ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 338 เยี่ยมเยือนสำนักโหราจารย์
บทที่ 338 เยี่ยมเยือนสำนักโหราจารย์
“ใช่ขอรับ ตอนนี้ทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว เหลือเพียงพระมเหสี”
ฉู่เซียงหลงลดเสียงลงและพูดด้วยเสียงที่มีเพียงเขากับจักรพรรดิหยวนจิ่งสามารถได้ยินเท่านั้น
ใบหน้าอันไม่ยินดียินร้ายของจักรพรรดิเฒ่าเผยสีหน้ามีความสุขที่ยากจะควบคุมออกมา เขาหายใจเข้าลึกๆ ระงับเสียงหัวเราะที่พุ่งมายังลำคอและพยักหน้าช้าๆ
“ดีมาก ไหวอ๋องไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ดีมาก ดีมาก!”
ฉู่เซียงหลงกล่าวต่อ “ข้าน้อยยังมีอีกหนึ่งคำขอ ข้าน้อยเกิดความผิดพลาดตอนกำลังฝึกฝน จึงไม่อาจสู้ศึกระยะยาวและสู้อย่างเต็มกำลังได้ ขอฝ่าบาทโปรดส่งคนไปคุ้มกันพระมเหสีไปทางเหนือด้วยเถิด”
จักรพรรดิเฒ่ามองพินิจเขา สายตาเฉียบคมเล็กน้อยและถามอย่างสงสัย “เกิดความผิดพลาดระหว่างฝึกฝนในเวลานี้หรือ”
ฉู่เซียงหลงรีบก้มศีรษะลง ประสานมือและเอ่ยอย่างเกรงกลัว “ฝ่าบาทโปรดอภัย ฝ่าบาทโปรดอภัยให้ข้าน้อยด้วย…”
เขารู้ว่าจักรพรรดิเฒ่าขี้สงสัย หากไม่อธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน แม้ว่าเขาจะเป็นคนสนิทของอ๋องสยบแดนเหนือ จักรพรรดิเฒ่าก็ย่อมต้องสงสัย
ดังนั้นเขาจึงเล่าเรื่องที่ตัวเองสมคบคิดกับสวี่ชีอันเพื่อพลังเทพวชิระและร่วมมือกับเฉากั๋วกงเพื่อใช้คดีฉ้อโกงการสอบคัดเลือกเป็นข้าราชการบีบบังคับออกมาอย่างละเอียด
“ไอ้สารเลว!”
เมื่อจักรพรรดิหยวนจิ่งฟังจนจบก็โกรธจัด เท้าข้างหนึ่งเตะฉู่เซียงหลงจนกระเด็นออกไป ผมและเคราเปิดออก เขาลดเสียงลงและตะโกนด้วยความโกรธ “หากไม่ใช่เพราะข้ายังมุ่งหวังจะให้เจ้าทำเรื่องต่างๆ ข้าคงตัดหัวเจ้าทิ้งบัดเดี๋ยวนี้”
ฉู่เซียงหลงหมอบกราบ
จักรพรรดิหยวนจิ่งเดินไปมาในห้องทรงพระอักษรและครุ่นคิด “หากส่งทหารรักษาวังไปคุ้มกันจะสะดุดตาเกินไป ไม่เหมาะสม การขนย้ายเสบียงก็ช้าและยังไม่เตรียมพร้อม หากไปพร้อมกับเสบียง กว่าจะถึงทางเหนือก็เกือบปลายฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูใบไม้ร่วง พรรคต่างๆ ในท้องพระโรงก็จะยื่นหนังสืออีกครั้งและส่งคนไปตรวจสอบเรื่องสังหารเลือดหมู่สามพันลี้อย่างละเอียด…เช่นนั้นก็ให้พระมเหสีร่วมทางกับทีมที่จะขึ้นเหนือเพื่อไปสืบสวนคดี ทั้งสามารถหลอกผู้คนได้และยังมียอดฝีมือคุ้มกันอีกด้วย”
เมื่อพูดจบ จักรพรรดิหยวนจิ่งก็ส่ายหน้า “ยังคงไม่เหมาะสม พระมเหสีมีรูปลักษณ์งดงาม แม้ว่าจะมีวรยุทธ์ปิดบังกลิ่นอายปกปิด แต่รูปลักษณ์ของนาง…”
ดวงตาของฉู่เซียงหลงเป็นประกายและพูดว่า “เรื่องนี้ง่ายยิ่ง ฝ่าบาท พระมเหสีมีของวิเศษอยู่กับตัว ไม่เพียงแต่สามารถเปลี่ยนรูปลักษณ์ได้ แต่ยังสามารถปกปิดกลิ่นอายและกลายเป็นหญิงสาวธรรมดาได้อีกด้วย”
จักรพรรดิหยวนจิ่งขมวดคิ้ว “นางไปเอาของวิเศษมาจากไหน”
ฉู่เซียงหลงกล่าวว่า “พระมเหสีบอกว่าราชครูมอบให้ นางเคยใช้ของชิ้นนี้แอบหนีออกจากจวนไปหลายครั้ง”
จักรพรรดิหยวนจิ่งเงียบไปครู่หนึ่งและเอ่ยว่า “เรื่องนี้จะกำหนดไว้ชั่วคราว ส่วนรายละเอียดค่อยว่ากันในภายหลัง”
…
สวี่ชีอันเดินเท้ามายังหอดูดาว ด้านซ้ายเป็นจงหลี ด้านขวาเป็นหลี่เมี่ยวเจิน และยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งตามมาข้างหลังคือ เหิงหย่วน ฉู่หยวนเจิ่น ลี่น่า ซูซู และคนอื่นๆ
หยางเชียนฮ่วนไม่อยู่ในกลุ่ม เขาล่วงหน้ากลับไปที่สำนักโหราจารย์ก่อน หากเขาอยู่ในกลุ่ม เขาคงรับมือได้ยาก
หากเขาวิ่งอยู่ด้านหน้าทุกคน เหล่าศิษย์น้องในหอดูดาวจะเห็นใบหน้าของเขาได้ หากเขาวิ่งอยู่ด้านหลังทุกคน ฝูงชนบนถนนก็จะเห็นใบหน้าด้านข้างของเขาได้
หยางเชียนฮ่วนสังเกตเว่ยเยวียนกับท่านโหราจารย์มาหลายปีและหาเหตุผลที่คนใหญ่คนโตไม่ออกไปไหนได้ ตัวอย่างเช่น ตาเฒ่าโหราจารย์ เขาเอาแต่นั่งเหม่อลอยและดื่มเหล้าที่แท่นแปดทิศ
คนใหญ่คนโตเดินทางด้วยการนั่งรถม้า ซึ่งปิดกั้นโอกาสที่ฝูงชนจะได้ชมรูปโฉม
ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าสวี่ชีอันและคนอื่นๆ จะมาที่สำนักโหราจารย์ หยางเชียนฮ่วนก็เปล่งประกายออกไปก่อน
“นายท่าน ประเดี๋ยวข้าจะได้รับกายเนื้อแล้วใช่หรือไม่” ใบหน้ากระดาษอันตื่นเต้นของซูซูแดงขึ้น
หลี่เมี่ยวเจินไม่ได้ตอบ แต่ในดวงตามีความคาดหวัง หากสามารถสร้างกายเนื้อใหม่ให้กับซูซูได้ก็ถือว่าทำความปรารถนาอันยาวนานหลายปีของสาวใช้คนนี้สำเร็จ
ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ต่างก็สนใจงานของซ่งชิงอย่างหมดจด
ซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์ เลื่องลือกันว่าเป็นรองท่านโหราจารย์และเป็นอันดับหนึ่งด้านการเล่นแร่แปรธาตุ เขามีชื่อเสียงโด่งดังและพวกเขาก็ชื่นชมเขามานานแล้ว
และสาเหตุที่เขาถูกจัดให้เป็นรองท่านโหราจารย์ก็เพราะท่านโหราจารย์พึ่งพิงโหรระดับหนึ่งบังคับกดข่มเอาไว้ หากพิจารณาเพียงแค่ความเว่อร์วังและพัฒนาการของการเล่นแร่แปรธาตุ เกรงว่าท่านโหราจารย์อาจจะด้อยกว่าซ่งชิง
เมื่อก่อนไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าสำนักโหราจารย์ แต่ตอนนี้มีสวี่ชีอันนำทาง โอกาสหายากเช่นนี้ ย่อมต้องมาเยี่ยมเยือน ชมการเล่นแร่แปรธาตุของซ่งชิงและหอดูดาว
เมื่อเข้ามาใกล้หอดูดาว จู่ๆ ก็มีเงาร่างในชุดกระโปรงสีเหลืองพุ่งออกมาจากในห้องโถงใหญ่ชั้นหนึ่ง ฉู่ไฉ่เวยที่มีดวงตากลมโต ใบหน้ารูปไข่และรอยยิ้มหวานชวนให้ลุ่มหลงออกมาต้อนรับ
ลี่น่าทักทายอย่างมีความสุข
“ข้าห่ออาหารหนึ่งโต๊ะที่หอคอยกุ้ยเยว่รอให้เจ้ามา” ฉู่ไฉ่เวยกระโดด
“มีขาหมู ไข่เป็ดเยี่ยวม้า ซุปไข่ปลาที่ข้าชอบกินหรือไม่…” ลี่น่ากระโดดอย่างมีความสุข
“มีสิ เอ๋ หลิงอินไม่ได้มาหรือ”
“นางถูกแม่ของนางกักตัวไว้ในจวน ร้องไห้เสียงดัง”
“น่าเสียดายจริงๆ นางไม่ได้มา อาหารทั้งหมดก็เป็นของพวกเรา ฮ่าๆๆ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน คิกๆๆ”
สองสาวจูงมือกัน ทิ้งทุกคนไว้และเดินจากไป
สวี่ชีอันเปิดปากและหันกลับมาพูดกับทุกคน “ข้าค่อนข้างคุ้นเคยกับสำนักโหราจารย์ ข้าพาพวกเจ้าเยี่ยมชมก็เหมือนกัน”
เขาไหว้วานหยางเชียนฮ่วนกลับมาส่งข่าวและบอกซ่งชิงว่า เขาจะพาเพื่อนมาเยี่ยมชมสำนักโหราจารย์
เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ กลิ่นของส่วนผสมยาก็โชยมาเตะจมูก เหล่าโหรที่สวมชุดขาวต่างก้มศีรษะยุ่งอยู่กับการหั่นส่วนผสมยา ต้มยาหรือพลิกอ่านตำราแพทย์…
ในเวลานี้เอง โหรทุกคนก็หยุดงานในมืออย่างพร้อมเพรียง สายตามองไปที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่และทักทายเสียงดัง “คุณชายสวี่!”
ทุกคนไม่รู้สึกแปลกใจกับท่าทางเคารพนับถือของเหล่าโหรระดับเก้า ก่อนหน้านี้ตอนหมายเลขหนึ่งเล่าถึงข้อมูลของฆ้องทองแดงสวี่ชีอันในชิ้นส่วนหนังสือปฐพี เขาเคยกล่าวว่าชายคนนี้เชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุและมีความสัมพันธ์อันดียิ่งกับซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าโหรจะเป็นพวกหยิ่งยโสและมีตำแหน่งของผู้สืบทอดลัทธิขงจื๊อจางๆ แต่ระดับเก้าก็คือระดับเก้า ความแตกต่างของระดับไม่อาจชดเชยด้วยความแตกต่างของระบบได้
‘สวี่หนิงเยี่ยนเป็นหมากของท่านโหราจารย์ บางทีเขาอาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญการเล่นแร่แปรธาตุ ทุกอย่างล้วนเป็นภาพลวงตาที่ท่านโหราจารย์สร้างขึ้นเพื่อทำให้เขาใกล้ชิดกับสำนักโหราจารย์อย่างสมเหตุสมผลและตบตาผู้คน…’ ฉู่หยวนเจิ่นคิดลึกไปอีกขั้น
สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์น้องทุกคนลำบากแล้ว ศิษย์น้องทำงานต่อเถิด”
หลังจากกล่าวทักทายเสร็จ เขาก็พาฉู่หยวนเจิ่นกับคนอื่นๆ เดินขึ้นบันไดและพูดจาฉะฉาน
“สำนักโหราจารย์มีเก้าชั้น ห้องโถงใหญ่ชั้นแรกเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของโหรระดับเก้า ชั้นสองเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมของนักพยากรณ์ระดับแปดเป็นต้น ชั้นที่เก้าเรียกอีกชื่อว่าแท่นแปดทิศ เป็นเขตของท่านโหราจารย์”
“ข้าได้ยินมาว่า ท่านโหราจารย์เหมือนจะนั่งที่แท่นแปดทิศมาหลายปีแล้ว” หลี่เมี่ยวเจินกล่าว
ข้าเข้าใจความหมายของเจ้า ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่า ท่านโหราจารย์เขาไม่ขับถ่ายหรือ…สวี่ชีอันพร่ำบ่นในใจ แต่ภายนอกแสดงท่าทางเคารพนอบน้อม
“ว่ากันว่า ท่านโหราจารย์ต้องเพ่งสมาธิเฝ้าดูโลกมนุษย์”
‘เพ่งสมาธิเฝ้าดูโลกมนุษย์…’ ทุกคนต่างเกิดความรู้สึกนับถือขึ้นมา พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของท่านโหราจารย์สูงส่งขึ้นไร้ใดเทียบในระหว่างที่ไม่รู้ตัว
มีสไตล์ขึ้นมาทันที
ท่านโหราจารย์ควรได้ยินที่ข้าเยินยอเขา สวี่ชีอันคิดในใจ
พวกเขาเดินขึ้นไปข้างบนต่อ ระหว่างทาง โหรชุดขาวที่พบสวี่ชีอันทุกคนต่างก็ทักทายเขาด้วยความเคารพ ราวกับว่ารุ่นน้องพบกับอาจารย์หลังเลิกเรียน
นี่ทำให้ฉู่หยวนเจิ่นและคนอื่นๆ ตระหนักได้อย่างช้าๆ ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หากเพียงแค่มีความสัมพันธ์อันดี เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น เหล่าโหรชุดขาวไม่เคยทักทายจงหลี แต่จงหลีเป็นศิษย์คนที่ห้าของท่านโหราจารย์ สถานะควรจะสูงมากถึงจะถูก
‘อืม อาจจะเป็นเพราะเคราะห์ร้ายติดตัวของนาง คนอื่นจึงไม่กล้าแตะต้อง’ ฉู่หยวนเจิ่นแอบคาดเดา
‘ข้าเพียงคิดว่าใต้เท้าสวี่มีความสัมพันธ์อันดีกับโหรแห่งสำนักโหราจารย์ แต่ความเคารพที่โหรเหล่านี้แสดงออกมาไม่ใช่สิ่งที่ความสัมพันธ์อันดีจะอธิบายได้…’ หมายเลขหกเหิงหย่วนตกตะลึง
‘เจ้าเด็กนี่มีเกียรติในสำนักโหราจารย์มากหรือ’ หลี่เมี่ยวเจินครุ่นคิดด้วยความประหลาดใจ
‘ว้าว บุรุษเจ้าสำราญเช่นสวี่หนิงเยี่ยนไม่ได้หลอกกันจริงๆ เขามีหน้ามีตาในสำนักโหราจารย์เช่นนี้เชียวหรือ แต่ข้าได้ยินมาว่านักเล่นแร่แปรธาตุระดับหกเป็นกลุ่มที่หยิ่งผยองมากที่สุดในสำนักโหราจารย์ พวกเขาจะไว้หน้าสวี่หนิงเยี่ยนหรือไม่?’ ซูซูทั้งตื่นเต้นทั้งเป็นกังวล
“ห้องเล่นแร่แปรธาตุอยู่ที่ชั้นเจ็ดและยังเป็นฐานหลักของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุอีกด้วย ปกติพวกเขาจะค้นคว้าการเล่นแร่แปรธาตุ กินและพักอยู่ที่นี่” สวี่ชีอันกล่าว
ซูซูผู้เฉลียวฉลาดเกิดคำถามจึงเอ่ยเสียงหวาน “เจ้าบอกว่าชั้นกำหนดตามระดับไม่ใช่หรือ การเล่นแร่แปรธาตุคือระดับหก มันก็ควรอยู่ชั้นที่สี่ถึงจะถูก”
“ในทางทฤษฎีก็เป็นเช่นนั้น แต่ในความเป็นจริงมักจะมีช่องว่างเสมอ คำถามนี้ ข้าคิดว่าศิษย์พี่จงน่าจะให้คำตอบเจ้าได้” สวี่ชีอันมองไปทางจงหลีที่มีผมเผ้ายุ่งเหยิงและเดินตามเขามาอย่างเชื่อฟังโดยไม่พูดอะไรสักคำ
จงหลีเอ่ยเสียงเบา “ระดับห้าของสำนักโหราจารย์มีเพียงข้าคนเดียว ระดับสี่ก็มีเพียงศิษย์พี่หยางคนเดียว ระดับสามคือศิษย์พี่รอง”
ท่ามกลางสายตาของทุกคนที่จับจ้อง นางพูดด้วยเสียงที่เบามากและไม่กล้าพูดออกมาเสียงดัง
“เข้าใจแล้ว โหรระดับสูงนั้นหายาก หนึ่งคนครอบครองหนึ่งชั้นไปก็ไม่มีความหมายจึงไม่จำเป็น”
เหิงหย่วนทอดถอนใจ “การเลื่อนขั้นของระบบโหรช่างยากจริงๆ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ เขากับฉู่หยวนเจิ่นก็มองไปทางจงหลีพร้อมกันและจดจำเคราะห์ร้ายอันน่าสังเวชของหญิงสาวคนนี้ได้ขึ้นใจ
จงหลีก้มศีรษะลงอย่างเศร้าใจ
ซูซูถามด้วยน้ำเสียงประหม่าอย่างยิ่ง “การสร้างร่างกายของซ่งชิงประสบความสำเร็จแล้วจริงๆ หรือ เขา เขาเต็มใจจะมอบให้ข้าจริงๆ หรือ”
ทุกคนมองไปทางสวี่ชีอันทันที
นี่…ข้าเองก็ยุ่งมาก จะเอาเวลาไหนไปสนใจการทดลองผีสางของซ่งชิง สวี่ชีอันกล่าวอย่างเขินอาย “ข้าก็ไม่ค่อยแน่ใจเช่นกัน”
จงหลีเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ศิษย์น้องซ่งสร้างคนขึ้นมาจริงๆ ว่ากันว่าวันนั้นเหล่าศิษย์น้องระดับหกต่างก็เดือดพล่าน สิ่งที่ทำให้คนคาดไม่ถึงมากที่สุดคือ แม้แต่ท่านอาจารย์โหราจารย์ก็ไม่ได้ลงโทษเขา ในช่วงเวลานั้น ศิษย์น้องซ่งภูมิใจในตัวเองมาก แต่ก็ยังไม่มีใครเห็นผลงานของเขา นอกจากเหล่าศิษย์น้องที่เข้าร่วมการสร้างในตอนนั้น ส่วนศิษย์น้องซ่ง นี่เป็นก้าวที่ยิ่งใหญ่ในอาชีพการเล่นแร่แปรธาตุของเขา เขาเอาใจใส่มันดั่งสมบัติล้ำค่าและไม่ให้ใครดู แม้แต่ข้า แม้แต่ศิษย์พี่หยาง ศิษย์น้องซ่งก็ไม่ให้ดู เขาบอกว่า ของดีมีไว้ให้เพื่อนที่มีปณิธานเดียวกันชื่นชมเท่านั้น ปุถุชนคนธรรมดาไม่สมควรได้ดูผลงานของเขา แน่นอนว่า ศิษย์พี่หยางก็รังเกียจที่จะไปดู เพราะในสายตาของศิษย์พี่หยาง ศิษย์น้องซ่งก็เป็นปุถุชนคนธรรมดาที่น่าสังเวช”
สายตาที่ทุกคนมองไปทางสวี่ชีอันเต็มไปด้วยความไม่ไว้วางใจทันที
ในความคิดของพวกเขา ซ่งชิงเป็นคนขี้ระแวง หมกมุ่นอยู่กับการเล่นแร่แปรธาตุ ระดับการให้ความสำคัญกับผลงานของคนแบบนี้แค่คิดก็รู้
แม้แต่ศิษย์พี่หญิงกับศิษย์พี่สำนักเดียวกันก็ไม่ให้ดู นับประสาอะไรกับคนนอกเช่นสวี่ชีอัน แม้ว่าสวี่ชีอันกับสำนักโหราจารย์จะมีความสัมพันธ์อันดียิ่งต่อกัน แต่ความสัมพันธ์ดีเพียงใด จะดีกว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันเชียวหรือ
แสงในดวงตาของซูซูริบหรี่ลงทันที
หลี่เมี่ยวเจินส่งสายตาปลอบโยนให้นางและถ่ายโอนเสียง “อดทนไว้ วันหนึ่งมันจะผ่านไปได้ด้วยดี ข้าจะคิดหาวิธีดูผลงานของซ่งชิง”
ซูซูพยักหน้าและถ่ายโอนเสียงตอบ “ยังคงเป็นเจ้านายที่พึ่งพาได้”
ขณะที่พูดคุยและเดิน ทุกคนก็เข้าไปในห้องเล่นแร่แปรธาตุ ภายในห้องกว้าง นักเล่นแร่แปรธาตุกลุ่มหนึ่งขลุกอยู่กับการทดลอง บนโต๊ะของแต่ละคนมีขวด กระป๋อง ของใช้และวัสดุอื่นๆ วางอยู่
“ศิษย์พี่ซ่ง ดินปืนชนิดใหม่ของท่านใช้ไม่ได้ ระเบิดทุกครั้ง ข้าสงสัยว่าศิษย์พี่หญิงจงกำลังสาปแช่งพวกเราอยู่” มีคนพูดขึ้นมา
“จ้าวเจี่ยวสูตรใหม่ของข้าก็พลาดไปหนึ่งก้าว หากข้าไม่สามารถพัฒนาจ้าวเจี่ยวที่เหนือกว่าตอนนี้ได้ เช่นนั้นสูตรนี้ก็คงไม่มีความหมาย”
“การเล่นแร่แปรธาตุของข้าก็พลาดไปก้าวหนึ่ง หากครั้งนี้ล้มเหลวอีก เงินที่ข้าเสียไปทั้งหมดก็มากกว่าหนึ่งพันตำลึงแล้ว…”
ในเวลานี้เอง ซ่งชิงก็เงยหน้าขึ้นจากโต๊ะและเห็นทุกคนที่เดินเข้ามาในห้องเล่นแร่แปรธาตุ
เขาชะงักก่อน จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ บิดเบี้ยวและค่อยๆ ดุร้าย เขาตะโกนว่า “ศิษย์พี่หญิงจงมา!”
ทั้งห้องเล่นแร่แปรธาตุเงียบสนิท จากนั้นวุ่นวายโกลาหลไปหมด
“ดับไฟ รีบดับไฟเร็ว…”
“เตาเล่นแร่แปรธาตุของข้าพังอีกแล้ว…พระเจ้า”
“เร็ว หยุดให้หมดๆ ห้องเล่นแร่แปรธาตุจะระเบิดไม่ได้ ในนี้เต็มไปด้วยดินปืนที่ทำพลาด…”
ใบหน้าของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุบิดเบี้ยว ราวกับกำลังทำสงครามและจัดการงานในมืออย่างรวดเร็ว
ครู่หนึ่ง ทุกอย่างก็สงบลง
“ไม่ระเบิดหรือ”
“ใช่ศิษย์พี่หญิงห้าจริงๆ หรือ หรือเป็นคนอื่นปลอมตัวมา”
ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ จงหลีก้มศีรษะลงและเดินออกไปอย่างเงียบๆ แผ่นหลังของนางทั้งดูโดดเดี่ยวและน่าสงสาร
ทันใดนั้น แขนของนางก็ถูกคว้าเอาไว้ จงหลีหันกลับมาและเห็นสีหน้าไม่พอใจของสวี่ชีอัน เขาตำหนิว่า “เจ้าจะไปไหน อย่าออกห่างจากข้า เจ้าจะไปไหนไม่ได้ อยู่ข้างกายข้าอย่างเชื่อฟังเสีย มีข้าอยู่ ไม่เป็นไรหรอก”
จงหลีมองเขาอย่างแน่วแน่ครู่หนึ่ง ดวงตาที่ซ่อนอยู่ในเส้นผมเหมือนจะเป็นประกาย นางผงกหัวอย่างแรงและพูดอย่างเชื่อฟัง “อืม”
อีกด้านหนึ่ง เหล่านักเล่นแร่แปรธาตุจัดเก็บขยะและหยุดการทดลอง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองทุกคน ในดวงตาเต็มไปด้วยการตรวจสอบ
ใจของหลี่เมี่ยวเจินหนักอึ้ง นางรู้สึกว่าการเดินทางมาสำนักโหราจารย์ครั้งกว่าครึ่งมาเก้อ แต่มีสวี่ชีอันกับจงหลีอยู่ พวกเขาคงคุยได้บ้าง
‘โหรแห่งสำนักโหราจารย์หยิ่งผยองจริงๆ…’ ทุกคนเพิ่งจะคิดเช่นนี้ สวี่ชีอันก็ขมวดคิ้วและพูดด้วยน้ำเสียงที่หยิ่งทะนง
“ศิษย์พี่ซ่ง ข้าได้ยินว่าท่านสร้างคนขึ้นมาหรือ เพื่อนของข้าอยากไปชื่นชม”
‘เจ้าโง่! นี่คือน้ำเสียงขอร้องหรือ…’ หลี่เมี่ยวเจินสาปแช่งในใจ
ซูซูย่ำเท้าเงียบๆ และขมวดคิ้วอย่างเป็นกังวล
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นและสะท้อนอยู่ภายในห้องเล่นแร่แปรธาตุ ซ่งชิงอ้าแขนเดินเข้ามาอย่างกระตือรือร้นราวกับเห็นน้องชายที่หายไปนานหลายปี
“คุณชายสวี่ ในที่สุดท่านก็มา หลังจากกลับมาที่เมืองหลวงหลายเดือน ท่านมาที่สำนักโหราจารย์นับครั้งไม่ถ้วน แต่รู้เพียงแค่ท่านไปเที่ยวเล่นกับศิษย์พี่หญิงจง และลืมโครงการเล่นแร่แปรธาตุอันยิ่งใหญ่ไปโดยสิ้นเชิง”
นักเล่นแร่แปรธาตุคนอื่นล้อมเข้ามาอย่างปีติยินดีและตะโกนด้วยความตื่นเต้น
“คุณชายสวี่ ในที่สุดท่านก็มาแล้ว”
“การเล่นแร่แปรธาตุจำนวนมากที่พวกเราค้นคว้าขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ติดอยู่ที่คอขวด เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องหารือกันทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไร้เบาะแส พวกเราจึงชะเง้อมองตั้งตารอคอยท่าน”
“คุณชายสวี่ ข้าขอร้องท่าน ท่านสละเวลามาที่สำนักโหราจารย์สักเล็กน้อยได้หรือไม่ การเล่นแร่แปรธาตุจำเป็นต้องมีท่าน”
“คุณชายสวี่ หนังสือปกน้ำเงินเล่มต่อไปท่านจะเขียนเมื่อไหร่หรือ พวกเรารอมาครึ่งปีเต็มแล้ว”
ฝูงชนหลั่งไหลเข้ามา หลี่เมี่ยวเจินถูกดันจนถอยออกไปเรื่อยๆ นางจึงทำได้เพียงสละที่ให้
‘นี่…’ หลี่เมี่ยวเจินมีสีหน้างงงวย นางมองพินิจเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุอย่างละเอียด สีหน้าหยิ่งผยองหายไปแล้ว ใบหน้าของเหล่าชุดขาวกลุ่มนี้เต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น พวกเขารายล้อมสวี่ชีอันและส่งเสียงเอะอะเจื้อยแจ้ว
จากแววตาของพวกเขาจะเห็นได้ว่า สถานะของสวี่ชีอันดูเหมือนจะสูงมาก ทุกคนต่างก็เคารพเขาจากใจจริง โดยเฉพาะตอนที่กล่าวถึงหนังสือปกน้ำเงินอะไรนั่น ท่าทางดูตกต่ำมาก
ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ หลี่เมี่ยวเจินเห็นภาพลวงตาที่พวกเขากำลังรอคอยการกุศล
‘น่าขันเกินไป น่าขันเกินไป…’
…………………………………………………