ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 57 ลักพาตัว
สวี่ชีอันได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากซ่งชิง ทั้งสองคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ถือถ้วยชาหอม และพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร
“พูดตามตรง ข้าสงสัยเจ้านิดหน่อย” ซ่งชิงจิบชาอึกหนึ่ง และพูดว่า “สองสามวันมานี้ข้าตรวจสอบบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของเจ้าแล้ว”
ต่อหน้าผู้อื่นเหมาะสมแล้วหรือที่บอกว่าตรวจสอบบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของเขา…สวี่ชีอันไม่แปลกใจกับเรื่องนี้ และตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ตรวจสอบแล้วเป็นอย่างไรบ้าง”
“สะอาดเกินไป” ซ่งชิงส่ายหน้า และไม่ได้คุยหัวข้อนี้ต่อ เขาหยิบกระดาษเซวียนจื่อแผ่นหนึ่งออกมาและยื่นให้ “ข้าให้เจ้าดูผลการค้นคว้าล่าสุดของข้า”
สวี่ชีอันคิดในใจว่า ข้าสร้างเรื่องชายเร่ร่อนปริศนาขึ้นมา เจ้ากลับไม่ถาม…พวกบ้าเทคโนโลยีอย่างพวกเจ้าไม่สนเรื่องพวกนี้เนี่ยนะ
เขารับต้นฉบับมา กวาดตามองสองสามรอบ และแทบจะสำลักชาออกมา
นอกเหนือจากทฤษฎีต่อกิ่งพืชที่เขาบอกซ่งชิงแล้ว ชายคนนี้ยังเอาไปปรับใช้ได้อีก และทำออกมาสองสามกรณีด้วยความคิดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
คนปลูกถ่ายอวัยวะกับม้า
ข้อดีมีมากมาย ตัวอย่างเช่นจากนี้ไปต้าฟ่งไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องทรัพยากรม้าศึก เหล่าทหารก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีม้าศึกเด่นๆ เพราะพวกเราจะเป็นทหารเต็มตัว และสามารถเป็นม้าศึกเองได้…
อีกตัวอย่างหนึ่ง จับเผ่าพันธุ์ปีศาจสายพันธุ์นกมาผสมพันธุ์กับมนุษย์ สร้างครึ่งปีศาจที่ทำหน้าที่เป็นกองทัพอากาศได้
ปีศาจสาวเข้าใจ…ถุย อุปสรรคในการสืบพันธุ์เข้าใจ…สวี่ชีอันวางกระดาษเซวียนจื่อ เขาสงบปรัชญาสามทัศน์ที่ถูกโจมตี และพูดว่า “ข้ามาสำนักโหราจารย์ครั้งนี้ มีเรื่องอยากขอร้องให้ศิษย์พี่ซ่งช่วย”
“ว่ามาเถิด”
“เรื่องที่ข้าทำให้รองเจ้ากรมโจวขุ่นเคือง เจ้าน่าจะรู้”
“ไฉ่เวยบอกข้าแล้ว” ซ่งชิงวางถ้วยชาลง และพูดอย่างเคร่งขรึม “เสียใจด้วย ข้าไม่อาจช่วยเจ้าได้ สำนักโหราจารย์ไม่แทรกแซงการเมืองและกิจการของราชสำนัก ฝ่าบาททรงไม่อนุญาต อีกอย่าง รองเจ้ากรมที่ถือครองอำนาจอย่างแท้จริงอยู่เหนือขีดจำกัดความสามารถของข้าไปแล้ว”
“ศิษย์พี่ซ่งอย่ากังวลไป ข้าต้องการให้เจ้าทำเรื่องง่ายๆ…” สวี่ชีอันพูดแผนของตัวเองออกมา
“เป็นไปไม่ได้” ซ่งชิงปฏิเสธทันที “ซ่งชิงผู้สง่าผ่าเผยและซื่อตรงจะไม่ทำเรื่องเช่นนี้แน่นอน”
สวี่ชีอันครุ่นคิด และพูดอย่างละอายใจ “เป็นข้าเองที่คิดอะไรไม่รอบคอบ…ศิษย์พี่ซ่ง พวกเราคุยเรื่องทฤษฎีการต่อกิ่งของเจ้ากันต่อเถิด ขออภัยที่ข้าพูดตรงๆ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจประสบความสำเร็จได้”
ซ่งชิงขมวดคิ้ว นั่งตัวตรง และแสดงทัศนคติอันเข้มงวดในการอภิปรายวิชาการออกมา
“คิดว่าเจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ แมวที่ต้องเลี้ยงดูในขวดแก้วตัวนั้นคือตัวอย่าง แต่เจ้าต้องฉงนแน่ๆ ว่าเหตุใดถึงล้มเหลว สาเหตุอยู่ตรงไหน”
ร่างของซ่งชิงเอนไปข้างหน้า และหายใจเร็วขึ้น เขาเบิกตากว้างมองสวี่ชีอัน “เจ้ารู้หรือ”
สวี่ชีอันตอบว่า “ข้าไม่ได้เข้าร่วมการค้นคว้า จึงไม่รู้ว่าสาเหตุที่แท้จริงอยู่ตรงไหน แต่ข้าสามารถจัดหากฎเกณฑ์ทางทฤษฎีให้เจ้าได้”
กฎเกณฑ์ทางทฤษฎี?!
สิ่งที่ซ่งชิงขาดมากที่สุดคือกฎเกณฑ์ทางทฤษฎี ปรมาจารย์ที่เป็นแบบอย่างหาได้ยากยิ่ง การเล่นแร่แปรธาตุก็ลึกล้ำกว้างขวาง หากต้องการก้าวไปข้างหน้าต่อ การสนับสนุนทางทฤษฎีคือสิ่งที่ขาดไม่ได้
สวี่ชีอันพูดช้าๆ ภายใต้การจับจ้องด้วยดวงตาที่เปล่งประกายกะทันหันของซ่งชิง
“เจ้าเคยได้ยินตารางธาตุหรือไม่”
‘ตารางธาตุคืออะไร เกี่ยวอะไรกับการทดลองของข้า’ ซ่งชิงมีเครื่องหมายคำถามนับหมื่นแวบขึ้นมาในหัว
เขาหายใจเร็วขึ้นเรื่อยๆ และรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะได้สัมผัสประตูสู่ความจริงของการเล่นแร่แปรธาตุ ในฐานะผู้คลั่งไคล้การเล่นแร่แปรธาตุ ผมแต่ละเส้นของเขาตั้งขึ้นด้วยความตื่นเต้น
เขายังไม่ทันได้ถาม ก็ฟังสวี่ชีอันพูดงึมงำว่า “หลักการของการเล่นแร่แปรธาตุคือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม…”
…
จวนเวยอู่โหว ณ ถนนเชวี่ยฝูที่เมืองชั้นใน ถนนเส้นนี้เป็นอาณาเขตอันสูงส่ง ตลอดทางเต็มไปด้วยโหว[1] ป๋อ[2] และกง[3]
เวยอู่โหวเป็นตำแหน่งที่สืบต่อกันมา และเกิดการแย่งชิงบัลลังก์ขึ้นเมื่อสามร้อยปีก่อน แม้จะสืบทอดกันมาจนถึงตอนนี้ อันที่จริงในมือก็ยังไม่มีอำนาจสักเท่าไหร่
ประตูด้านข้างเปิดออก หญิงสาววัยเยาว์ที่ใบหน้ากลมเล็กน้อยเดินออกมาภายใต้การคุ้มกันของสาวใช้กับผู้ติดตามรับใช้ นางสวมชุดผ้าไหมสวยงาม กระโปรงยาวถึงส้นเท้า ระหว่างที่เดินจะเห็นรองเท้างานปักเล็กน้อย
อายุสิบหกสิบเจ็ดปี หน้าตาน่ารัก ดวงตาสดใส บุคลิกหยิ่งผยอง การแสดงออกที่ปรากฏขึ้นระหว่างคิ้วเพิ่มออร่าของนาง ซึ่งดึงดูดความสนใจอย่างมาก
จางอวี้อิงเข้าไปในเกี้ยวที่ประตู คนยกเกี้ยวยกเกี้ยวขึ้น และเดินไปทางวัดเฉิงหวงอย่างไม่เร่งรีบ
วันนี้นางต้องไปจุดธูปไหว้พระที่วัดเฉิงหวง และกินอาหารมังสวิรัติ จากนั้นก็ไปหาสหายคนสนิทที่จวนเหวินหยวนโปเพื่อดื่มชาและพูดคุยกัน
แอบอ่านหนังสือต้องห้ามในห้องส่วนตัว และคุยกันว่าคุณชายบ้านใดถึงวัยที่เหมาะจะแต่งงานแล้ว แสดงความคิดเห็นเรื่องนักเรียนดีเด่นที่สอบผ่านการสอบรอบฤดูใบไม้ร่วง[4]ในปีนี้ และเดาว่าการสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ[5]ปีหน้าพวกเขาจะผ่านฉลุยได้หรือไม่
บางทีในนั้นอาจจะมีลูกเขยในอุดมคติของตัวเอง
หลังจากเดินไปสองถนน สาวใช้ที่เดินตามอยู่ข้างเกี้ยวจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงโหวกเหวก
รถม้าสองคันที่อยู่ด้านหลังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงควบคุมไม่ได้ คนขับรถม้าดึงบังเหียนม้าไว้แน่น และเหวี่ยงแส้ม้าด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“หลีกไป ทุกคนหลีกไป…”
คนเดินเท้ากระจัดกระจายไปทุกทางเพื่อหลบเลี่ยง
“เร็ว รีบหยุดรถม้าเร็ว” สาวใช้ตกใจจนหน้าถอดสี นางสั่งผู้ติดตามรับใช้ให้สกัดกั้นรถม้าพลางสั่งให้คนยกเกี้ยวหลบไป
พวกผู้ติดตามรับใช้กำลังคนไม่เพียงพอ จึงสกัดไว้ได้เพียงคันเดียว อีกคันหนึ่งชนคนยกเกี้ยวสองคน และเกี้ยวก็พลิกคว่ำทันที
คนยกเกี้ยวอีกสองคนที่เหลือกับสาวใช้ช่วยเหลือตัวเองตามสัญชาตญาณ พวกเขากระโจนหลบไปด้านข้าง สถานการณ์จึงวุ่นวายทันที
หลังจากความวุ่นวายระยะสั้นๆ รถม้าสองคันก็วิ่งไปอย่างบ้าคลั่งต่อ ก่อนที่สาวใช้จะลุกขึ้นมาด้วยความกังวล และวิ่งไปตรวจดูเกี้ยว
“คุณหนูรอง คุณหนูรองเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
ไม่มีผู้ใดตอบกลับ
สาวใช้ใจหายวาบ นางเลิกม่านเกี้ยวขึ้นทันที และตกตะลึง สองสามวินาทีต่อมา นางก็กรีดร้อง “คุณหนูรองหายตัวไป!!”
ภายในเกี้ยวว่างเปล่า
…
เมืองชั้นใน ณ ลานเล็กๆ สักแห่ง
จางอวี้อิงรู้ว่าตัวเองถูกลักพาตัว แม้จะไม่รู้ว่าเป็นใคร
นางตื่นขึ้นมาสักพักหนึ่งแล้ว หลังจากบรรเทาอาการปวดหัวเบื้องต้น จิตใจก็ตกอยู่ในอาการหวาดกลัวทันที
ในฐานะลูกสนมของเวยอู่โหว ปกติจะได้รับการดูแลน้อยกว่าลูกสาวของภรรยาคนแรกเพียงเล็กน้อย และมากกว่าพี่น้องสตรีคนอื่นๆ ท่านพ่อกับนายหญิงรักนางมาก ความสัมพันธ์ระหว่างลูกสาวของภรรยาคนแรกที่เป็นทั้งพี่สาวและญาติผู้พี่กับนางก็ดีมาก
ชีวิตที่หรูหราฟุ่มเฟือย และถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ต้องประสบกับเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่
รอบตัวนางเงียบสนิทไร้ซึ่งเสียงใด มือกับเท้าถูกมัด ในปากมีผ้ายัดไว้ นางรู้สึกกลัวมาก
‘เคร้ง!’
ด้านนอกลาน มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น ตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังมา
ใจของจางอวี้อิงกระตุกวูบทันที ความกลัวระเบิดออกมาจากก้นบึ้งลึกๆ ในใจ นางไม่รู้ว่าตัวเองกำลังเผชิญกับอะไร แต่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน
“เฮ้” เสียงฝีเท้าหยุดลงนอกห้อง มีคนพูดว่าเฮ้ และยิ้มกริ่ม “แม่นางคนนี้งดงามจริงๆ เมื่อสักครู่ข้าแอบไปตรวจสินค้ามา งดงามยิ่งนัก!”
“เจ้านี่น่ารังเกียจจริงๆ…” เมื่ออีกคนพูดถึงตรงนี้ ก็หยุดลง และพูดเสริม “ไม่เรียกข้าไปด้วย”
จางอวี้อิงทั้งอายทั้งโกรธ น้ำตาคลออยู่ในเบ้าตา
ร่างทั้งสองร่างยังคงคุยกันต่อ
“นางยังเป็นนกน้อย”
“ไร้สาระ ลูกสาวคนรองของเวยอู่โหวคนนี้ยังไร้คู่หมั้นหมาย”
จางอวี้อิงตกตะลึง ‘พวกเขารู้ว่าข้าเป็นใคร รู้ว่าบิดาของข้าคือเวยอู่โหว แล้วยังกล้าลักพาตัวข้าอีกหรือ’
นี่แสดงให้เห็นว่าคนที่บงการอยู่เบื้องหลังไม่ใช่คนธรรมดา
“เจ้าว่าคุณชายโจวจะจัดการแม่นางคนนี้อย่างไร แม้ว่าจะเป็นหญิงงามที่โดดเด่นมาก แต่จะเลี้ยงไว้ตลอดไปก็ดูไม่ค่อยปลอดภัย”
“อ๋อ คิดมาก อย่างมากคุณชายโจวก็เล่นด้วยสักพักหนึ่ง พอเบื่อ ก็รัดคอ ฝังในลานแห่งนี้ ใครจะรู้”
“รอคุณชายโจวเล่นจนเบื่อ พวกเราก็มาดื่มน้ำซุป[6]กัน แม่นางคนนี้ผิวเนียนนุ่ม และมีน้ำมีนวลกว่าหญิงสาวในซ่องมาก”
“ใช่ หากไม่ใช่เพราะคุณชายโจวอยากชิมสดๆ ตอนนี้พวกเราก็คงทำนางได้”
“ใครใช้ให้เขาเป็นลูกชายของรองเจ้ากรมกรมการคลังล่ะ ไปๆๆ ไปดื่มเหล้ากัน”
“แบบนี้ไม่ดีมั้ง”
“ใกล้จะค่ำแล้ว พวกเราก็ไปซื้อเหล้าแล้วค่อยกลับมา”
เสียงฝีเท้าไกลออกไป ตามด้วยเสียงปิดประตูลาน ทั้งสองคนเหมือนจะออกไปดื่มเหล้าแล้ว
‘คุณชายโจว ลูกชายของรองเจ้ากรมกรมการคลังหรือ’
ภาพของคุณชายในชุดผ้าทอแวบเข้ามาในหัวของจางอวี้อิง และนึกถึงเรื่องที่เจอตอนไปเทศกาลโคมไฟเมื่อปีที่แล้วขึ้นมาได้
‘เขายังคงไม่เคยลืมข้า…เล่นจนเบื่อ…ดื่มน้ำซุป…ฆ่าคนฝังในลานและทำลายซากศพกลบร่องรอย…’ บุตรสาวผู้ถูกเลี้ยงดูมาอย่างเอาใจใส่ในตระกูลที่ร่ำรวย หวาดกลัวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว น้ำตาไหลออกมา
“อือๆ…” นางพยายามร้องออกมาสุดเสียงพลางบิดแขนขา พยายามดิ้นให้หลุดจากการถูกมัด
ทันใดนั้น นางก็พบว่าเชือกที่ข้อมือคลายออกเล็กน้อยแล้ว
จางอวี้อิงนิ่งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงียบลง ไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป แต่มือทั้งสองข้างกลับบิดอย่างแรง
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ผิวอันบอบบางตรงข้อมือถูกถูจนถลอก เจ็บจนร้อนผ่าว ในที่สุดนางก็หลุดจากการถูกมัด
นางลุกขึ้นนั่งทันที และแก้เชือกที่เท้า นางเดินย่องไปที่ประตูห้องอย่างเงียบเชียบ และทนฟังอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อมั่นใจว่าในลานไม่มีคน นางก็เดินไปที่ลานอย่างระมัดระวัง
มองไปทางซ้ายทีขวาทีอยู่ชั่วครู่ นางกัดฟัน วิ่งออกไปด้วยความเร็วอย่างที่ไม่เคยวิ่งมาก่อนในชีวิต พุ่งไปที่ประตูลาน และเปิดประตู
ประตูเปิดไม่ออก เพราะถูกล็อกไว้จากด้านนอก
“ฮือ…” คุณหนูจางร้องคร่ำครวญออกมาอย่างสิ้นหวัง
…
ข้างถนนตรงข้ามลาน สวี่ชีอันถือชามก๋วยเตี๋ยวอยู่ในมือ และยืนข้างๆ สวี่ซินเหนียน
“เนื้อไม่เลวเลย” สวี่ต้าหลางยั่วยุเอ้อร์หลางตามปกติ
เอ้อร์หลางไม่สนใจเขา สายตามองไปที่ประตูลาน “นางจะออกมาไม่ได้รึเปล่า เหตุใดต้องล็อกประตูลานด้วย”
“ความปรารถนาที่จะเอาชีวิตรอดอย่างแรงกล้าจะกระตุ้นศักยภาพของคน เชื่อข้า นางจะออกมา แค่ปีนกำแพง” สวี่ชีอันสูดก๋วยเตี๋ยว และอธิบายเสียงเบา “หากไม่ล็อกประตู ร่องรอยจะเยอะเกินไป”
ลานเล็กๆ แห่งนี้ก็คือบ้านพักส่วนตัวที่โจวลี่ซื้อไว้ข้างนอก ในบ้านพักเลี้ยงหญิงสาวหน้าตาไม่เลวไว้ ตอนนี้หญิงสาวคนนั้นกับสาวใช้ หญิงชราและคนเฝ้าประตูในลาน ทั้งหมดสี่คนถูกสวี่ชีอันขังไว้ในกระจก
กระจกหยกบานนั้นสามารถเก็บสิ่งของกับสิ่งมีชีวิตได้ สวี่ชีอันเคยนำมาทดลองกับคนรับใช้ที่บ้านแล้ว
หากไม่ใช่เพราะกระจกบานนั้น แผนลักพาตัวคุณหนูสกุลจางจะยากมาก ถึงขั้นอาจขโมยไก่ไม่ได้ และยังเสียข้าวสารอีกกำมือด้วย[7]
เวลานี้ ทั้งสองคนเห็นว่ามีหัวโผล่ออกมาจากกำแพง จางอวี้อิงที่ผมมวยยุ่งเหยิงยื่นหัวออกมา
หลังจากสังเกตดูรอบๆ อย่างระมัดระวัง นางก็ปีนกำแพงและกระโดดลงมา
นางดูเหมือนจะขาแพลง นอนบนพื้นไม่ขยับตัวเป็นเวลานาน หลังจากนั้นนานมากนางถึงร้องไห้ออกมาพลางลุกขึ้นอย่างเข้มแข็ง พิงกำแพง และหนีไปบนถนนทีละก้าวๆ
ในฐานะคุณหนูตระกูลร่ำรวยที่มีชีวิตหรูหรา การทำเช่นนี้ได้ถือเป็นเรื่องน่าเศร้าใจอย่างยิ่ง
‘พวกเขาออกไปซื้อเหล้า ตอนค่ำจึงจะกลับมา…’ นางเหลือบมองพระอาทิตย์ตก และรู้ว่าตอนนี้ตัวเองปลอดภัยแล้วจริงๆ
บางทีวิ่งไปไม่ไกลมากก็อาจจะถูกไล่ตามมา บางทีเดินไปไม่กี่ก้าว ทั้งสองฝ่ายก็อาจจะปะทะกันแบบซึ่งๆ หน้า
ในเวลานี้เอง กองดาบลาดตระเวนเมืองที่อาวุธครบมือก็ผ่านทางมา
จางอวี้อิงที่กลัวว่าจะเจอคนลักพาตัวบนถนนหรือถูกพวกเขาไล่ตามก็เหมือนกับเห็นผู้กอบกู้ นางร้องไห้และเดินเข้าไป
ก่อนที่กองดาบจะชักดาบออกมา นางกรีดร้อง “ข้าเป็นลูกสาวของเวยอู่โหว ข้าถูกลักพาตัวมา พวกท่านโปรดช่วยข้าด้วย”
กองดาบสองสามคนมองหน้ากัน และล้อมเข้าไปทันที
ประชาชนที่อยู่รอบๆ หยุดดูทีละคน หัวหน้ากองดาบถามว่า “ผู้ใดลักพาตัวเจ้า”
“เป็นโจวลี่ ลูกชายของรองเจ้ากรมโจวแห่งกรมการคลัง โจวลี่” จางอวี้อิงทรุดตัวลงและร้องไห้
‘ตึงๆๆ’ …เสียงกลองเวลาห้ามออกนอกเคหสถานดังขึ้นพร้อมกัน
สวี่ชีอันวางชามลงข้างๆ ถนน และพูดว่า “ไปเถิด หาโรงเตี๊ยมพัก พรุ่งนี้กลับบ้านรอฟังข่าว”
…………………………………………………………
[1] โหว เป็นตำแหน่งที่สูงกว่าป๋อ แต่ต่ำกว่ากง
[2] ป๋อ เทียบได้กับตำแหน่ง พระยา (ของไทย)
[3] กง เป็นตำแหน่งสูงสุดในสภาขุนนาง เทียบได้กับหม่อมเจ้าหรือเจ้าพระยา (ของไทย)
[4] การสอบรอบฤดูใบไม้ร่วง เป็นการสอบในระดับมณฑล
[5] การสอบรอบฤดูใบไม้ผลิ เป็นการสอบในระดับมณฑล
[6] ดื่มน้ำซุป หมายถึง ผู้ติดตามได้รับประโยชน์หลังจากเจ้านาย
[7] ขโมยไก่ไมได้ เสียข้าวสารอีกกำมือ คำอุปมา หมายถึง ความล้มเหลวในการทำสิ่งต่างๆ และสร้างความเสียหายต่อตนเองด้วย