ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 334 เบาะแสแรก
บทที่ 334 เบาะแสแรก
คำถามที่รบกวนจิตใจมานานถูกถามออกไป ชั่วขณะต่อมาสวี่ชีอันก็พลันรู้สึกเสียใจทันที
ไม่ใช่ว่าคำถามนั้นผิดอะไร แต่เป็นเพราะวิธีถามของเขานั้นไม่เหมาะสม…เขาเปิดเผยตัวเองออกไปแล้ว
ลี่น่าหมายเลขห้าไม่รู้ว่าเขาคือหมายเลขสาม และสวี่ชีอันก็บอกนางไปว่าเขาเป็นสมาชิกคนนอกของพรรคฟ้าดิน แต่คำถามที่เอ่ยถามไปเมื่อครู่นี้ได้เปิดเผยตัวตนของเขาแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
อืม ต้องโทษหลี่เมี่ยวเจินที่ทำให้ข้าคิดไปเองว่าตัวตนของหมายเลขสามถูกเปิดเผยแล้ว…ทั้งยังมีต้องโทษความสับสนและเจ็บปวดในหัวของข้าตอนนี้ด้วย สติปัญญาของข้ายังไม่ฟื้นขึ้นมาเต็มที่…สีหน้าของสวี่ชีอันแข็งทื่อเล็กน้อย เขามองดูลี่น่าอย่างระมัดระวัง
“ไม่ได้!”
ลี่น่าตะโกนเสียงดังและโบกไม้โบกมืออย่างตระหนก “ข้าสัญญากับท่านย่าเทียนกู่เอาไว้แล้วว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ออกไป และจะบอกใครไม่ได้ว่าได้ยินเรื่องนี้มาจากนาง”
อ้อ ข่าวนี้ได้มาจากท่านย่าเทียนกู่นี่เอง…เดี๋ยวนะ นางยังไม่ได้ตอบสนองต่อตัวตนมนุษย์หมาป่าของข้าหรือ?!
อัจฉริยะจริงๆ…สวี่ชีอันมองลี่น่า ในแววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส
“นี่ก็เป็นสิทธิ์ของเจ้า สุภาพชนไม่เคยบังคับผู้ใด”
สวี่ชีอันพยักหน้าด้วยท่าทางไม่บังคับกดดัน แต่หลังจากลี่น่าถอนหายใจโล่งอก เขาก็เอ่ยเสียงเรียบว่า “เรามาสรุปค่าใช้จ่ายในช่วงที่เจ้าอาศัยอยู่ในจวนสวี่กันเถอะ”
อันดับแรก เขามองไปที่กระโปรงตัวเล็กสวยงามบนร่างของลี่น่าแล้วเอ่ยว่า “น้องสาวข้าให้ชุดสองตัวกับเจ้าซึ่งทอขึ้นด้วยผ้าไหมอย่างดี มันเป็นของพระราชทาน คำนวณได้สิบตำลึงต่อหนึ่งพับ รวมกับค่าแรงงานอีก เสื้อผ้าสองตัวก็คิดเป็นสามสิบตำลึง ค่าที่พักคิดเป็นสามเฉียนต่อหนึ่งคืน เจ้าพักอยู่ในบ้านมาหลายวันแล้ว เช่นนั้นก็คิดสามตำลึงแล้วกัน จากนั้นก็ค่ากิน แม่นางลี่น่า ข้าจะไม่ลงรายละเอียดปริมาณข้าวที่เจ้ากิน อยู่มาหลายวันขนาดนี้ ค่ากินทั้งหมดของเจ้าข้าจะคิดเป็นสี่สิบตำลึงเงินแล้วกัน ตอนนี้ก็ขอให้เจ้าได้โปรดชำระค่าใช้จ่ายด้วย รวมทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบตำลึง”
ลี่น่าตกตะลึง มองดูเขาอย่างงุนงงแล้วพูดว่า “เจ้าสุดยอดเลย คำนวณเงินได้เร็วมาก”
เหอะๆ ข้าก็แค่พูดมั่วๆ ไปอย่างนั้นเอง…จะหลอกเจ้าตัวโง่งมอย่างเจ้ายังต้องตั้งใจคิดคำนวณให้ละเอียดด้วยหรือ ถึงอย่างไรเจ้าก็คิดไม่ได้อยู่ดี…ไม่สิ เจ้าทำข้าออกนอกเรื่องแล้ว
สวี่ชีอันตบเตียงแล้วเอ่ยเสียงดัง “หลงประเด็นแล้ว”
สาวผิวคล้ำจากซินเจียงตอนใต้เอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ “แต่ข้าไม่อาจผิดคำพูดได้นี่นา เรื่องที่รับปากคนอื่นไว้ อย่างไรก็ตามทำตามให้ได้”
“ดี เช่นนั้นก็จ่ายเงินมา หรือไม่ก็ออกจากบ้านของข้าเสีย” สวี่ชีอันกล่าวอย่างใจร้าย
“ข้า…” ลี่น่านัยน์ตาแดงก่ำ รู้สึกว่าชาวต่างแดนเช่นตนถูกรังแกเสียแล้ว ช่างโดดเดี่ยวเดียวดายยิ่งนัก จึงย่ำเท้าเอ่ยว่า
“ข้าไปก็ได้ ข้าจะไปหานักบวชเต๋าจินเหลียน ต่อให้ข้าหิวตายอยู่ข้างนอก หรือเร่ร่อนอยู่ข้างถนน ข้าก็จะไม่ทรยศต่อท่านย่าเทียนกู่”
“เดี๋ยวก่อน”
สวี่ชีอันหยุดนางไว้แล้วใช้ความพยายามขั้นสุดท้าย “ท่านย่าเทียนกู่อยู่ที่ซินเจียงตอนใต้ใช่หรือไม่ ส่วนข้าอยู่ที่เมืองหลวง สองสถานที่อยู่ห่างกันหลายหมื่นลี้ เจ้าไม่พูดข้าไม่พูด แล้วจะถือว่าผิดคำพูดได้อย่างไรกัน”
“อย่างนั้นหรือ” ลี่น่าเอ่ยถาม
“แน่นอน” สวี่ชีอันพยักหน้าแข็งขัน “เหมือนกับการไปนอนกับสตรีที่สำนักสังคีต เขาจะเรียกว่าขายตัว แต่ถ้าไม่ได้ให้เงิน ก็ไม่ใช่การขายตัวแล้วอย่างไรเล่า เจ้าว่าใช่หรือไม่”
ลี่น่านิ่งงันไปแล้วครุ่นคิดดู รู้สึกว่าที่สวี่ชีอันพูดนั้นมีเหตุผล
สวี่ชีอันค่อยๆ โน้มน้าว “อีกอย่างเจ้าก็อยู่ต่างแดน โดดเดี่ยวเดียวดายจะตาย การเสียสละเพื่อความอยู่รอดจะถือเป็นอะไรได้ ไม่มีใครโทษเจ้าหรอกน่า”
ลี่น่าแสดงอาการลังเล ท่าทางผ่อนคลายเล็กน้อย
สวี่ชีอันโจมตีครั้งสุดท้าย “หอกุ้ยเยว่มีอาหารตลอดสามวัน พอให้เจ้ากินแน่นอน”
‘อึก’ …ลี่น่าลอบกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยเสียงตื่นเต้น “ตกลง แต่เจ้าต้องสาบานนะว่าห้ามบอกใคร”
สวี่ชีอันพยักหน้า
ลี่น่าหันหลังกลับและวิ่งเหยาะๆ ไปที่ประตูห้อง นางเปิดประตูแล้วยื่นหน้าออกไปมองรอบๆ ครู่หนึ่ง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าไม่มีใครแอบฟัง จากนั้นก็กลับมาที่โต๊ะและพูดอย่างมั่นใจว่า
“ครั้งก่อนหมายเลขสามถามในชิ้นส่วนหนังสือปฐพีว่าเขามีเพื่อนคนหนึ่งที่มักจะเก็บเงินได้บ่อยๆ มันเป็นอย่างไรกันแน่ พวกเราเผ่าเทียนกู่แห่งเผ่าพันธุ์กู่ รู้สวรรค์รู้ปฐพี เงยหน้ามองดวงดาว ก้มหน้ามองภูเขาลำธาร ไม่มีสิ่งใดที่ไม่รู้ ข้าเลยไปถามท่านย่าเทียนกู่ผู้นำแห่งเทียนกู่ นางบอกว่าคนที่เก็บเงินได้ผู้นั้นจะเป็นตัวเขาเองแน่ๆ ไม่ใช่เพื่อนอะไรทั้งนั้น…”
จู่ๆ เสียงของลี่น่าก็หยุดลง นางมองสวี่ชีอันตาค้างแล้วค่อยๆ เบิกตาโต เผยสีหน้าตื่นตะลึงอย่างยิ่งออกมา นางชี้ไปที่สวี่ชีอันแล้วร้องลั่น
“เจ้า เจ้า…เจ้าคือหมายเลขสาม?!”
เจ้าเพิ่งจะตอบสนองได้หรือ? สวี่ชีอันลอบกุมมือไว้อาลัยอยู่ในใจ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “ใช่ ข้าคือหมายเลขสาม แต่ข้าเคยรับปากกับนักบวชเต๋าจินเหลียนแล้วว่าจะไม่เปิดเผยตัวตน ตอนนี้ดียิ่ง เราสองคนผิดคำพูดกันทั้งคู่ ดังนั้นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้วกระมัง”
ลี่น่าจ้องหน้าเขานิ่งงัน สุดท้ายก็ยอมรับความจริงเรื่องที่สวี่ชีอันเป็นหมายเลขสามได้ในที่สุด ทั้งยังคิดว่าทุกคนล้วนพากันผิดคำพูด ความรู้สึกผิดในใจก็พลันคลี่คลายลงไปมาก
“ท่านย่าเทียนกู่บอกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนมีโจรสองคนขโมยของล้ำค่าหายากไปจากตระกูลใหญ่แห่งหนึ่ง ตระกูลใหญ่แห่งนั้นก็มีบางคนที่รู้เรื่อง แต่บางคนก็ยังไม่รู้สึกตัวมาจนถึงตอนนี้ ท่านย่าเทียนกู่ยังถามข้าด้วยว่าเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าบอกว่าเจ้าอยู่ที่เมืองหลวง พอได้ยินคำตอบ ท่านย่าเทียนกู่ก็ไม่อยากเชื่อ ราวกับคิดว่าเจ้าไม่สมควรจะอยู่ในเมืองหลวง”
“เดี๋ยวก่อน”
สวี่ชีอันขัดจังหวะ เขาพิงกับหมอนสูงแล้วจิบชาเงียบๆ ก่อนเอ่ยพูดขึ้นช้าๆ “เจ้าว่าต่อได้”
“ต่อมา ก่อนที่ข้าจะออกจากซินเจียงตอนใต้ ท่านย่าเทียนกู่ก็บอกข้าว่าหนึ่งในโจรสองคนนั้นคือสามีของนาง ที่ซินเจียงตอนใต้มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่ง บอกว่าสักวันหนึ่งเทพเจ้ากู่จะตื่นขึ้นมาจากขุมนรกแล้วทำลายล้างโลก ทำให้ทั่วทั้งจิ่วโจวกลายเป็นโลกที่มีแต่ชนเผ่ากู่เท่านั้น ตำนานนี้เผยแพร่จากรุ่นสู่ร่นในหมู่นักทำนายของเผ่าเทียนกู่ ถือเป็นอนาคตที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน เพื่อเปลี่ยนแปลงอนาคตนี้ ท่านปู่จึงคิดได้หนึ่งวิธี ดังนั้นจึงออกจากซินเจียงตอนใต้ แล้วเขาก็ไม่เคยกลับมา กู่เจ้าชีวิตของเผ่าพันธุ์กู่ของท่านปู่แห้งเหือด จึงคาดเดาได้ว่าเขาสิ้นแล้ว ท่านย่าเทียนกู่ยังบอกข้าอีกว่าของสิ่งนั้นกำลังจะปรากฏออกมาสู่โลก เขาเห็นว่าข้าก็จะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้นจึงให้ข้ามาแสวงหาโอกาสและโชคชะตาที่เมืองหลวง”
เมื่อลี่น่าพูดจบ นอกจากเปิดเผยเรื่องการมีอยู่ของกู่เจ็ดบรรเจิดแล้ว อย่างอื่นนอกก็พูดออกมาหมด
กู่เจ็ดบรรเจิดคือของที่ท่านย่าเทียนกู่จะมอบให้ผู้มีโชคชะตา ลี่น่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับสวี่ชีอัน ดังนั้นจึงไม่ได้เปิดเผยแก่เขา
“เข้าใจแล้ว…ลี่น่า เจ้าออกไปก่อน ข้าขอคิดเงียบๆ คนเดียว” สวี่ชีอันสั่ง “บทสนทนาในวันนี้ ห้ามเปิดเผยให้คนอื่นรู้เด็ดขาด”
“อื้ม!”
ลี่น่าพยักหน้าอย่างจริงจังแล้วเดินไปที่ประตูห้องด้วยฝีเท้าแผ่วเบาทว่ารวดเร็ว ขณะที่เปิดประตูออกไปก็หันหน้ากลับมามอง “ข้าพาหลิงอินไปหอกุ้ยเยว่ก่อนแล้วกัน เจ้าอย่าลืมตามมาจ่ายเงินให้ด้วยล่ะ”
“?”
แม้ขณะนี้เขาจะอารมณ์ไม่สู้ดี แต่ในหัวของสวี่ชีอันก็ยังมีเครื่องหมายคำถามผุดขึ้นมา
เขามองลี่น่าด้วยความประหลาดใจ “ไม่สิ เพิ่งจะผ่านมื้อกลางวันไปไม่นานมิใช่หรือ”
“เมื่อครู่ข้าพาหลิงอินไปทำท่านั่งม้า ถึงตอนนี้ท้องก็หิวแล้วน่ะสิ” ลี่น่าโบกมือและออกจากห้องไป
เจ้าพวกกระสอบถั่ว พวกเจ้าสองคนคิดจะกินจนข้าถังแตกเลยหรือ ข้าขอถอนคำสัญญาเมื่อกี้ได้ไหมเนี่ย…สวี่ชีอันอ้าปากค้าง เจ็บใจจนแทบหายใจไม่ออก
ลี่น่าวิ่งออกจากห้องอย่างมีความสุข ในใจนึกถึงแต่อาหารในหอกุ้ยเยว่ ไม่นานก็โยนเรื่องที่ผิดคำพูดเหล่านั้นออกไปจากสมองอย่างรวดเร็ว
ส่วนเรื่องความจริงที่ว่าสวี่ชีอันคือหมายเลขสามนั้น นางคิดว่าหมายเลขสามเป็นใครล้วนไม่สำคัญ ล้วนแต่ไม่เกี่ยวอะไรกับนางทั้งนั้น มีความสุขก็พอแล้ว เหตุใดต้องคิดอะไรให้เยอะแยะด้วย
ถ้าเปลี่ยนเป็นฉู่หยวนเจิ่น ตอนนี้จะต้องเกิดพายุคลั่งอยู่ในหัวอย่างแน่นอน
เมื่อเดินผ่านปีกตะวันออก นางก็ได้ยินนายหญิงสกุลสวี่กระซิบกระซาบกับบุตรสาวคนโตว่า “หลิงเยวี่ย ช่วงนี้เจ้าได้ยินเสียงแปลกๆ ตอนกลางคืนบ้างหรือไม่”
“ไม่นะเจ้าคะ”
“แต่แม่รู้สึกว่าตอนกลางคืนมีคนลอบกระซิบกระซาบอยู่นอกหน้าต่าง บางครั้งก็มีเสียงเหยียบกระเบื้องดังมาจากหลังคา เจ้าว่าในบ้านมีผีหรือไม่”
“ท่านแม่พูดไร้สาระ เดี๋ยวก็ตกใจกลัวจนนอนไม่หลับหรอกเจ้าค่ะ เช่นนั้นตอนกลางคืนข้าจะไปหาพี่ใหญ่แล้วให้เขามาเฝ้าหน้าประตูแล้วกัน”
“แม่มิได้พูดไร้สาระ เจ้าไม่รู้หรอกว่าทุกวันหลังจากหลิงอินกินมื้อเย็นเสร็จก็จะไปนั่งรออยู่ในสวน พอถามว่านางทำอะไร นางก็บอกว่าเห็นมีผีเยอะ เลยอยากจะจับมาทอด แต่ว่าจับไม่ได้ ได้ยินว่าตาของเด็กๆ สามารถมองเห็นของไม่ดีได้ด้วยนะ”
“ท่านแม่ ระดูมาหรือเจ้าคะ ผีเผออะไรกัน ในบ้านมีทั้งท่านพ่อ ทั้งพี่ใหญ่และพี่รอง ผีที่ไหนจะกล้ามารังควานบ้านเรากันล่ะ อีกอย่าง เทพธิดานิกายสวรรค์ก็อยู่ที่บ้านเช่นกัน ท่านจะกลัวอะไรล่ะเจ้าคะ”
“ก็มีเหตุผล”
คำพูดนี้พูดได้มีเหตุผลดี อาสะใภ้เริ่มเชื่อมั่นแล้ว จากนั้นก็เอ่ยต่อ “หลิงอินยังพูดกับข้าว่าแม่นางซูซูผู้นั้นเป็นผี”
“หลิงอินช่างไร้มารยาทจริงๆ กล้าหยาบคายกับแขกด้วย”
“ใช่ เดี๋ยวข้าจะไปตีนางสักที”
ลี่น่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกความจริงกับสองแม่ลูกเพื่อไม่ให้พวกเขาหวาดกลัว นางเดินไปรอบบ้านเพื่อตามหาลูกศิษย์ที่มาแอบอยู่ในสวนดอกไม้แล้วแทะกระดูกน่องไก่
“เจ้ามาแอบอยู่ตรงนี้ทำไม” ลี่น่าบิดเอวนางแล้วกล่าวอย่างโมโห “คิดจะอู้อีกแล้วหรือ”
สวี่หลิงอินเหลือบมองนางแล้วโยนกระดูกไก่ทิ้งเงียบๆ จากนั้นก็ล้มลงกับพื้นพร้อมกุมท้องเอาไว้
“เจ้าทำอะไร” ลี่น่ากะพริบตามอง
“ข้ากินน่องไก่ไม่รู้ที่มา ตอนนี้โดนพิษเข้าแล้ว นั่งท่าม้าไม่ได้แล้ว” สวี่หลิงอินประกาศเสียงดัง
“ไร้สาระ กระดูกไก่ท่อนนี้เจ้าแอบเอามาจากมื้อกลางวันต่างหาก” ลี่น่าเปิดโปงนางอย่างชาญฉลาด
สวี่หลิงอินตกตะลึง ไม่คิดเลยว่าแผนการของตนจะถูกอาจารย์มองเห็นได้ชัดเจนเช่นนี้ สมแล้วที่เป็นอาจารย์ ฉลาดกว่านางจริงๆ ด้วย ดังนั้นความคิดของนางจึงแล่นเร็วจี๋ แล้วพลันโพล่งเสียงดังออกมาว่า
“นี่คือน่องไก่ที่พี่ใหญ่กินเหลือ บนนั้นมีน้ำลายของเขาอยู่ น้ำลายของพี่ใหญ่ก็มีพิษ ข้าเลยทำท่านั่งม้าไม่ได้อย่างไรเล่า”
“น้ำลายของพี่ใหญ่เจ้าไม่มีพิษเสียหน่อย” ลี่น่าเปิดโปงนางอีกครั้ง
“เจ้าไม่เคยกินน้ำลายของพี่ใหญ่นี่นา แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าน้ำลายของเขาไม่มีพิษ” สวี่หลิงอินไม่ยอมแพ้
ลี่น่าชะงักงัน ไม่รู้ว่าควรจะโต้แย้งอย่างไรดี ดังนั้นนางจึงตีสวี่หลิงอินไปยกหนึ่ง
อาจารย์สั่งสอนลูกศิษย์ เป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมแล้ว
ลูกศิษย์คนนี้ฉลาดไปหน่อย ถ้าไม่ตีตอนนี้ ผ่านไปอีกสองสามปีนางคงคุมไม่อยู่แน่ๆ!
…
ในห้อง สวี่ชีอันอดทนต่ออาการปวดหัวแล้วนั่งลงกับโต๊ะ จากนั้นเขียนคำสี่คำลงบนกระดาษเซวียนจื่อ ‘ยี่สิบปีก่อน’
เดิมทีเขาไม่อยากวิเคราะห์และคิดหาเหตุผลในสภาพย่ำแย่เช่นนี้หรอก เพราะจะทำให้เกิดความผิดพลาดอย่างมาก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความลับสำคัญบนร่างของเขา สวี่ชีอันไม่อยากรอแม้แต่ชั่วขณะเดียว
เขาขมวดคิ้ว สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเขียนประโยคที่สองลงไป ‘โจรสองคน’
แล้วก็ครุ่นคิดต่ออีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็เขียนประโยคที่สาม ‘เหลือแค่หนึ่งคน’
จุดนี้ไม่น่าสงสัย ท่านย่าเทียนกู่ไม่มีทางคาดการณ์ผิดพลาด ในฐานะที่เป็นผู้นำคนปัจจุบันของเทียนกู่ ท่านย่าผู้นี้ไม่มีทางทำผิดพลาดในเรื่องเช่นนี้แน่นอน
หนึ่งในสองโจรเมื่อตอนนั้นเสียชีวิตไปแล้ว
สุดท้ายเขาก็เขียนลงบนกระดาษเซวียนจื่อว่า ‘เทพเจ้ากู่ วันสิ้นโลก!’
เขาลุกขึ้นเดินไปที่โต๊ะกลมแล้วรินชาเย็นๆ มาดื่มหนึ่งแก้ว เมื่อดื่มเสร็จ เขาก็กลับมาที่โต๊ะเขียนหนังสืออีกครั้ง แล้วเขียนประโยคหนึ่งต่อจาก ‘ยี่สิบปีก่อน’
‘ศึกที่ด่านซานไห่’
ตอนอยู่บนเรือหลวงที่แล่นกลับเมืองหลวงจากอวิ๋นโจว ก่อนข้าจะตื่น ข้าฝันเห็นภาพการรบที่ด่านซานไห่ และได้เห็นเว่ยเยวียนสมัยหนุ่ม…เรื่องนี้ผิดหลักวิทยาศาสตร์อย่างมาก เพราะเมื่อยี่สิบปีก่อนข้าเพิ่งจะเกิดนี่นา ไม่มีทางผ่านสมรภูมิด่านซานไห่อย่างแน่นอน และไม่มีทางมีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับช่วงนั้นด้วย
ประกายในแววตาของสวี่ชีอันส่องวาบ แล้วเขียนลงไปข้างๆ ‘โจรสองคน’ ว่า ‘โชคชะตา’
ท่านย่าเทียนกู่ยืนยันแน่ชัดว่าข้าคือคนที่เก็บเงินได้ ทั้งยังคิดว่าข้าเกี่ยวข้องกับสองโจรเมื่อตอนนั้น แต่ความลับใหญ่หลวงในตัวข้าคืออะไร? มันก็คือโชคชะตาอย่างไรล่ะ!
ดังนั้น สองโจรเมื่อตอนนั้นก็ได้ขโมยโชคชะตาของต้าฟ่งไปอย่างนั้นหรือ ตอนที่อยู่ในสุสาน ภิกษุเสินซูเคยพูดว่าโชคชะตาของข้าเคยถูกหล่อหลอมแล้ว…
สวี่ชีอันจุ่มน้ำหมึก แล้วเขียนไว้ข้างหลัง ‘เหลือแค่หนึ่งคน’ ว่า ‘โหรที่อวิ๋นโจว?’ “
ที่เขียนเครื่องหมายคำถามเอาไว้ด้วยก็เพราะว่าไม่แน่ใจ
เจ้าสำนักจ้าวโส่วเคยบอกว่าขุมอำนาจสามแห่งที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโชคชะตา คือ ลัทธิขงจื๊อ โหร และราชวงศ์ อันดับแรกตัดราชวงศ์ออกไปได้เลย ข้าไม่มีทางเป็นสมาชิกในราชวงศ์แน่ ต่อมาก็ตัดลัทธิขงจื๊อออกไป จุดแข็งที่สุดของระบบลัทธิขงจื๊ออยู่ที่วาจาบัญญัติกฎ ไม่ใช่การใช้โชคชะตา
มีเพียงพวกโหรเท่านั้นที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้โชคชะตา ข้าสงสัยว่าโหรขั้นหนึ่งกับขั้นสองจะเป็นพวกที่ต้องเกี่ยวข้องกับโชคชะตาอย่างมาก
แล้วใครเป็นคนขโมยโชคชะตาของต้าฟ่งไปกันล่ะ ทั้งยังหลอมกลั่นมันแล้วนำมาซ่อนไว้ในร่างของข้าด้วย
ก่อนหน้านี้สวี่ชีอันคิดว่าเป็นท่านโหราจารย์ เพราะตัวเขาถูกท่านโหราจารย์จัดการนู่นนี่อยู่ตลอด แต่ตอนนี้เขาเกิดความสงสัย
ท่านโหราจารย์จะเป็นขโมยหรือไม่นะ ท่านโหราจารย์แห่งต้าฟ่งผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งราชวงศ์ไม่มีใครที่ใช้โชคชะตาได้เก่งกว่าเขาอีกแล้ว หากเขาคิดจะขโมยโชคชะตาแห่งต้าฟ่งไปจริงๆ ก็ต้องไปสมคบคิดกับคนของเทียนกู่จากซินเจียงตอนใต้ด้วย
แบบนั้นจะเป็นการดูถูกโจรขั้นหนึ่งผู้นี้มากเลยนะ
เมื่อเทียบกับท่านโหราจารย์แล้ว ข้าสงสัยโหรที่ปรากฏตัวที่อวิ๋นโจวผู้นั้นมากกว่า อย่างน้อยคนผู้นั้นก็เป็นโหรลึกลับขั้นสาม เขาอาจจะสมคบคิดกับหัวหน้าเผ่าเทียนกู่รุ่นก่อนแล้วขโมยโชคชะตาแห่งต้าฟ่งไปก็ได้
เนื่องจากทั้งสองคนสมคบคิดกัน ดังนั้นจึงปกปิดสายตาของท่านโหราจารย์ได้ภายในช่วงสั้นหรือ? โชคชะตาที่ถูกขโมยไปเมื่อยี่สิบปีก่อน และเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อยี่สิบปีก่อนนั้น ก็มีเพียงศึกที่ด่านซานไห่เท่านั้นที่ส่งผลกระทบต่อขุมอำนาจทั้งหลายในจิ่วโจว ซึ่งเป็นสมรภูมิใหญ่ที่มีทหารมากถึงหนึ่งล้านคน
การที่ข้าเห็นศึกที่ด่านซานไห่ในฝันก็สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ แม้ว่าข้าจะไม่เคยเข้าร่วมการศึก แต่เป็นไปได้อย่างยิ่งว่านี่อาจไม่ใช่ความทรงจำของข้า ทว่าเป็นภาพที่มาพร้อมกับการฟื้นคืนชีพของโชคชะตาอย่างนั้นหรือ? เมื่อเป็นเช่นนี้ ศึกที่ด่านซานไห่เมื่อปีนั้นก็ไม่ใช่การสู้รบธรรมดาๆ แล้ว หากตรวจสอบได้ว่าชนวนคืออะไร ไม่แน่อาจจะพบเบาะแสมากขึ้นก็ได้
เหตุใดโชคชะตาถึงได้มาอยู่บนร่างของข้า ข้าเป็นเพียงต้าหลางสกุลสวี่ธรรมดาๆ เท่านั้นนะ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะเอาโชคชะตามาไว้ที่ข้า….
มอบของสำคัญเช่นนี้ให้ข้า แต่ยี่สิบปีมานี้กลับเงียบงันไร้วี่แวว คนผู้นั้นมอบให้ข้าเปล่าๆ จริงหรือ?
ทันใดนั้น ร่างกายของสวี่ชีอันก็สั่นสะท้าน ดวงตาเบิกโพลง เขานิ่งค้างเหมือนรูปปั้นเช่นนั้นเป็นเวลานาน จากนั้นก็เขียนลงไปบนกระดาษเซวียนจื่อด้วยมืออันสั่นเทาอีกว่า
‘คดีเงินภาษี!’
………………………………………………………..