ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 44 หนี
สองพี่น้องวิ่งออกมาจากตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก ไม่กล้าใช้เส้นทางหลัก แต่เลี้ยวจากทางเดินข้างลานเข้าไปในป่า วิ่งอยู่นานก่อนจะหยุด
ลมหายใจของสวี่ชีอันคงที่ ส่วนสวี่ซินเหนียนยืนค้ำต้นสนหอบหายใจ เพราะได้ออกกำลังกายอย่างหนัก ใบหน้าขาวผ่องจึงแดงเรื่อจนชวนให้คนเห็นต้องใจสั่น
“ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี” สวี่ชีอันคิดจะขอคำชี้แนะนำจากน้องชายผู้ ‘ทำอะไรเป็นขั้นเป็นตอน’ จึงลองถามดู “เมื่อครู่นับว่าได้แก้ไขปัญหาเก่าแก่นับพันปีของสำนักศึกษาหรือไม่”
เขาไม่คิดว่าคำพูดตลกขบขันของเขาจะทำให้เกิดภาพที่น่ากลัวเช่นนั้นขึ้นมาได้ และไม่แน่ใจว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นจึงเต็มใจหนีมากับสวี่เอ้อร์หลาง
สวี่ซินเหนียนหอบหนัก สงบจิตใจพลางร้อง ‘เฮอะ’ ออกมาอย่างเย่อหยิ่ง “มากที่สุดก็เป็นแค่ปัญหาสองร้อยปี”
สวี่ชีอันถอดถุงน้ำยื่นให้
สวี่เอ้อร์หลางรับมาดื่มก่อนเอ่ยต่อ “ถ้าหากเป็นข้าตอนที่เพิ่งเข้าสำนักใหม่ๆ ข้าจะแนะนำให้เจ้าอยู่กับที่แล้วรอรับการคารวะด้วยความซาบซึ้งใจจากพวกศิษย์อาจารย์ของสำนัก แต่ข้าในตอนนี้แค่อยากจะพาเจ้าไปจากที่นี่เร็วๆ เท่านั้น”
เขาส่งถุงน้ำกลับคืนให้ญาติผู้พี่ รออยู่สักครู่ เห็นสีหน้าของเขาเป็นปกติ ไม่สงสัยอะไร
เขาจึงรู้สึกทั้งผิดหวังและชื่นชม
ที่ชื่นชม แน่นอนว่าเป็นเพราะญาติผู้พี่ของเขาฉลาดมาก ไม่เหมือนกับคนหยาบกระด้างอย่างบิดาของเขา สิ่งนี้ทำให้สวี่ซินเหนียนผู้ถือตัวสูงส่งรู้สึกพอใจจากใจจริง
ที่ผิดหวัง เพราะเขาไม่สามารถแสดงความสามารถและความล้ำเลิศทางปัญญาต่อหน้าญาติผู้พี่และคนอื่นๆ ได้
ใช่ ถึงญาติผู้พี่จะแต่งบทกวีที่ทำให้ผู้คนทอดถอนใจด้วยความตกตะลึงมาหลายครั้ง อีกทั้งเมื่อครู่เขาก็เขียนประโยคที่ราวกับจะถล่มภูผาผ่าแยกแผ่นดินลงบนแผ่นจารึกด้วย…แต่สวี่ซินเหนียนก็ยังคิดว่าสติปัญญาของตนเลิศล้ำยิ่งกว่า
หากไม่มีความคิดเช่นนี้ ก็แต่ง ‘หากฟ้าไม่สร้างข้าสวี่ซินเหนียน ราชวงศ์ต้าฟ่งคงราวกับค่ำคืนอันยาวนาน’ ไม่ได้น่ะสิ
สองพี่น้องรีบเคลื่อนตัวออกจากป่าอย่างรวดเร็วแล้วคลำทางไปยังคอกม้าเงียบๆ
ตอนนี้การจากไปโดยไม่ร่ำลาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
หากสวี่ชีอันยังอยู่ที่เดิม ผู้ที่เข้ามาทักทายเขาอาจจะเป็นพวกสำนักอวิ๋นลู่ที่ซาบซึ้งในบุญคุณเป็นล้นพ้น ถึงขั้นอาจจะเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่เลยก็ได้…ถึงแม้ไม่น่าจะเป็นไปได้เท่าไหร่
แต่นี่เป็นด้านดี
ส่วนด้านร้ายนั้นชัดเจนอย่างยิ่ง สำนักอวิ๋นลู่กับราชวิทยาลัยหลวงเป็นคู่แข่งทางลัทธิเต๋า ขณะที่สวี่ชีอันได้รับความซาบซึ้งใจในบุญคุณจากสำนักอวิ๋นลู่ เขาก็ต้องได้รับความเกลียดชังจากปัญญาชนของราชวิทยาลัยหลวงด้วย
ขุนนางบุ๋นและบู๊สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ล้วนเป็นคนของราชวิทยาลัยหลวง
คดีเงินภาษีหนึ่งคดีก็ทำให้เกิดภัยไม่รู้จบ และนี่ยังอันตรายวุ่นวายยิ่งกว่าคดีเงินภาษีหนึ่งร้อยคดีเสียอีก
ความคิดของฉือจิ้วกับข้าตรงกันโดยบังเอิญ…สวี่ชีอันเอ่ยพลางหัวเราะ “ฉือจิ้ว เจ้าเป็นสุนัขตัวจริง[1]”
ดีมาก เอ้อร์หลางไม่ใช่ปัญญาชนชอบอวดรู้ อาจเป็นเพราะเขาตั้งใจศึกษาตำราพิชัยสงครามก็ได้
“หยาบช้า” สวี่ซินเหนียนยอกย้อน จากนั้นเอ่ยต่อ “ขอเพียงพวกเราจากไป เรื่องภายหลัง ข้าเชื่อว่าสำนักจะไม่ป่าวประกาศตามอำเภอใจ จะต้องเก็บเป็นความลับแทนพวกเราแน่”
เขาไม่พูดอะไรอีก เร่งฝีเท้ารีบเดินพลางครุ่นคิดอย่างจดจ่ออย่างเงียบๆ
…
ลานกว้างด้านนอกราชวิทยาลัยปราชญ์
จ้าวโส่วผมสีขาวหงอก สวมชุดผ้ากระสอบ จู่ๆ ก็ขยับตัวอย่างไม่คาดคิด เขาหันกลับไปมองด้านหลังของสำนักอย่างกะทันหัน
ไม่กี่วินาทีต่อมา ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็มีท่าทางแบบเดียวกัน พวกเขาทอดมองไปไกลๆ ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
องค์หญิงใหญ่งุนงงสับสน นางหันหน้าไปมองตามพวกเขาโดยไม่รู้ตัว แต่ท้องฟ้าก็แจ่มใส ไม่มีอะไรเลยสักนิด
ทว่าในพริบตาต่อมา ปราณใสที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็พวยพุ่งขึ้นท้องฟ้าแล้วทะลุผ่านก้อนเมฆ เมฆขาวหนาทึบที่ลอยอยู่บนภูเขาชิงหยุนแตกสลายท่ามกลางสายตาจดจ้องของทุกคน
จ้าวโส่วหายตัวไปเป็นคนแรก จากนั้นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็แสดงอภินิหารวาจาบัญญัติออกมา แค่สามฉื่อ (1 ฉื่อเท่ากับประมาณ 30 เซนติเมตร) พวกเขาก็เคลื่อนที่ไปถึงด้านหลังของสำนักแล้ว
องค์หญิงใหญ่ขมวดคิ้วเบาๆ ก่อนยกชายกระโปรงเดินตามไปอย่างรวดเร็วทว่าไม่เสียกิริยา
รูปร่างของนางผอมเพรียว ส่วนโค้งเว้าอ่อนช้อยงดงาม ยามก้าวเดินมีเสน่ห์ที่ไม่อาจบรรยาย เพียงสัมผัสรับรู้ได้เท่านั้น
…
ณ ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก เชิงเทียนเอียงกระเท่เร่ น้ำตาเทียนไหลหยดย้อยอยู่เต็ม
ในห้องโถงใหญ่ว่างเปล่า ปราณใสราวกับลมฤดูใบไม้ผลิสั่นไหว เผยให้เห็นเงาร่างของจ้าวโส่ว เขากวาดตามองทุกส่วนทุกมุมของห้องโถงใหญ่อย่างรวดเร็ว จากนั้นสายตาก็รวมอยู่ที่จารึกของรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อที่แตกร้าว
นี่มัน…ภายในดวงตาราวกับบ่อน้ำโบราณของเจ้าสำนักมีคลื่นโหมกระหน่ำ ขณะเดียวกันก็วิเคราะห์ได้ถึงสาเหตุที่ปราณใสพุ่งขึ้นฟ้าอย่างรวดเร็ว
จารึกที่อยู่บนตำหนักศึกษาแตกร้าว ปราณซื่อตรงยิ่งใหญ่ที่แฝงอยู่ในสำนักอวิ๋นลู่หลุดออกจากพันธนาการจนเอ่อล้นออกมา แล้วเกิดเป็นภาพเมื่อสักครู่นี้
คำถามคือ จารึกรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อแตกร้าวอย่างไม่มีเค้าลางเช่นนี้ได้อย่างไร
ไม่นานจ้าวโส่วถึงได้เข้าใจ สายตาของเขาถูกแผ่นหินที่ตนเป็นคนตั้งไว้ในตำหนักดึงดูด เขามองดูเนื้อหาบนแผ่นจารึก รู้สึกราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังเลือนหายและสลายไป มีเพียงตัวอักษรน่าเกลียดบรรทัดเดียวเท่านั้นที่ประทับลึกอยู่ในดวงตา
ตราตรึงอยู่ในดวงจิต
กลายเป็นสิ่งเดียวบนโลกในตอนนี้
ท่ามกลางปราณใสสั่นไหวจนทำให้รู้สึกเหมือนกับเป็นลมวสันต์อันสดชื่น เงาร่างของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามปรากฏตัวขึ้น พวกเขากวาดมองทั่วทั้งห้องโถงใหญ่โดยไม่รู้ตัว
พอมองเห็นแผ่นจารึกของรองปราชญ์เอกเฉิงซื่อที่แตกร้าวแผ่นนั้น นัยน์ตาก็หดเกร็งโดยไม่รู้ตัว
‘ยังดีๆ อยู่เลย แล้วแผ่นจารึกแตกร้าวได้อย่างไร…ไม่ นี่เป็นเรื่องดี นั่นหมายความว่าผนึกที่สยบโชคชะตาของสำนักอวิ๋นลู่ได้สั่นคลอนแล้ว…’ หลี่มู่ไป๋คิดในใจ ทันใดนั้นก็พบว่าท่าทีของเจ้าสำนักไม่ถูกต้อง
นั่นเป็นท่าทางประเภทจมอยู่ในโลกของตัวเองราวกับไร้วิญญาณก็ไม่ปาน
‘จารึกกลับแตกร้าวเสียแล้ว ในยุคที่รองปราชญ์เอกยังไม่ถือกำเนิด แต่กลับมีคนสามารถสั่นคลอนจารึกของเฉิงซื่อได้’ …จางเซิ่นและเฉินไท่มองตากัน ล้วนมองเห็นความตกใจสงสัยในดวงตาของแต่ละคน
จากนั้นพวกเขาก็เป็นเหมือนกับหลี่มู่ไป๋ พบความผิดปกติของเจ้าสำนักจ้าวโส่ว
“ถวายหัวใจเพื่อฟ้าดิน ถวายชีวิตเพื่อราษฎร สืบสานความรู้ของปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ เปิดทางสู่สันติภาพนิจนิรันดร…” จางเซิ่นเอ่ยพึมพำ
เขาตกตะลึงกับความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวมีพลัง และความทะเยอทะยานซึ่งแฝงอยู่ในประโยคนี้จนขนลุกไปทั่วร่าง บางอย่างพลุ่งพล่านออกมา เลือดเดือดพล่านอยู่ในอก
“นี่สิถึงจะเป็นเรื่องที่ปัญญาชนสมควรกระทำอย่างแท้จริง” ริมฝีปากของเฉินไท่สั่นเทา “เพื่อราชการ เพื่อประชาชน เพื่อประเทศชาติ เพื่อคนทั้งโลก ไม่ควรทำเพื่อคนตระกูลเดียวหรือเพื่อคนจำนวนน้อยไม่กี่คน”
ปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงว่าเป็นอัจฉริยะด้านการปกครองท่านนี้ตัวสั่นเทาอย่างไม่อาจควบคุม ในชั่วขณะนี้เอง เสียงของเขาแหบแห้ง “รู้แจ้งแล้ว รู้แจ้งแล้ว…”
หลี่มู่ไป๋สูดลมหายใจเข้าลึก สงบสติอารมณ์ “ผู้ใดเป็นคนเขียนสิ่งนี้”
ทั้งสามมองไปยังเจ้าสำนักจ้าวโส่วพร้อมกัน เจ้าสำนักกักตัวมาสิบกว่าปีเพื่อล้มล้างปรัชญาของเฉิงซื่อ เขาได้ทุ่มเทใจกายอย่างหนัก สมัยนี้ถ้ามีใครที่สามารถสร้างความคิดทางวิชาการใหม่ๆ ได้ ก็มีแต่เขาเพียงผู้เดียว
แต่เมื่อครู่เจ้าสำนักก็อยู่กับพวกเขา อีกอย่างท่าทีของเจ้าสำนักในตอนนี้ก็บอกชัดทุกอย่างแล้ว
สิ่งที่ตอบกลับเขาคือความเงียบ หลังจากผ่านไปนาน จ้าวโส่วก็เอ่ยเสียงเบาหวิว “พวกเจ้าออกไปก่อน มีเรื่องอะไรค่อยพูดคุยกันภายหลัง”
จากนั้นเขาก็กล่าว “ตัวข้าพูดอะไรไม่ออก”
ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามโค้งคำนับ แล้วเดินเคียงกันจากไป
ประตูตำหนักปิดลง รอบด้านเงียบสงัด จ้าวโส่วยืนอยู่หน้าแผ่นหินเงียบๆ ด้านหลังคือประตูหน้าต่างฉลุลายเป็นช่องให้แสงอาทิตย์เจิดจ้าสาดส่องเข้ามา
ผ่านไปนานเขาก็จัดเสื้อผ้าหน้าผมให้เรียบร้อย จากนั้นคำนับเต็มพิธีการด้วยธรรมเนียมของศิษย์ไปทางจารึก “เช้าได้สัมผัสสัจธรรม ค่ำคืนนั้นแม้ต้องตายก็ยินดี”
…
ในที่สุดองค์หญิงใหญ่ก็ยกกระโปรงรีบเร่งมาถึงด้านนอกตำหนักศึกษารองปราชญ์เอก แต่กลับพบว่าด้านในตำหนักศึกษาระยะสิบจั้งมีม่านปราณที่เหมือนกับชามคว่ำปกคลุมเอาไว้ ตัดขาดมันจากโลกภายนอก
นางไม่รีบร้อน เพียงยืนนิ่งสงบอยู่ใต้ขั้นบันไดด้านนอกตำหนักศึกษา เสมือนดอกไม้ที่ผลิบานอย่างเงียบงัน
ต่อมาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสามก็เดินเคียงกันออกมา สีหน้าเคร่งเครียด แต่เดาไม่ออกว่าเป็นเรื่องดีหรือร้าย
“ท่านทั้งสาม เกิดเรื่องอันใดหรือ” สายตาขององค์หญิงใหญ่มองไปยังตำหนักศึกษา
“องค์หญิงอย่าเพิ่งตรัสถามกระหม่อมเลยพ่ะย่ะค่ะ” เฉินไท่คำนับ “เรื่องนี้ กระหม่อมยังหาเบาะแสไม่ได้ชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”
องค์หญิงใหญ่แย้มยิ้ม ใบหน้าที่ยากจะปกปิดความสูงศักดิ์นิ่งสงบเช่นเคย
นางกล่าวลาปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสาม ก่อนมุ่งหน้าไปยังศาลาเพียงลำพัง ท่ามกลางสายลมของภูเขา กระโปรงผ้าแพรไหมปลิวพลิ้วตามลม ราวกับภูตพรายบนภูเขา ราวกับเซียนที่ลงมาเที่ยวเล่นในโลกมนุษย์
ทหารสองแถวสวมเกราะติดอาวุธมีคมยังคงเฝ้าระวังอยู่ด้านนอกศาลาราวกับรูปสลักที่เงียบงันหลายอัน
องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ทั้งยี่สิบสี่คนเป็นองครักษ์ของนางเอง ด้านล่างภูเขายังมีกองกำลังที่มาจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่อีกเจ็ดคน
เป็นเพราะสำนักศึกษารังเกียจเว่ยเยวียนมาก จึงไม่อนุญาตให้หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลขึ้นมาบนเขา
องค์หญิงใหญ่พากลุ่มองครักษ์ลงจากเขา เมื่อพบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งเจ็ดคนที่รออยู่ข้างทางหลวงก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงคมชัดงามสง่า “ปราณใสของสำนักอวิ๋นลู่พุ่งขึ้นสู่ฟ้า ตำหนักศึกษารองปราชญ์เอกถูกปิด รายงานเรื่องนี้กับใต้เท้าเว่ย ให้เขาจับตาดูสำนักแล้วตรวจสอบเรื่องนี้ให้แน่ชัด”
“พ่ะย่ะค่ะ!” หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลประสานมือคำนับ
องค์หญิงใหญ่เอ่ยต่อ “ตามหาคนผู้หนึ่งให้ข้า เขาคือมือปราบของที่ว่าการอำเภอฉางเล่อ นามว่าสวี่ชีอัน”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
…………………………………
[1] เป็นสุนัขตัวจริง คำแสลงในอินเทอร์เน็ตของจีน ใช้ในการกล่าวว่าคนคนนั้นว่าไม่น่าเชื่อถือจริงๆ