทำให้พวกเขาคิดว่าสวี่ชีอันไม่ได้แข่งขันอย่างจริงจังตั้งแต่เริ่มแรก
บาดแผลหายดีจนกลายเป็นร่องรอยการ ‘อุ่นเครื่อง’ ของเขา
เรื่องนี้สร้างความตกตะลึงแก่สายตาของยอดฝีมือระดับสูงอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจจินตนาการได้
‘แผลถูกแทงที่หน้าอกเลือนรางจนแทบมองไม่เห็นแล้ว เขาฟื้นตัวภายในเวลาเพียงครึ่งก้านธูปได้อย่างไรกัน? แม้แต่ข้าก็ยังทำไม่ได้เลย…’
หนานกงเชี่ยนโหรวเหล่ตา อดก้าวไปข้างหน้าสองสามก้าวไม่ได้ ราวกับต้องการดูว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาการบาดเจ็บที่หน้าอกของสวี่ชีอัน
การคืนสภาพร่างเนื้อเป็นความสามารถของขั้นสามเท่านั้น สวี่หนิงเยี่ยนทำได้อย่างไร? เจียงลวี่จงตกตะลึง ภายในใจคาดเดาบางอย่าง
เป็นอิทธิฤทธิ์ที่มากับพลังเทพวชิระ จะต้องเป็นพลังเทพวชิระแน่ๆ…มันถึงสามารถทำให้ผู้ที่มีระดับต่ำสามารถคืนสภาพร่างเนื้อได้ใหม่…
ฉู่เซียงหลงกลืนน้ำลายลงไปในลำคอ ลูกกระเดือกขยับ ไม่สามารถซ่อนความโลภในดวงตาของเขาได้
ในตอนนี้เขามีความต้องการที่จะกลับไปชายแดนโดยเร็ว เขาอยากนำพระพุทธรูปหินบูชาส่งให้กับอ๋องสยบแดนเหนือ ด้วยความแข็งแกร่งของสามยอดสิ่งและวิสัยทัศน์อันสูงส่งของอ๋องสยบแดนเหนือ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ แต่ก็ย่อมตรัสรู้ได้ถึงขั้นหนึ่งหรือสอง
หากมีการเพิ่มยันต์สำริด บางทีอ๋องสยบแดนเหนืออาจสามารถฝึกฝนจนบรรลุพลังเทพวชิระ
จนถึงตอนนั้นตัวเขาก็จะกลายเป็นผู้มีส่วนได้รับพลังเทพวชิระจากอ๋องสยบแดนเหนือมากที่สุด
เมื่อองค์หญิงได้ยินเสียงกลืนน้ำลายของชายจิตใจสกปรกที่อยู่ข้างๆ นางก็พลันตกตะลึง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ภายใต้หมวกริ้วตาข่ายแอบเหลือบมองที่ฉู่เซียงหลง
‘เขา เขามองผู้ชายแล้วลอบกลืนน้ำลายงั้นหรือ?!’
หลังฝังเรื่องราวของเขาไว้ในใจครู่หนึ่ง ความสนใจขององค์หญิงก็คืนกลับมาที่สวี่ชีอัน พร้อมกับพึมพำอยู่ในใจ ‘ชายผู้นี้ค่อนข้างทรงพลัง กล่าวคือชายที่มีทักษะการต่อสู้ที่สะดุดตาถึงเพียงนี้จะพ่ายแพ้ง่ายๆ ได้อย่างไร’
“ท่านพ่อ เขา เขาเป็นอะไรของเขา” กระบี่ผีเสื้อฉ่ายเชินอีหันศีรษะมองบิดาของตนที่อยู่ข้างๆ
หลานหวนเพียงส่ายหัว ไม่ได้เอ่ยตอบ
‘ฟู่ว…‘
สวี่ซินเหนียนโล่งใจ สายตาของเขาจับจ้องไปที่สวี่ชีอันพลางกล่าวว่า “พี่ใหญ่ของข้าหากทำการใดย่อมมั่นใจในการกระทำของตนเองเสมอ เนื่องจากเขากล้าเข้าร่วมศึกระหว่างนิกายสวรรค์กับมนุษย์ เขาจะต้องมีบางสิ่งให้พึ่งพาแน่ สุภาพชนควรวางแผนก่อนลงมือกระทำ นั่นคือสิ่งที่ข้าได้สอนเขามาโดยตลอด”
หวางซือมู่แย้มยิ้มพริ้มพรายพร้อมกล่าว “ฉือจิ้วและสวี่ชีอันเป็นทั้งปราชญ์และจอมยุทธ์ ไม่รู้ว่าทำให้คนต่างอิจฉามากน้อยเท่าใดแล้ว”
‘นางมองออกว่าคำพูดของสวี่ซินเหนียนนั้นคล้ายกำลังโอ้อวด แต่นั่นจะไปมีอะไรน่าสนใจกัน เขาดูดีมากขนาดนี้ อีกทั้งยังมีความสามารถและไม่ทำตัวน่ารำคาญด้วย’…หวางซือมู่เริ่มชอบสวี่เอ้อร์หลางมากขึ้นเรื่อยๆ
“พลังเทพวชิระของเจ้าก้าวหน้าอย่างก้าวกระโดด เกิดอะไรขึ้น?” หลี่เมี่ยวเจินเบิกตากว้าง มองไปที่สวี่ชีอันและกล่าวต่อ
“เจ้าซ่อนเร้นความแข็งแกร่งไว้งั้นหรือ?”
‘ไม่ ไม่สิ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ว่าเขาซ่อนความแข็งแกร่งไว้หรือไม่ แต่เขาปลูกฝังพลังเทพวชิระให้คงอยู่ในสภาพเช่นนั้นได้อย่างไร?!’
‘นี่มันไม่สมเหตุสมผล ไม่สมเหตุสมผลเลย’…ฉู่หยวนเจิ่นคำรามในใจ
การแสดงออกของเขายังคงนิ่งเงียบ แต่ในใจกลับเหมือนกำลังเผชิญพายุที่โหมกระหน่ำ
ฉู่หยวนเจิ่นเคยพบกับภิกษุจิ้งซือ ในเรื่องของพลังเทพวชิระเขาก็มีความเข้าใจเล็กน้อย เมื่อเทียบกับสวี่ชีอันในตอนนี้แล้ว จิ้งซือในวันนั้นดูเป็นเพียงภิกษุตัวจ้อยไปเลย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่แน่ชัดว่าคนแรกคือผู้ที่ฝึกฝนพลังเทพวชิระมาตั้งแต่เด็ก ในขณะที่อีกคนได้รับพลังเทพวชิระนี้ระหว่างการต่อสู้
หากนับก็รวมๆ หนึ่งเดือน…จ้วงหยวนหลางผู้มีประสบการณ์และความรู้ที่กว้างขวาง ในเวลานี้ราวกับร่างกายกำลังตกอยู่ในห้วงนิมิต
“เมี่ยวเจิน ไม่ว่าเขาจะมีพลังซ่อนเร้นหรือไม่ก็ตาม เจ้าก็ไม่ควรลืมจุดหนึ่ง”
ฉู่หยวนเจิ่นมองไปที่เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ แล้วค่อยๆ พูดทีละนิด “เขาฝึกฝนพลังเทพวชิระเป็นเวลามากที่สุดเพียงหนึ่งเดือนเท่านั้น”
ขณะนั้นหลี่เมี่ยวเจินตอบสนองในทันที รูม่านตาของนางหดตัวเล็กน้อย คอตั้งตรง บิดเกลียวนิ้วทีละนิ้วพลางมองไปที่สวี่ชีอัน
เทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์เป็นคนเย่อหยิ่ง แต่ไหนแต่ไรมีเพียงคนอื่นๆ เท่านั้นที่ตกตะลึงในพรสวรรค์ของนาง แต่มาวันนี้กลับเป็นนางที่ตกตะลึงในความสามารถของสวี่ชีอัน
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยเปิดเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดให้ข้า ช่วยให้ข้าเข้าใกล้พลังเทพวชิระขึ้นมาเล็กน้อย” สวี่ชีอันกุมมือโค้งคำนับ
‘โอ้ ดูเหมือนว่าเมื่อครู่ปรมาจารย์สวี่จงใจทนรับการโจมตีเพื่อหลอมพลังเทพวชิระนี่เอง…’
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผู้ชมก็ฉุกคิดได้ในทันใด
หากอธิบายอย่างสมเหตุสมผลว่าเหตุใดฝั่งเขาจึงไม่สู้กลับ ไม่ใช่เพราะว่าศิษย์ที่โดดเด่นของนิกายสวรรค์และนิกายมนุษย์แข็งแกร่งเพียงใด แต่เพราะสวี่ชีอันต้องการเตรียมจะโจมตีพวกเขาต่างหาก
หลี่เมี่ยวเจินและฉู่หยวนเจิ่นต่างมองหน้ากัน ไร้ร่องรอยการดูถูกของสวี่อันเมื่อเขาจ้องมองมา
ทั้งสองพลันรู้สึกกดดัน
“ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องกำจัดเขาก่อน พวกเราต้องร่วมมือกันพยายามทำลายพลังเทพวชิระของเขา มิฉะนั้นมันคงเป็นเรื่องยากที่จะบดขยี้ร่างทองของเขา ไม่แน่ว่าพลังของพวกเราอาจหมดลงเสียก่อน จนถึงตอนนั้นมีความเป็นไปได้ที่เรื่องอาจยากเกินควบคุม” หลี่เมี่ยวเจินส่งสัญญาณเสียง
“ข้าก็คิดแบบนี้เช่นเดียวกัน” ฉู่หยวนเจิ่นพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม
ทั้งสองเปลี่ยนตำแหน่งทันทีและเปลี่ยนไปยืนเคียงข้างกันโดยหันหน้าเข้าหาสวี่ชีอัน
“ดูสิ พวกเขาจะร่วมมือกันจัดการกับสวี่ชีอันอีกครั้งแล้ว”
“ดูสิๆ ถ้าไม่ใช่เพราะสวี่ชีอันแข็งแกร่งเกินไป พวกเขาก็คงไม่ทำเช่นนี้”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผู้ชมก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าพลังการต่อสู้ของสวี่ชีอันนั้นเหนือกว่าตัวเอกทั้งสองในศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์
เดิมทีทุกคนเชื่อว่าสวี่ชีอันซึ่งอยู่ในขั้นเจ็ดหรือหกไม่อาจเอาชนะสองศิษย์เอกชาวยุทธภพแห่งศึกระหว่างนิกายสวรรค์และมนุษย์ได้ ทว่าตอนนี้กลับแสดงสีหน้าประหลาดใจและไม่มั่นใจ
“ขอบคุณท่านทั้งสองที่ช่วยให้ข้าก้าวเข้าสู่ระดับการก่อร่างขั้นต้น บัดนี้ข้าคงจะต้องสู้กลับแล้ว” สวี่ชีอันยกยิ้ม
“สู้กลับ?”
หลี่เมี่ยวเจินมุ่ยปาก กลอกตาและพูดว่า “พวกข้าแค่ร่วมมือกันก็เอาชนะคนหยิ่งทะนงอย่างเจ้าได้แล้ว เจ้าคิดว่าจะทำอะไรพวกข้าได้?”
ฉู่หยวนเจิ่นหัวเราะเบาๆ “ในใต้หล้านี้ เจ้าฟันได้เพียงครั้งเดียว หรืออาจจะเพิ่มพูนพลังได้ก็จริง แต่หลังจากหมดสิ้นแล้ว พลังของเจ้าก็จะไร้ประโยชน์ ต่อให้เป็นพลังดาบทั้งหมดของเจ้า ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะเอาชนะขั้นสี่”
ขณะที่ทั้งสองกำลังคุยกัน สวี่ชีอันก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งออกมาเงียบๆ แล้วยัดเข้าไปในปากพลางพูด “ถึงเวลาแล้วที่ท่านจะได้สัมผัสกับพลังและความน่ากลัวของนักบวชเต๋าคุยโขมง”
‘ตูม!’
พื้นดินทรุดตัวพร้อมกับสวี่ชีอันที่ราวกับลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ไม่ได้บรรจุ ก่อนกระโดดขึ้นไปบนท้องฟ้า พุ่งตรงไปที่หลี่เมี่ยวเจิน ในระหว่างกระบวนท่าเขาชกด้วยมือขวาแล้วดึงกลับอย่างดุเดือด
หลี่เมี่ยวเจินรับรู้ถึงความแข็งแกร่งของวรยุทธ์ ทั้งในการต่อสู้แบบประชิดตัวและไม่ได้ปะทะกับนางแบบตัวต่อตัว นางบังคับกระบี่บินลอยตัวขึ้นสูง หลีกเลี่ยงหมัดของสวี่ชีอัน
หลังการกระโจนกลางอากาศเกิดผิดพลาด สวี่ชีอันที่ไม่สามารถบินได้จึงล้มลงอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง ทันใดนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็ลงมือ โดยใช้นิ้วมือเป็นดาบแสดงทักษะอันเป็นประจักษ์ของกระบี่ปราณ
ในชั่วพริบตา เจตจำนงของกระบี่ที่ไม่มีใครคาดคิดก็พุ่งทะยานขึ้น
ทะลวงไปซะ…
สวี่ชีอันฉีกกระดาษหนึ่งแผ่นแล้วจุดไฟด้วยพลังปราณ พร้อมกับพูดอย่างสบายๆ “ข้ามีปีกคู่หนึ่งที่มองไม่เห็น”
เมื่อสิ้นเสียง ปีกคู่หนึ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็ปรากฏขึ้น สวี่ชีอันกระพือปีกของเขาซึ่งพลิ้วไหวไปตามท่วงท่าหลีกเลี่ยงการโจมตีของกระบี่ได้อย่างคล่องแคล่ว
เป้าหมายยังคงเป็นหลี่เมี่ยวเจิน
หลี่เมี่ยวเจินมองไปที่ร่างแปลงเหมือน ‘ปลาแหวกว่าย’ ของสวี่ชีอันด้วยความประหลาดใจ หลังจากเขาหลีกเลี่ยงปราณดาบของฉู่หยวนเจิ่นก็ร่อนไปทางด้านข้างหวังฆ่านางซึ่งหน้า
นางตอบสนองนิ่งเงียบ รูม่านตาเคลือบแก้ว ทำให้เสื้อผ้าของสวี่ชีอันแปรพักตร์ เข็มขัดทะยานรัดแน่นจนตัวเขาเสียศูนย์ในที่สุด
คอเสื้อหดเล็กลง พยายามบีบรัดคอนายของมันหวังเอาชีวิต ทั้งหมวกขนมิงค์ก็ตกลงมาปิดบังตาของผู้เป็นเจ้าของโดยทันที
เพราะมีหมวกมิงค์เบิกทาง หลี่เมี่ยวเจินจึงได้ใช้โอกาสนี้ในการยกระดับร่างของตนขึ้น ขณะเดียวกันก็ได้ยินคำสั่งที่ประกาศโดยสวี่ชีอัน “ความเร็วของข้าจงเพิ่มขึ้นสามเท่า”
ทันทีที่ร่างทองปรากฏขึ้นมา โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายตามอง ก็กระแทกเข้ากับหลี่เมี่ยวเจินได้อย่างใจนึก
‘ตูม!’
หลี่เมี่ยวเจินถูกกระแทกจนลอยทิ้งห่างออกไป ลำคอของนางปูดบวม อีกทั้งแขนก็หัก
หลักคำสอนของขงจื๊อได้ผลโดยแท้…
เพื่อไม่ให้เกิดการผิดพลาด ข้าจะลองไปดูสักหน่อยว่าเตียวเสี้ยนไปอยู่ที่ไหนแล้ว สวี่ชีอันคิดในใจ
หลี่เมี่ยวเจินผู้ซึ่งถูกกระแทกออกไป ทำสัญลักษณ์มุทราด้วยมือข้างเดียว ก่อนที่กึ่งกลางระหว่างคิ้วจะเปล่งแสงประกายวาบ จากนั้นหลี่เมี่ยวเจินร่างเล็กก็บินออกไป ชนเข้ากับคิ้วของสวี่ชีอันหายไปแล้วทะลุผ่านทางด้านหลังศีรษะของเขา
สวี่ชีอันที่บินอยู่พลันหยุดนิ่ง ราวกับหมดสติและร่วงลงทันที
‘ติ๊งติ๊งติ๊ง…’
ฉู่หยวนเจิ่นใช้โอกาสนี้ร่ายท่าปราณดาบเข้าโจมตีสวี่ชีอัน ราวกับตีเหล็กทำให้เกิดประกายไฟที่หนาแน่น ทว่าโชคไม่ดีที่มันไม่สามารถทะลุทะลวงเกราะป้องกันร่างทองของเขาได้
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญ พลังดาบของฉู่หยวนเจิ่นผสมผสานกับศาสตร์แห่งกระบี่ใจ ทุกการโจมตีจะใช้การโจมตีด้วยจิตเดิม
นี่คือสิ่งเบิกทางที่พวกเขาเพิ่งได้รับมาจากร่างของหลี่เมี่ยวเจิน พวกเขาพบจุดอ่อนของสวี่ชีอันแล้ว…นั่นคือจิตเดิมไม่แข็งแกร่งพอ
จอมยุทธ์ธรรมดาจะไม่เลวร้ายนักเพราะความแข็งแกร่งของจิตเดิมของพวกเขาได้ถูกทำให้สงบลงแล้ว แต่สวี่ชีอันเป็นเหมือนนักเรียนที่ถูกตัดโอกาสเพราะเพียงภาษาอังกฤษย่ำแย่ ต่างจากบัณฑิตทั่วไปที่รู้ดีว่า ‘nineteen’ แปลว่าสิบเก้า
และคนที่ช่วยเขาไว้คือหน่ายถิง
ในความเป็นจริงสำหรับคนในอาณาจักรเดียวกัน รากฐานของเขานั้นแข็งแกร่งเพียงพอ แต่ในแง่ของความแข็งแกร่งองค์รวม แม้ร่างเนื้อจะแข็งแกร่งกว่าจิตเดิมมากไม่รู้กี่เท่า ก็ถูกตัดโอกาสอยู่ดี
“ปิดจบเขาในคราวเดียว”
หลี่เมี่ยวเจินรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แขนพร้อมกับกรุ่นโกรธเล็กน้อย สะบัดข้อมือพลางหยิบธงบัญชาการทั้งเก้าออกมาราวกับนักเล่นกลแล้วโยนมันออกไปด้วยมือที่สั่นเทา
“หึหึ…”
ธงบัญชาการทั้งเก้าจัดรูปแบบกระบวนตามพระราชวังทั้งเก้าเข้าครอบคลุมสวี่ชีอัน จากนั้นนางก็เอื้อมมือออกไปและตบถุงหอมสีดำสนิทที่หลังเอวของตนเอง
ควันดำจางๆ ลอยออกมารวมเข้ากับรูปแบบกระบวนพระราชวังทั้งเก้า
ทันใดนั้นทุกคนต่างก็ตื่นตระหนก เมื่อควันสีดำลอยฟุ้งเต็มท้องฟ้า ในบางครั้งก็กลายเป็นใบหน้ามนุษย์ในท่วงท่าคำรามหรือร้องไห้
คนในเมืองหลวงที่เห็นฉากนี้พลันหน้าซีดด้วยความตกใจ
“นี่ นี่มีผีเยอะอะไรขนาดนี้?!”
“มารดามันเถอะ ผีพวกนี้ทำร้ายคนได้หรือไม่? หญิงผู้นี้ร้ายกาจมากที่ใช้วิธีชั่วร้ายเช่นนี้เพื่อจัดการกับสวี่ชีอัน”
องค์หญิงถอยทัพด้วยความตกใจ นางกลัวผีเป็นที่สุด ยามนอนคนเดียวในตอนกลางคืน นางมักเห็นภาพผีสาวผมกระเซิงหน้าเปื้อนเลือดอยู่ตลอด
แม้ว่าจะมีสาวใช้อยู่ในห้องเดียวกัน ทว่านางก็ยังกลัวอยู่ดี
ยายตัวร้ายซ่อนตัวอยู่ข้างหลังฮว๋ายชิ่งด้วยความตกใจ องค์หญิงคนโตซึ่งวางหน้าอกอยู่บนโต๊ะขมวดคิ้ว “เจ้าคือพระราชธิดาแห่งต้าฟ่งผู้มีปราณม่วง ไม่มีผีธรรมดาตนใดเข้าใกล้เจ้าได้หรอก ผีต่างหากที่ต้องกลัวเจ้า เจ้าจะกลัวอะไร?”
ยายตัวร้ายกระทืบเท้าอย่างโกรธจัด “ก็คนมันกลัวนี่ ข้าจะโดนผีกินหรือเปล่า?”
เมื่อฉ่ายเชินอีเห็นความตื่นตระหนกของผู้คนพลางเป็นกังวลถึงสวี่ชีอัน นางคิดว่ามันน่าทึ่งมาก พวกเขาไม่กลัวยอดฝีมือขั้นสี่ แต่พวกเขากลับกลัวผีที่อ่อนแอ
หลังจากที่ผีปรากฏตัว แม้แต่คนทั่วไปที่มั่นใจในตัวสวี่ชีอันต่างก็สั่นคลอนโดยคิดว่าสวี่ชีอันตกอยู่ในอันตราย
หลานหวนมองไปที่บุตรสาวพลางเอ่ยแนะ “สิ่งที่พวกเขากลัวไม่ใช่ผี แต่เป็นความกลัวที่มาจากภายใน ทหารที่ฝ่าฝืนคำสั่งห้ามด้วยกำลังและทะนงตน สิ่งแรกที่ต้องการเอาชนะคือความกลัวภายในใจของพวกเขา”
เอาชนะความกลัวภายในใจ…
หลานหวนพยักหน้า จากนั้นมองไปที่ค่ายกลร้อยผีและกล่าวว่า “สวี่ชีอันดูเหมือนจะติดอยู่ในค่ายกลผี ไม่สามารถหลบหนีได้ ซึ่งหมายความว่าเขาไม่สามารถเอาชนะความกลัวภายในของเขาได้งั้นหรือเจ้าคะ?”
“เปล่า เขาติดกับค่ายกลราชวงศ์ของนิกายสวรรค์ต่างหาก ตามที่คาดไว้ ดูเหมือนเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์จะรู้จุดอ่อนของคู่ต่อสู้แล้ว” หลานหวนกล่าว
“ปีที่แล้วข้าจัดการกับเต๋ามารแห่งนิกายปฐพี ย่อมเคยเห็นรูปแบบค่ายกลที่คล้ายกันมาก่อน ซึ่งยากมากที่จะจัดการกับมัน การโจมตีโดยเล็งไปที่จิตเดิมของทหาร หากไม่สามารถทำลายค่ายกลได้ ไม่ว่าจิตเดิมจะดื้อรั้นเพียงใดก็จะถูกกำจัดออกไปอย่างช้าๆ อยู่ดี”
หยางเยี่ยนที่เงียบขรึมเป็นเวลานานแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการต่อสู้ครั้งนี้ และเฝ้าดูด้วยสมาธิอย่างมาก
“ว่ากันว่าลัทธิเต๋านั้นช่ำชองในการเลี้ยงผีและหลอมผีตามที่คาดไว้เลย” ขุนนางท่านหนึ่งพูดเสียงดัง
“เฮ้ แม้ว่าสวี่ชีอันจะมีร่างระดับเพชรไร้พ่าย แต่ก็ไม่สามารถต้านทานการพังทลายจิตเดิมของร้อยผีได้หรอก” ขุนนางอีกคนที่รายล้อมไปด้วยทหารรักษาพระองค์พูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
พวกเขายังจำได้ดีถึงการฉ้อโกงในการตรวจสอบของจักรพรรดิครานั้น ชายแซ่สวี่ได้ปิดกั้นเจ้าหน้าที่พลเรือนและทหารที่ประตูทางเข้าด้วยดาบหนึ่งเล่มและเขียนบทกวีเพื่อทำให้พวกเขาอับอายขายหน้า
หลังจากเหตุการณ์นั้น เจ้าหน้าที่หลายคนได้เขียนหนังสือร้องเรียน ทว่าถูกองค์จักรพรรดิตีกลับทั้งหมด
ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องน่ากลัวก็ดังขึ้นราวกับกำลังสัตว์ที่เผชิญหน้ากับศัตรูธรรมชาติ
ในสายตาของผู้คน ลำแสงสีทองพาดผ่านควันสีดำที่เหมือนกับหมอกควันเข้าสลายพวกมัน
ควันสีดำหนาทึบจางหายในพริบตา วิญญาณที่ขุ่นเคืองจำนวนนับไม่ถ้วนก็สลายหายไปท่ามกลางแสงสีทองเช่นกัน ร่างของสวี่ชีอันปรากฏขึ้นต่อสายตาของผู้คนที่มุงดู เขายืนขึ้นอย่างภาคภูมิใจพร้อมกับแก่นปราณสุกใสที่ลอยอยู่เหนือศีรษะของเขา
แก่นปราณลัทธิเต๋าเป็นที่รู้กันว่าไม่มีพลังอำนาจใดต้านทาน และถือเป็นสิ่งที่อันตรธานความขุ่นมัวของโลก
‘ปัง!’
สวี่ชีอันดีดนิ้ว แก่นปราณพลันระเบิดออก พลังระเบิดอย่างรุนแรงได้สลายควันดำที่หลงเหลืออยู่ให้หายไป จากนั้นธงบัญชาการทั้งแปดก็ถูกกระชากจนขาดสะบั้น
ค่ายกลถูกทำลายแล้ว
ขณะนั้นฉู่หยวนเจิ่นก็ปรากฏตัวต่อหน้าสวี่ชีอันราวกับผี ในมือถือกระบี่ที่ทำจากหินบดละเอียด ตรงเข้าฟันหน้าผากของสวี่ชีอัน
‘โครม…’
กระบี่หินแตกเป็นเสี่ยงๆ แต่ฉู่หยวนเจิ่นกลับเผยรอยยิ้ม
กระบี่เล่มนี้ เขาใช้กระบี่ใจที่สามารถเฉือนร่างกายและฟาดฟันจิตวิญญาณในเวลาเดียวกัน
ทว่าต่อมา ฉู่หยวนเจิ่นกลับได้ยินเสียงไหม้ของกระดาษ เขาก้มหน้าด้วยความประหลาดใจ ก่อนจะพบว่าสวี่ชีอันกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่งที่ไฟกำลังมอดไหม้อยู่
กระดาษใบนี้บันทึกอะไรบางอย่างไว้…
ทันทีที่ความคิดหนึ่งผุดขึ้น ฉู่หยวนเจิ่นก็รู้คำตอบในทันที เพราะจิตเดิมของเขากำลังฉีกขาดจนได้รับความเจ็บปวด
สะท้อนกลับ!?
ไม่ ไม่ใช่แค่สะท้อนกลับ ปากของสวี่ชีอันกำลังพึมพำ “ขอให้การโจมตีสนองคืน ขอให้จิตเดิมแห่งข้าแกร่งขึ้นสิบเท่า”
มีเพียงฉู่หยวนเจิ่นเท่านั้นที่ถูกฉีกจิตเดิมออกเป็นชิ้นๆ เนื่องจากจิตเดิมของสวี่ชีอันที่แข็งแกร่งขึ้นสิบเท่า ทำให้ไม่มีสิ่งใดทำอะไรเขาได้
เมื่อสบโอกาสนี้ สวี่ชีอันจึงกระแทกหมัดซึ่งแข็งเหมือนค้อนเข้าที่หน้าผากของฉู่หยวนเจิ่น ด้วยแรงนั้นทำให้เลือดของเขารินไหลเป็นสาย กระทั่งจิตเดิมของเขาหลุดลอยออกจากร่าง
ก่อนที่ฉู่หยวนเจิ่นจะหมดสติ เขายื่นมือออกมา จนในที่สุดก็คว้าถึงดาบยาวที่ด้านหลังไว้ได้
ไม่นะ การต่อสู้ขั้นสี่จบลงแล้วหรือ…
การแสดงออกของสวี่ชีอันแปรเปลี่ยนไป พลางกระซิบบางอย่างลงที่หูของเขา
จู่ๆ ร่างของฉู่หยวนเจิ่นพลันแข็งทื่อ จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ปล่อยมือออกจากด้ามดาบ
“ท่านแพ้แล้ว”
สวี่ชีอันพูดเพียงประโยคเดียว ก่อนจะกระพือปีกที่มองไม่เห็นของตนมุ่งตรงไปสังหารหลี่เมี่ยวเจิน
เขาไม่มีเวลาแล้ว ไม่ว่าคาถาของลัทธิขงจื๊อจะแข็งแกร่งเพียงใด การพลิกฟื้นตามกฎที่สะท้อนกลับน่าสะพรึงกลัวมากยิ่งกว่า จิตเดิมของเขาแข็งแกร่งขึ้นสิบเท่าก็จริง แต่เขาไม่อาจทนความเจ็บปวดที่มาพร้อมกับแรงสะท้อนกลับหลังจากนั้นได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการสะท้อนกลับและผลกระทบของการบังคับใช้คาถา สวี่ชีอันต้องการเพียงปีกที่มองไม่เห็นคู่นี้และอาการปวดไหล่อย่างน้อยสองสามวันที่เกิดจากแรงสะท้อนกลับหลังการร่ายคาถาจบ
แต่หากบอกว่าความแข็งแกร่งของเขาเพิ่มขึ้นสิบเท่า เป็นไปได้มากว่าเขาจะกลายเป็นคนทุพพลภาพหลังจากเรื่องราวผ่านไป อาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงเป็นเวลาถึงสิบถึงสิบห้าวัน
สวี่ชีอันต้องปราบหลี่เมี่ยวเจินก่อนที่การสะท้อนกลับของพลังจะปรากฏขึ้น ไม่เช่นนั้นศึกหนักทั้งหมดที่เขาฝ่าฟันมาก็จะไร้ผล
ผลของการบังคับใช้คาถานั้นทรงพลัง ทั้งการสะท้อนกลับของพลังก็น่ากลัวมาก ฉะนั้นเขาจึงรู้ดีถึงส่วนได้ส่วนเสีย
ไร้เสียงของหลี่เมี่ยวเจิน ก่อนที่นางจะจากไปพร้อมกับกระบี่บิน ในฐานะเทพธิดาแห่งนิกายสวรรค์ นางอาจไม่ค่อยรู้เรื่องคาถาของขงจื๊อ ทว่ายังคงพอจะรู้ถึงสามัญสำนึกที่ได้ตั้งมั่นไว้
นางจงใจบินไปที่ผิวแม่น้ำ รูม่านตาเคลือบแก้ว จากนั้นแม่น้ำทั้งสายก็ถูกบังคับให้ฟังคำสั่งของนาง
เสาน้ำระเบิดขึ้นทีละลูก ขัดขวางและเข้าโจมตีสวี่ชีอัน แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเขาได้เนื่องจากพลังการป้องกันของร่างทอง แต่นั่นก็เพียงพอที่จะถ่วงเวลาตามที่ได้ตั้งเป้าหมาย
ทะลวงไปซะ…
กระดาษอีกชิ้นถูกฉีกออก ขณะที่สวี่ชีอันกำลังจะเผากระดาษ จู่ๆ มันก็แปรพักตร์ แยกตัวเองออกเป็นกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยนับไม่ถ้วนและตกลงไปในแม่น้ำตามลมที่พัดผ่าน
“เหอะ…”
เปลวไฟลุกโชนจากฝ่ามือของเขา มืออีกข้างยังคงมีกระดาษอีกแผ่นหนึ่งซ่อนอยู่ในฝ่ามือที่กำแน่น แผ่นก่อนหน้านี้เป็นเพียงกระดาษกำบัง ในช่วงต้นเป็นเพียงการลองเชิงการเคลื่อนไหวของหลี่เมี่ยวเจินเท่านั้น
ครั้นกระดาษไหม้จนหมด สวี่ชีอันกล่าวอย่างเคร่งขรึม “วางดาบสังหารลงแล้วหันกลับเข้าฝั่ง”
ช่วงบินของหลี่เมี่ยวเจินหันกลับอย่างควบคุมไม่ได้ มันบินตรงไปทางสวี่ชีอันพลางชนเข้ากับอ้อมแขนของเขา
‘ตูม!’
ทั้งสองร่างปะทะกัน จากนั้นก็ร่วงหล่นลงท่ามกลางแม่น้ำ
แม่น้ำเว่ยสุ่ยทั้งสายเดือดระอุ คลื่นยักษ์สูงหลายสิบจั้ง ซัดเข้าหาทั้งสองฝั่งทีระลอก ไม่มีใครสามารถมองเห็นการต่อสู้ที่ก้นแม่น้ำ ทว่าสามารถรับรู้ได้ว่ามันรุนแรงเพียงใด
การต่อสู้ทั้งหมดกินเวลาไปสิบห้านาที แม่น้ำสุ่ยเว่ยที่เคยใสสะอาดกลับกลายเป็น ‘แม่น้ำเหลือง’ อันขุ่นมัว
พื้นผิวแม่น้ำค่อยๆ สงบลง อารมณ์ของผู้ชมพลันตึงเครียดขึ้นทันใด ดวงตาของพวกเขาจ้องมองไปที่ผิวน้ำโดยไม่กะพริบตา
เป็นสวี่ชีอันที่ชนะใช่หรือไม่ เขาต้องชนะแน่ เขามีพลังมากถึงเพียงนั้น…
ผู้คนต่างกลั้นหายใจพลางค้นหาบุคคลทั้งสองตามแม่น้ำ
ฆ้องทองคำที่ทุบตีผู้คนจำนวนมากจับจ้องไปที่แม่น้ำ
ทั้งเจ้าสำนักมีดคู่ เจ้าสำนักดาบหลูหยา สาวงามแห่งหอหมื่นบุปผา และยอดฝีมือชาวยุทธภพมากมาย จ้องมองที่แม่น้ำอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
พวกเขารับรู้ว่าตนเองมีโอกาสสูงที่จะได้เห็นการถือกำเนิดของตำนาน
ตำนานแห่งจอมยุทธ์ระดับต่ำที่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ลัทธิเต๋าระดับสูง
โดยมีสักขีพยานตั้งแต่คนธรรมดา ชาวยุทธ์ ไปจนถึงขุนนางระดับสูง ตลอดจนทหารรักษาพระองค์ รวมๆ แล้วราวพันคน
แต่ในเวลานี้คำตอบของข้อสงสัยยังคงเงียบงัน มีเพียงเสียงหายใจที่เงียบเชียบ
ศึกครั้งนี้ถือเป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม มีจังหวะหักมุมแต่กลับเต็มเปี่ยมด้วยพลัง
ยายตัวร้ายทาบมือกับหน้าอก พลันได้ยินเสียงหัวใจเต้นราวกับกลองระรัวของตนเองทีละนิด
มือของฮว๋ายชิ่งที่อยู่ในแขนเสื้อกำแน่นอย่างเงียบๆ
พระมเหสียื้อเขย่งภายใต้หมวกริ้วตาข่าย ดวงตาอันสดสวยกลิ้งกลอกไปมา ค้นหาต่อไปในแม่น้ำอย่างไม่ย่อท้อ
‘ถ้าผลชัยชนะในการต่อสู้ครั้งนี้จบลงที่พี่ใหญ่ ชื่อเสียงและอิทธิพลที่เย็นชืดมานานจะค่อยๆ กลับมาจุดประกายขึ้นอีกครั้ง เขาจะกลับไปสู่จุดสูงสุดและกลายเป็นจุดสนใจของทุกชนชั้นในเมืองหลวง…’
สวี่ซินเหนียนสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดความตื่นเต้นของเขาให้สงบลง
ท่ามกลางสายตาของผู้คนนับหมื่น บนผิวของแม่น้ำที่เคยสงบ พลันมีหลังมือหนึ่งยื่นโผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำ จากนั้นตามมาด้วยศีรษะที่สวมหมวกขนมิงค์
ดูเหมือนเขาจะกลัวว่าหมวกขนมิงค์จะร่วงลงมา ดังนั้นเขาจึงต้องจับมันไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง
ร่างนั้นค่อยๆ ขึ้นฝั่ง ภายในอ้อมแขนมีหญิงสาวคนหนึ่งในชุดคลุมของลัทธิเต๋านอนนิ่งหมดสติอยู่
……………………………………………..