ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 342 ล้างโถส้วม
บทที่ 342 ล้างโถส้วม
กลางฤดูใบไม้ผลิ สายลมอบอุ่นพัดโชย บนแม่น้ำมีเรือหลายลำแล่นผ่านไปมา
สวี่ชีอันยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือและกำลังมองดูเรือบรรทุกสินค้า เรือหลวง เรือสำเภา และเรือประเภทต่างๆ แล่นเอื่อยๆ อยู่เหนือผิวน้ำ สายลมพัดใบเรือจนโป่งพอง ราวกับเขาได้กลับไปสู่ปีที่แล้วโดยไม่รู้ตัว
ทว่าตอนนั้นเป็นกลางฤดูหนาว ลมเหนือผิวน้ำบาดคมราวกับใบมีด แตกต่างกับแสงแดดอันสดใสในฤดูใบไม้ผลิเช่นตอนนี้โดยสิ้นเชิง ที่ชายฝั่งไม่ไกลก็มีฝูงเป็ดอ้วนกลมจนทำให้คนน้ำลายสออยู่ด้วย
อยู่ไกลเกินไป พลังปราณของข้าจับมาไม่ได้…ระบบการฝึกยุทธ์ช่างต่ำต้อยเสียจริง ขนาดข้าเป็นถึงระดับหกที่ยิ่งใหญ่แล้ว กลับยังบินไม่ได้ด้วยซ้ำ…สวี่ชีอันถอนหายใจด้วยความผิดหวัง
แม้จะใช้วิชาตัวเบาก็ยังไม่อาจเดินบนน้ำได้อยู่ดี จำเป็นต้องมีวัตถุลอยน้ำเพื่อรองรับด้วย
บางทีพอเลื่อนขั้นถึงระดับห้าแล้ว เขาอาจจะสามารถยืนอยู่เหนือน้ำได้ก็ได้
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวไม่อยู่ พอขาดลูกคู่อย่างเจ้าซ่งไป การเดินทางครั้งนี้ก็ช่างน่าเบื่อเสียจริง สวี่ชีอันถอนหายใจ
เมื่อคิดถึงตรงนี้ หางตาของเขาก็เห็นคนรู้จักที่แต่งตัวด้วยชุดสาวใช้กระโปรงสีครามเดินมาที่ดาดฟ้า
นางมีอายุประมาณสามสิบถึงสามสิบห้าปี หน้าตาธรรมดา หว่างคิ้วมีกลิ่นอายเย่อหยิ่ง หางตาประดับรอยยิ้ม คล้ายกับว่านางออกมารับลมอบอุ่นของแม่น้ำ
ทั้งสองแทบจะสังเกตเห็นอีกฝ่ายได้ในเวลาเดียวกัน สีหน้าของหญิงสาวพลันชะงักงัน
“อ้าว ท่านป้า มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรหรือ”
สวี่ชีอันจ้องมองนางอย่างไม่อยากจะเชื่อ
‘ป้า’…กล้ามเนื้อใบหน้าของหญิงสาวกระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็แค่นเสียงเย็น “เจอคนไม่อยากเจอเสียได้”
‘ข้าน่าจะคิดได้ตั้งแต่แรก ความสามารถในการไขคดีของเขาเป็นที่หนึ่ง แล้วคดีเช่นสังหารเลือดหมู่สามพันลี้จะขาดเขาไปได้อย่างไร’
ฉู่เซียงหลงบอกนางว่าการเดินทางไปเหนือครั้งนี้จะต้องไกลหูไกลตาผู้คน และจะเพิ่มกำลังป้องกันให้เพียงพอ ดังนั้นจึงเลือกเดินทางไปพร้อมกับคณะทูตที่จะไปตรวจสอบคดี ‘สังหารเลือดหมู่สามพันลี้’
นางรู้จักคดีนี้ ส่วนที่ว่าใครเป็นคนรับผิดชอบนั้น ตอนนั้นนางอารมณ์ไม่ค่อยดีจึงขี้เกียจจะถาม
“ป้า ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร” สวี่ชีอันจ้องมองนาง
“เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
หญิงสาวขู่ด้วยสีหน้าเย็นชา “ต่อไปห้ามเรียกข้าว่าป้า หัวหน้าของเจ้าคือใคร ผู้นำการสืบสวนในคณะทูตคือใคร และถ้าเจ้ากล้าเรียกข้าว่าป้าอีกล่ะก็ ข้าจะให้เขาปลดเจ้าเสีย”
“ป้าป้าป้าป้า…” สวี่ชีอันตะโกนเสียงดัง
‘เจ้าตัวบัดซบนี่…’ หญิงสาวโมโหจนอกกระเพื่อมขึ้นลง นางจ้องหน้าเขาอย่างดุดันแล้วเอ่ยอย่างเกรี้ยวกราดว่า “เจ้ารอดูได้เลย”
แล้วก็จากไปอย่างขุ่นเคือง
…
สำนักสังคีต หออิ่งเหมย
ฝูเซียงหลับไปจนอาทิตย์ขึ้นเหนือหัวแล้ว ถึงตื่นขึ้นมาสวมผ้าเนื้อบาง ก่อนไปอาบน้ำแต่งตัวโดยมีสาวใช้คอยปรนนิบัติ
สาวใช้ข้างกายเอ่ยพร้อมหัวเราะแผ่วเบา “ใต้เท้าสวี่ออกจากเมืองหลวงไปทำงานอีกแล้วหรือเจ้าคะ”
ฝูเซียงชะงักไป นางหันหน้าไปมองสาวใช้อย่างแปลกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
สาวใช้เม้มริมฝีปากแล้วหัวเราะเสียงเบา “เมื่อวานเตียงสั่นไปจนถึงเที่ยงคืน ปกติแล้วใต้เท้าสวี่จะทะนุถนอมท่าน ไม่มีทางทรมานจนดึกดื่นนี่เจ้าคะ”
ฝูเซียงเอ่ยอย่างขุ่นเคือง “เจ้านี่น่าตายนัก นับวันยิ่งใจกล้าขึ้น แม้แต่นายหญิงของตัวเองยังกล้าเอามาล้อเล่น”
ระหว่างที่หัวเราะอยู่นั้น สาวใช้ก็ผงะไป สีหน้าแปลกประหลาดหาใดเปรียบ นางเอ่ยด้วยเสียงอันสั่นเทา “นาย นายหญิง…ท่านมีผมหงอก”
รอยยิ้มของฝูเซียงค่อยๆ หายไป นางเอ่ยเสียงเรียบ “ถอนออกไปพอ เจ้าเอะอะอะไรกัน”
หลังจากแต่งตัวเสร็จ นางก็ไล่สาวใช้ออกไปแล้วนั่งอยู่หน้ากระจกคนเดียว พลางจ้องมองใบหน้างดงามทรงเสน่ห์โดยไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน
…
‘ปึง!’
หญิงสาวผลักประตูห้องของฉู่เซียงหลงออก นางที่สวมชุดสาวใช้เท้าสะเอวเอ่ยด้วยความโมโห “เจ้าคนในหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลผู้นั้นทำข้าโมโหแทบตาย”
ฉู่เซียงหลงนั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผลภายในพลันลืมตาขึ้นแล้วเลิกคิ้วมอง “ผู้ใด”
ตอนนี้หญิงสาวไม่แสดงอาการดีใจหรือขุ่นเคืองอีก นางเอ่ยเน้นๆ “ฆ้องเงินสวี่ชีอัน”
นางเคยถูกสวี่ชีอันรังแกมาหลายครั้ง แม้ว่าแค้นที่ถูกร่างทองเอาชนะได้จะแก้แค้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ครั้งก่อนตอนที่นางดูภิกษุจิ้งซือต่อสู้บนสังเวียน ร่างกายที่มีค่าดุจทองพันชั่งของนางกลับถูกเจ้าเด็กนั่นเอารัดเอาเปรียบ
พระมเหสีนึกถึงฐานะสตรีที่แต่งงานแล้วของตน จึงยอมอดทนด้วยความคับแค้นใจ ไม่คิดเลยว่าเจ้าเด็กนี่จะเสพติดการรังแกนาง เมื่อครู่ถึงกับเรียกนางว่าป้าเสียได้
ฉู่เซียงหลงขมวดคิ้ว “เขาทำอะไรท่านหรือ”
“เขาทำให้ข้าโมโห” สีหน้าของพระมเหสีราบเรียบ แม้จะสวมชุดสาวใช้และมีใบหน้าธรรมดา แต่ก็ยังยากจะปากปิดท่วงท่าอันสูงส่งของนางได้ นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“ข้าจะพยายามไม่โมโหมาก ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แค่ทำโทษนิดหน่อยก็พอแล้ว”
เมื่อพูดจบก็เห็นฉู่เซียงหลงไม่ตอบกลับทว่าขมวดคิ้วเป็นปม นางจึงเลิกคิ้วแล้วเอ่ยเสียงเย็น “แม้ข้าจะไปแดนเหนือ ก็ยังคงเป็นพระมเหสีอยู่”
ฉู่เซียงหลงส่ายหน้า “พระมเหสีเข้าใจผิดแล้ว เจ้าเด็กนั่น…เป็นผู้นำหลักในการเดินทางไปแดนเหนือครั้งนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
พระมเหสีเผยอปากออกเล็กน้อย แววตาแข็งทื่อนิดหน่อย
ฉู่เซียงหลงกล่าวต่อ “แต่ท่านวางใจได้ เขาได้ใจอีกไม่นานหรอก ข้าจะจัดการเขาเอง แม้ว่าจะเป็นผู้นำการสืบสวนที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้ง แต่ก็เป็นเพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น ฆ้องเงินก็แค่ฆ้องเงิน ถึงจะมีฐานะจื่อติดกายมันก็เท่านั้น สุดท้ายก็เป็นแค่คนชั้นต่ำ”
ในฐานะผู้มีอำนาจอย่างแท้จริง รองแม่ทัพของอ๋องสยบแดนเหนือไม่สนใจเรื่องเกียรติยศหรือตำแหน่งขุนนางใดๆ เลย
…
สามวันผ่านไปในพริบตา การเดินทางทางน้ำก็ถือว่าคงที่แล้ว เรือหลวงขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่มีทางเจอกับโจรสลัด มันมีขนาดใหญ่และมีคุณภาพสูง ไม่ว่าใครก็รู้ว่ามีคนใหญ่คนโตที่ไม่ธรรมดาอยู่บนเรือนี้ทั้งนั้น
และบุคคลใหญ่โตเช่นนี้ก็มักจะมียอดฝีมือและผู้คุ้มกันที่เก่งกาจติดตามด้วย โจรสลัดทั่วไปกล้าโจมตีเรือสินค้าเล็กๆ เท่านั้น มีแค่บางครั้งที่จะโจมตีเรือบรรทุกทางการที่ลำไม่ใหญ่นัก
อย่างไรก็ตาม มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้สวี่ชีอันเป็นทุกข์มาก ในฤดูใบไม้ผลิจะมีฝนตกชุก อีกทั้งแม่น้ำก็ปั่นป่วนไม่สงบเหมือนกับฤดูหนาว บางครั้งก็จะมีลมแรงพัดคลื่นลูกใหญ่เข้ามา
สำหรับคนที่อาศัยอยู่ในห้องโดยสารแล้ว เรื่องเช่นนี้ช่างยากจะรับได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทนไม่ไหว ทว่าพวกทหารที่อาศัยอยู่ใต้ท้องเรือกลับไม่อาจทนไหว้ ตอนนี้ป่วยกันไปหลายคนแล้ว
วันนี้หลังจากทานอาหารกลางวันเสร็จ สวี่ชีอันก็มานั่งฝึกลมหายใจที่ห้อง ‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’ เสียงเคาะประตูดังขึ้น
สวี่ชีอันที่ได้ยินฝีเท้าล่วงหน้า ก็ลืมตาขึ้นพร้อมขมวดคิ้วเอ่ย “เข้ามาได้”
ประตูไม่ได้ล็อก เมื่อถูกผลักเบาๆ ก็เปิดออกอย่างง่ายดาย ชายร่างเล็กคนหนึ่งก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา พลางก้มศีรษะและกุมหมัดเอ่ยว่า
“ใต้เท้าขอรับ”
ชายร่างเล็กแต่แข็งแรงผู้นี้ก็คือหัวหน้าทหารรักษาวัง นายกองร้อย นามเฉินเซียว
สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่พอใจ “มีเรื่องอะไร”
เขาหงุดหงิดเล็กน้อยที่นายทหารหยาบช้าผู้นี้ไม่รู้จักมารยาท กลับมารบกวนการฝึกตนของเขาเสียได้
“ใต้เท้า มีทหารหลายนายที่ป่วย ท่านโปรดมาดูหน่อยเถิด” หลังจากเฉินเซียวกล่าวจบก็ราวกับกลัวว่าสวี่ชีอันจะปฏิเสธ เขารีบเสริมอย่างร้อนรนว่า
“ข้าน้อยกลัวว่าจะทำให้เกิดโรคระบาดจนเป็นภัยต่อพวกใต้เท้าขอรับ”
เหตุผลนี้ดึงดูดความสนใจของสวี่ชีอันได้ทันที เขารีบสวมรองเท้าแล้วไปยังท้องเรือพร้อมกับเฉินเซียว
‘ตึก ตึก…’
เฉินเซียวเดินนำสวี่ชีอันลงบันไดไม้เข้าไปที่ใต้ท้องเรือ กลิ่นสาบเหม็นหืนลอยเข้ามาในโพรงจมูก ทั้งกลิ่นเหงื่อ กลิ่นอับ และกลิ่นเหม็นเปรี้ยว…
เพราะว่ามีผู้คนอยู่รวมกันแน่นขนัดในสภาพแวดล้อมที่มีอากาศถ่ายเทไม่สะดวก การนอนและการขับถ่ายก็ล้วนทำในท้องเรือทั้งสิ้น แบคทีเรียจึงแพร่พันธุ์ บวกกับอาการเมาเรือ…ผู้ที่มีร่างกายอ่อนแอจึงเจ็บป่วย
ส่วนคนที่ไม่ได้เจ็บป่วยก็ดูเซื่องซึม
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ดวงตาแต่ละคู่ก็พากันมองไป หลังพบว่าเป็นหัวหน้ากับผู้นำคณะทูต พวกทหารก็ยืดตัวตรงแล้วเงียบสงบกันทันที
สวี่ชีอันเดินไปข้างเตียงของทหารคนหนึ่งที่ไอไม่หยุดและมีไข้ต่ำๆ แม้จะเรียกว่าเตียง แต่ความจริงมันคือกระดานไม้แคบๆ และเนื้อหยาบ เมื่อใช้ในท้องเรือ มันก็พอจะจุทหารได้หลายร้อยนายได้
“ไม่มีอะไร ข้ามียาล้างพิษของสำนักโหราจารย์ แค่ใช้เม็ดเดียวมาละลายในน้ำ ผู้ติดเชื้อทุกคนก็สามารถดื่มเพื่อรักษาอาการได้”
สวี่ชีอันตัดสินใจได้ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วบิดหน้ากระจกหยกใบเล็กออก จากนั้นนำขวดกระเบื้องออกมา
หลังจากหยดเลือดเป็นเจ้านายแล้ว หนังสือปฐพีกับเจ้านายก็เกิดสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นต่อกัน จะหยิบสิ่งใดล้วนเป็นไปตามใจนึก และไม่ต้องกลัวว่าของข้างในจะเทโครมลงมาหมด
เขามอบยาล้างพิษหนึ่งเม็ดให้กับเฉินเซียว แล้วบอกให้เขาบดลงไปเทใส่ในถุงน้ำ แล้วนำไปให้ทหารที่ป่วยดื่ม
ยาคุณภาพสูงของสำนักโหราจารย์เห็นผลทันที ทหารที่เจ็บป่วยค้นพบอย่างดีใจว่าพวกเขาไม่รู้สึกอึดอัดที่หน้าอกและเริ่มไอน้อยลงแล้ว ทั้งยังเริ่มฟื้นขึ้นมาจากอาการสะลึมสะลือ นอกจากพวกที่อ่อนแออยู่เล็กน้อยแล้ว สภาพร่างกายของคนอื่นก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
“ไม่ทรมานแล้ว…”
“ข้าหายแล้ว”
“ขอบพระคุณใต้เท้า ขอบพระคุณใต้เท้า”
ทหารที่เหลือต่างก็ยิ้มออกมา สายตาที่มองสวี่ชีอันทั้งซาบซึ้งและตื้นตัน
สวี่ชีอันพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เหลือบมองไปที่โถขับถ่ายใต้เตียง เขาอดย่นคิ้วแล้วเอ่ยปากดุไม่ได้
“จะมาอยู่แต่ใต้ท้องเรือไปทำไมกัน ไม่ไปสูดอากาศที่ดาดฟ้าเรือบ้างเล่า บรรยากาศอุดอู้เช่นนี้ พวกเจ้าจะป่วยก็ไม่แปลก”
หนึ่งร้อยคน หนึ่งร้อยโถขับถ่าย ทั้งยังดูเหมือนไม่ค่อยได้ทำความสะอาด เช่นนี้มันเท่ากับการอาศัยอยู่ในห้องน้ำด้วยซ้ำ อากาศก็ถ่ายเทได้ไม่สะดวก ฤดูใบไม้ผลิคือฤดูที่มีเชื้อโรคแพร่พันธุ์ แล้วแบบนี้จะไม่ป่วยได้อย่างไร
ถ้าหากหมั่นทำความสะอาด ล้างโถขับถ่าย และออกไปสูดอากาศข้างนอกทุกวัน ด้วยร่างกายของทหารแล้ว ไม่มีทางป่วยได้ง่ายๆ หรอก
“เอ่อ…”
เมื่อเจอกับคำถามของสวี่ชีอัน เฉินเซียวก็มีสีหน้าขมขื่นแล้วกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพฉู่มีคำสั่งมาว่าห้ามไม่ให้พวกเราออกจากใต้ท้องเรือและห้ามขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือ อีกทั้งปกติพวกเราก็จะกินเสบียงแห้งอยู่ที่ใต้ท้องเรือด้วยขอรับ”
เมื่อได้ยินดังนั้น สวี่ชีอันก็มีสีหน้าเข้มขึ้น เขาจ้องเฉินเซียวและเอ่ยถาม “เพราะเหตุใด”
“ท่านแม่ทัพฉู่สั่งว่าบนเรือมีญาติสตรีของเขาอยู่ และมักจะไปเดินเล่นชมวิวบนดาดฟ้า จึงกลัวว่าพวกเราจะไปล่วงเกินญาติสตรีผู้นั้นขอรับ หากฝ่าฝืนจะลงโทษโดยการโบยไม้ทหารยี่สิบครั้ง”
ทหารที่ป่วยอยู่กล่าวพูดพลางไอไปด้วย
สวี่ชีอันไม่ได้ตอบสนอง เขากวาดตามองใต้ท้องเรือที่มืดสลัวอีกครั้ง ก่อนกวาดตามองทหารที่นั่งหลังตรงแต่ละคน จากนั้นก็กวาดตามองโถขับถ่ายที่อยู่ข้างเท้าของพวกเขา
ราวกับว่ากลิ่นเหม็นอับในอากาศคล้ายจะรุนแรงขึ้นร้อยเท่าในชั่วขณะนี้เอง ทำให้สวี่ชีอันอยากจะหนีออกจากตรงนี้ให้รู้แล้วรู้รอด
แต่ทหารพวกนี้ต้องนอนอยู่ที่นี่ พักผ่อนอยู่ที่นี่ แม้แต่กินก็ยังต้องกินในสภาพแวดล้อมเช่นนี้
เฉินเซียวมองเขาเงียบๆ
สายตานับร้อยคู่มองมาที่เขาเงียบๆ
สวี่ชีอันพลันเข้าใจทันใด การมาดูคนป่วยครั้งนี้เป็นเพียงฉากบังหน้า จุดประสงค์ที่แท้จริงคือต้องการให้เขาช่วยขอความยุติธรรมให้
ทหารก็เป็นคนเหมือนกัน เมื่อถูกสั่งให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจอดกลั้นต่อไปได้เช่นนี้ ในใจของพวกเขาจึงเต็มไปด้วยความโกรธเคือง ขณะเดียวกัน ในสายตาของพวกเขา ฆ้องเงินสวี่นั้นเป็นผู้นำหลักของคณะทูตครั้งนี้ เขาเป็นผู้นำหลักที่แต่งตั้งโดยราชสำนัก
พวกเขามีความคับแค้นใจและต้องการร้องเรียน เรื่องนี้ก็มีแต่สวี่ชีอันที่ช่วยได้ ทั้งยังมองว่ามีเพียงฆ้องเงินสวี่เท่านั้นที่จะช่วยออกหน้าหาความยุติธรรมให้พวกเขา
หากผู้นำหลักยังบอกให้พวกเขาอาศัยอยู่ใต้ท้องเรือและไม่อนุญาตให้ออกมา เช่นนั้นพวกเขาก็หมดใจแล้ว
“ตอนนี้ข้ามีคำสั่ง” สวี่ชีอันขมวดคิ้ว
“ใต้เท้าโปรดสั่ง” เฉินเซียวก้มหน้าแล้วกุมหมัด
“ใต้เท้าโปรดสั่ง”
เหล่าทหารยืนขึ้นแล้วพากันก้มหน้ากุมหมัด
สวี่ชีอันชี้ไปที่ดาดฟ้าเรือเหนือศีรษะแล้วตะโกนบอก “ไสหัวไปล้างโถส้วมเดี๋ยวนี้”
“ขอรับ!”
“ขอบคุณขอรับใต้เท้า ขอบคุณมากขอรับ”
“ไปๆๆ รีบไปล้างโถส้วมเร็ว ข้าทนรับกลิ่นเช่นนี้ไม่ไหวแล้ว”
เสียงโห่ร้องพลันดังระงม
…………………………………………………………..