ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 52 ครอบครัวต้องเป็นระเบียบ
ชั้นหนึ่งเป็นสถานที่ที่หออิ่งเหมยใช้รับรองแขก ประตูฉากกั้นที่หันไปทางลานเปิดออก ม่านผ้าแพรบางเบาที่ลู่ตกลงใช้ปิดกั้นลมหนาว
แขกหลายสิบคนนั่งอยู่ในห้องสุรา ดื่มสุรา หัวเราะพูดคุย ชื่นชมดอกบ๊วย
กระถางเผาถ่านทั้งสี่มุมในห้องสุรากำลังลุกไหม้อย่างคุโชน ขับลมหนาวในฤดูหนาว
สาวใช้คนหนึ่งพาสวี่ชีอันเข้ามา ทุกคนต่างหันมามองชายหนุ่มรูปร่างสูงที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนของปัญญาชนผู้นี้ครั้งแล้วครั้งเล่า
ในหัวสวี่ชีอันนึกถึงกฎของการประชุมชาที่หัวหน้ามือปราบหวังเคยสาธยายไว้ พยายามทำให้รอยยิ้มของตนสุภาพมากที่สุด แล้วแสดงความเคารพให้ทุกคน
“ข้าน้อยหยางหลิงบัณฑิตซิ่วไฉจากอำเภอฉางเล่อ คารวะพี่ชายทุกท่าน”
บรรดาผู้คนในที่นี้มีทั้งพวกเศรษฐีที่สวมเสื้อแพรและนักเรียนจากราชวิทยาลัยหลวง สถานะไม่สูงไม่ต่ำ
บางคนก็ละสายตาออกอย่างไม่ใส่ใจ บางคนก็มองพินิจพิเคราะห์ บางคนก็ส่งรอยยิ้มกลับมา
ดูท่าว่าในระหว่างการตรวจสอบข้าราชสำนัก ขุนนางของต้าฟ่งล้วนซื่อสัตย์ประพฤติตัวเรียบร้อยมากขึ้น…หากเป็นในอดีต ด้วยระดับของแม่นางฝูเซียง ที่แห่งนี้ต้องถูกเหมาที่นั่งเป็นแน่…สวี่ชีอันเข้าที่นั่งอย่างไม่หวาดหวั่น สายตาเกาะติดร่างของหญิงคณิกาที่ทำหน้าที่เป็น ‘สีจิว’
ผิวพรรณผุดผ่อง นัยน์ตาทอสีสันงดงาม เนื้อกายหอมหวน มีเสน่ห์เป็นธรรมชาติ
หญิงสาวผู้นี้ช่างงดงามนัก…สวี่ชีอันที่เคยผ่านความงามมานับไม่ถ้วนก็ตกตะลึงในความงามเช่นกัน
หากมองเพียงใบหน้า คณิกาผู้นี้อยู่ในระดับเดียวกับอาสะใภ้ สวี่หลิงเยวี่ย และฉู่ไฉ่เวย ลักษณะความงามต่างกัน ต่างก็มีเอกลักษณ์ของตน
เป็นประเภทสาวงามที่สวยหยาดเยิ้มทำให้บุรุษตะลึงในความงามและเหลียวมองได้แน่นอนยามเดินไปตามท้องถนน
ทว่าด้านอุปนิสัย คณิกาผู้นี้มีความงามหยาดเยิ้มและความสุภาพเรียบร้อยของสุภาพสตรี ด้านการแต่งกาย นางมีชุดกระโปรงผ้าพริ้วบางที่สตรีในยุคนี้ไม่กล้าสวมใส่
เผยลาดไหล่นวลออกครึ่งหนึ่ง ลำคอเรียวระหง หุ้มชั้นในด้วยชั้นผ้าใย เผยให้เห็นร่องอกอยู่เลือนราง
มีคูน้ำย่อมต้องมีไฟ[1] นางคู่ควรที่จะได้เป็นคณิกา
แม่นางฝูเซียงรับหน้าที่เป็น ‘สีจิว’ เรียกอีกอย่างว่าผู้ตัดสิน ผู้ตัดสินจะรับผิดชอบคอยดำเนินการละเล่นในวงสุรา คอยแบกรับบรรยากาศบนโต๊ะอาหาร ตามปกติจะให้โสเภณีชั้นสูงหรือคณิกาเป็นคนทำหน้าที่นี้ หญิงสาวทั่วไปจะทำไม่ได้เพราะต้องมีความรู้ทางวรรณกรรมค่อนข้างสูง
โดยรอบนี้กำลังผลัดกันพูดกลอนคู่ โดยกลอนคู่ก็คือประโยคคู่หนึ่ง ด้านซ้ายของสวี่ชีอันคือชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนและหยกแขวนเสียงดังก๊องแก๊ง
เวียนถึงตาเขาพอดี ชายวัยกลางคนผู้นี้ยกจอกบ่นพึมพำอยู่นาน แล้วเอ่ยขึ้น “สุราอันเย็นเยือกหนึ่งหยด สองหยด สามหยด”
หญิงคณิกายกธงเล็กที่อยู่ข้างมือ แสดงความเห็นต่อกลอนคู่ครึ่งท่อนแรกอยู่พักหนึ่ง (สรรเสริญเยินยอ)
รอยยิ้มบนใบหน้าของชายวัยกลางคนฉีกกว้าง สุขใจมากทีเดียว
นี่จึงเป็นเหตุผลที่โสเภณีชั้นสูงผู้ทำหน้าที่สีจิวต้องรู้รายละเอียดวรรณกรรมอย่างลึกซึ้ง หากไม่มีทักษะ โสเภณีตามปกติถึงอยากประจบก็มิอาจประจบประแจงได้
หลังจากแสดงความเห็น หญิงคณิการูปโฉมงามเลิศล้ำ นัยน์ตาใสคู่สวยตกอยู่บนร่างสวี่ชีอัน
ทุกคนบนโต๊ะอาหารก็มองตามเช่นกัน
ประโยคคู่หนึ่งข้าไม่ถนัดเอาเสียเลย…ลำพังเพียงความประณีตบรรจงก็ยากมากแล้ว…สวี่ชีอันไม่แสดงออกทางสีหน้า แล้วแอบกังวลอยู่ในใจ
สายตาของเขาทอดมองไปยังต้นบ๊วยในลานและปรากฏเป็นแรงบันดาลใจขึ้น จงใจยกจอกสุราขึ้นดื่ม แล้วทำท่าทางอาจหาญไปตามธรรมชาติพร้อมกล่าวเสียงดัง
“ดอกติงเซียงร้อยดอกพันดอกหมื่นดอก”
“วิเศษมาก!” นัยน์ตาของทุกคนที่นั่งอยู่เป็นประกาย ทันใดนั้นยามที่มองไปทางสวี่ชีอัน รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้า
เป็นอันยอมรับว่าเขามีคุณสมบัติที่จะแข่งเพื่อชิงคณิกา ยกให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีระดับเดียวกัน
คณิกาฝูเซียงหัวเราะ แล้วประเมินกลอนคู่ท่อนหลังของสวี่ชีอันตามกฎอยู่พักหนึ่ง (สรรเสริญเยินยอ)
รอยยิ้มบนใบหน้าช่างดูเป็นมืออาชีพ…ทันทีที่ประเมินเสร็จก็ไม่มองข้าอีกเลย…ท่านั่งแข็งทื่อเล็กน้อย ดื่มสุราได้เพียงยามที่เชิญชวนดื่มเท่านั้น…สวี่ชีอันสังเกตภาษากายของหญิงคณิกาผู้นี้อย่างสงบเยือกเย็น
เมื่อรวมเอาความรู้ด้านจิตวิทยาและพฤติกรรมที่ร่ำเรียนมา สรุปออกมาได้ว่า ระดับของพวกเราไม่เข้าตาหญิงคณิกาผู้นี้เลย
กำลังอดกลั้นอารมณ์และอยู่เป็นเพื่อนมาตลอด
บัดนี้สาวใช้ได้พาคนผู้หนึ่งเข้ามา ช่างเป็นชายหนุ่มรูปงาม ผิวขาวผ่อง แววตาเย็นเยือก ริมฝีปากบางแดงระเรื่อ ใบหน้าประณีตงดงาม ช่างเป็นบุรุษละม้ายคล้ายสตรี
ทุกคนในห้องชำเลืองมอง แม้แต่คณิกาฝูเซียงก็ยังเผยสีหน้าประหลาดใจ ชายหนุ่มรูปงามเช่นนี้นางพบไม่บ่อยนัก
หลังจากชายหนุ่มที่แต่งกายเช่นปัญญาชนเข้ามาในห้องก็กวาดสายตามองตามใจชอบ แล้วตะลึงงันไปเสียดื้อๆ ชะงักอยู่กับที่
หัวตาของสวี่ชีอันกระตุกอยู่นาน ก่อนจะกลั้นใจเอ่ย “บังเอิญจริง”
มุมปากของชายหนุ่มรูปงามกระตุกขึ้น แล้วกลั้นใจเอ่ยเช่นกัน “บังเอิญเสียจริง…”
“ท่านทั้งสองรู้จักกันสินะ” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมยาวสีฟ้าอ่อนข้างกายสวี่ชีอันเอ่ยอย่างประหลาดใจ
มิใช่แค่รู้จัก เขาคือน้องชายของข้าเอง…สวี่ชีอันข่มความอัปยศและความอึดอัดใจมหาศาลเอาไว้ แล้วยิ้มอย่างเยือกเย็น “คงมีวาสนาต่อกัน คิดๆ ดูแล้วพี่สวี่ยังจำหยางคนนี้ได้ พวกเราเคยพบกันที่อำเภอฉางเล่อ”
เขาจงใจแจ้งสกุลของตนให้ทราบเพื่อเตือนสวี่ซินเหนียนให้เขาใช้นามแฝง
นี่เป็นการต้านการสอดแนมขั้นพื้นฐานที่สุด
สวี่ซินเหนียนขาดการตระหนักเช่นนี้ไป ทว่าเขาปราดเปรื่องจึงเข้าใจความหมายของญาติผู้พี่ทันที แล้วแสดงคารวะต่อทุกคน “ข้าน้อยสวี่ผิงอัน นักเรียนจากอำเภอฉางเล่อ”
เมื่อพูดจบก็เข้าไปนั่งตามคำชี้แนะของสาวใช้
นี่เจ้าผสมชื่อของข้ากับอารองเข้าด้วยกันหรือ…สวี่ชีอันอาศัยการดื่มสุราอำพรางข้อบกพร่องอยู่ในใจ
การละเล่นในวงสุราดำเนินต่อ ผ่านไปชั่วครู่สาวใช้ก็พาเข้ามาอีกสองคน ด้านซ้ายเป็นอัจฉริยบุรุษ รูปงาม สวมชุดคลุมยาวหนาสีฟ้า เอวห้อยหยกแขวน มัดผมด้วยปิ่นหยกสีเขียวมันขลับ
คนด้านขวารูปร่างกำยำล่ำสัน รูปหน้าเหลี่ยม ใบหน้ามองไม่มีเบื่อ แต่งตัวเป็นเศรษฐี กลิ่นอายความกล้าหาญที่ปรากฏอยู่บนร่างช่างต่างกับพวกพ่อค้าหรือนักเรียนราวฟ้ากับเหว
ชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผึ่งผายผู้นี้เหยียบย่างเข้าไปในห้องน้ำชา กวาดตามองตามใจชอบ ก่อนจะพลันตะลึงงันแล้วตัวแข็งเป็นหินไปทั้งร่างในเวลาต่อมา
สวี่ชีอัน “…”
สวี่ซินเหนียน “…”
เมื่อสาวใช้พบว่าแขกไม่ได้เดินตามมา จึงหันกลับไปเอ่ยอย่างนุ่มนวล “นายท่าน เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
“อ่า…โอ้ๆ…” สวี่ผิงจื้อเดินเข้าไปในห้องสุรา
สวี่ซินเหนียนกับสวี่ชีอันยืดหลังตรงอยู่เงียบๆ
หลังจากอารองสวี่เข้ามานั่ง ทั้งสามต่างพร้อมใจไม่มองอีกฝ่าย แล้วอยู่ในท่านั่งที่เรียบร้อย ต่างก้มหน้าละอายใจ
‘เจ้าเด็กเหลือขอสองคนนั้นบอกว่าไม่มีเวลามิใช่หรือ…ช่างเถอะอะไรที่แล้วก็แล้วไป อย่างไรเสียข้าก็เข้าใจความคิดที่แท้จริงภายในใจเขาแล้วเล็กน้อย…หนิงเยี่ยนไม่เคยไปหอคณิกามาก่อนนี่…’
อารองสวี่บอกว่าคืนนี้เข้าเวรมิใช่หรือ…แต่ก่อนทุกครั้งที่ข้ากับอาสะใภ้ทะเลาะเบาะแว้งกัน เขาก็จะบอกว่าชาตินี้ได้แต่งภรรยาที่งดงามเช่นนี้ถือเป็นโชคลาภไปแปดชาติ จึงไม่อยากต่อว่าอาสะใภ้…ถุย นี่ไม่ใช่ว่าออกมาเที่ยวโสเภณีแล้วหรือ
‘พี่ใหญ่ไม่ใช่ว่าไม่เคยไปหอคณิกามาก่อนหรอกหรือ…ข้าก็ว่าชุดคลุมยาวของข้าไฉนจึงหาไม่เจอ ถุย ช่างหน้าด้านไร้ยางอาย ท่านพ่อบอกว่ารักท่านแม่สุดหัวใจไม่เคยเข้าสถานที่แสงสีมาก่อนมิใช่หรือ…’
ละครภายในใจของทั้งสามมากด้วยสีสันกว่าสีหน้าอารมณ์อันแข็งทื่อเสียอีก
สวี่ชีอันคิดว่าเรื่องที่น่าขายหน้าที่สุดในชีวิตเพิ่มเข้ามาอีกเรื่องแล้ว นั่นคือตอนที่ออกไปเที่ยวโสเภณีแล้วพบอารองกับน้องชาย
แม่เจ้าโว้ย ข้าก็ตายทางสังคมไปแล้วเช่นกัน…
พอย้อนกลับไปคิด ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เพียงข้าคนเดียวที่จะตาย ในใจก็รู้สึกดีขึ้นมา
การละเล่นในวงสุราดำเนินต่อไป สวี่ซินเหนียนนับว่ายังอยู่ในครรลองที่จะตอบโต้ อย่างไรเสียก็เป็นถึงปัญญาชน สวี่ชีอันมองดูสภาพการณ์ บางครั้งมิอาจรับมือได้ก็เพียงถูกลงโทษให้ดื่มสุราเท่านั้น สวี่ผิงจื้อไม่ได้ดื่มสุราตั้งแต่ต้นจนจบจึงเป็นที่น่าเบื่อหน่ายของทุกคน
ในใจอารองสวี่ไม่รู้อะไรเลยจริงๆ ท่านไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อนจะมาร่วมครื้นเครงอะไร ท่านอยากหลับนอนกับคณิกาคิดว่าอยากนอนก็ได้นอนหรือ สวี่ชีอันตำหนิในใจ
‘ท่านพ่อสิ้นเปลืองเงินจริงๆ’…สวี่ซินเหนียนก็ก่นด่าในใจเช่นกัน
ในใจของทั้งสองล้วนร้อนใจเล็กน้อย เพราะแสดงออกไปเรียบง่ายจึงไม่ได้รับความโปรดปรานจากคณิกา สวี่ซินเหนียนที่ดูผิวเผินเริ่มจะไม่ถูกคณิกาจับจ้องแล้ว เพราะอยู่ในครรลองเกินไป
สิ่งที่ลำบากมากที่สุดคือคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งในการแข่งขันบนสนาม ชายหนุ่มรูปงามสวมเสื้อคลุมหนาสีฟ้าผู้นั้น
เขามาจากราชวิทยาลัยหลวง มากความสามารถ แม้จะเข้าประจำที่นั่งช้าเล็กน้อย ทว่าด้วยความปราดเปรื่องที่ไม่ธรรมดาเป็นที่โดดเด่น ทำให้หญิงคณิกาปิดปากหัวเราะหน้าแดงอยู่ตลอด
ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีฟ้าผู้นั้นยกจอกสุราขึ้นมาจิบ แล้วเอ่ยเสียงดัง “ครั้งนี้ข้าน้อยลองเริ่มดูก่อนก็ได้”
ทุกคนไม่มีความเห็น แม่นางฝูเซียงยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “เชิญคุณชายจ้าว”
คุณชายจ้าวมองไปรอบๆ ฝูงชนแล้วเอ่ย “ใบสนใบไผ่ทุกใบเขียวขจีสิ้น”
“คาดไม่ถึงว่าจะเป็นกลอนซ้อนคำ” บางคนบนโต๊ะอาหารประหลาดใจ
“ใบสนใบไผ่ทุกใบเขียวขจีสิ้น…วิเศษ วิเศษไปเลย ข้าเทียบไม่ติดเลยจริงๆ”
“พี่จ้าวช่างมีปัญญาเลิศล้ำ สมกับที่เป็นผู้ที่ร่ำเรียนมาจากราชวิทยาลัยหลวง”
เมื่อเวียนกลับมาเล่น ไม่นึกว่าทุกคนจะรับมือได้
คุณชายจ้าวยิ้มจางๆ ด้วยสีหน้าโอหัง
นัยน์ตาของแม่นางฝูเซียงสว่างพร่างพราย จ้องมองคุณชายจ้าวอย่างช้าๆ
ตัดสินได้จากสีหน้าและการกระทำเล็กๆ ของนาง คณิกาประทับใจในชายสกุลจ้าวผู้นี้และชื่นชมความสามารถของเขาเป็นอย่างมาก…สวี่ชีอันคิ้วขมวด หันกลับไปมองสวี่ซินเหนียน
อย่างหลังดูเหมือนว่าความเศร้าหมองจะปรากฏบนหว่างคิ้วของสองพี่น้องเข้าพอดี
ตามความหมายเดิมของสวี่ซินเหนียน พี่ใหญ่ที่ชำนาญด้านบทกวีควรจะเป็นเหมือนปลาได้น้ำในสำนักสังคีต
ใครจะเชื่อว่าเวลาผ่านมาเนิ่นนาน เล่นออกกำปั้น ผลัดกันต่อประโยคคู่ไปแล้วรอบหนึ่งก็ยังไร้วี่แวว
อันที่จริงการประชุมชาในสำนักสังคีต บทกวีเป็นสิ่งคู่กันมาโดยตลอด เกือบ 200 ปีมานี้บทกวีอันเลิศล้ำมีไม่มาก ปัญญาชนไม่ชำนาญการเขียนกวีแต่งบทเพลง
ยามประชุมชาย่อมหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่ถนัด
อีกทั้งแขกที่นั่งอยู่ในค่ำคืนนี้คุณสมบัติไม่เท่ากัน เพียงแค่ประโยคคู่หนึ่งก็ยากเล็กน้อยแล้ว แม่นางฝูเซียงเป็นหญิงงามจิตใจดี ตั้งใจไม่เอ่ยถึงบทกวีโดยเฉพาะ แขกจะได้ไม่ละอายใจที่เสียศักดิ์ศรี
บัดนี้คณิกาฝูเซียงหยัดกายอันอ่อนช้อยขึ้น ย่อตัวแสดงคารวะ แล้วเอื้อนเอ่ยด้วยเสียงอ่อนหวาน “ข้าเริ่มเพลีย ขอตัวออกไปก่อน ท่านที่เหลือค่อยๆ ดื่มกันไปเถิดเจ้าค่ะ”
ประชุมชารอบนี้สิ้นสุดลงแล้ว
ต่อจากนี้หากหญิงคณิกาต้องตาต้องใจใครสักคน ก็จะให้สาวใช้รั้งไว้และพาเข้าไปในห้อง
หากไม่ต้องตาต้องใจสาวใช้จะส่งแขก จากนั้นก็จะเปิดประชุมชารอบถัดไป
ทุกคนต่างเฝ้ารอและรอคอยอย่างกระสับกระส่าย เวลาล่วงเลยไปชั่วครู่ หลังจากครึ่งก้านธูป (เท่ากับ 15 นาที) สาวใช้ก็เดินมาพร้อมเอ่ยเสียงอ่อน
“แม่นางของข้าเชิญคุณชายจ้าวเข้าไปดื่มชาในห้องเจ้าค่ะ”
เหล่าแขกทั้งหลายส่ายหน้าอย่างเสียดายพร้อมทอดถอนใจ มีคนยิ้มแสดงความยินดีกับคุณชายจ้าวด้วยเช่นกัน
คุณชายจ้าวยิ้มด้วยท่าทางของผู้ชนะ
บัดนี้ชายหนุ่มทั้งสามแห่งบ้านสกุลสวี่ต่างก็นั่งไม่ติดแล้ว
…………………………………………………………
[1] มีคูน้ำย่อมต้องมีไฟ คำว่า ‘คูน้ำ’ เป็นคำแสลง หมายถึง ร่องอกของผู้หญิง สำนวนนี้จึงมีความหมายว่า ผู้หญิงที่มีร่องอกมักจะได้รับความนิยม