ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 70 สวี่ชีอันกล่าว ‘ข้าจะไปล้างอายที่สำนักสังคีต’
- Home
- ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง
- บทที่ 70 สวี่ชีอันกล่าว ‘ข้าจะไปล้างอายที่สำนักสังคีต’
‘เขากลับคาดเดาได้ถึงตำแหน่งของสัตว์ประหลาดหลังจากมันลงน้ำได้… ทั้งยังยิงโดนหัวของมันอย่างแม่นยำ… การมองทะลุปรุโปร่งและพลังการคาดเดาอันเฉียบคมนี้ช่างน่ากลัวยิ่งนัก…’ หลี่ว์ชิงทำงานเป็นมือปราบของทางการในฐานะสตรีและมีอำนาจเหนือเหล่าวีรบุรุษ นี่เป็นเรื่องที่นางภาคภูมิใจมาก
แต่ชั่วขณะนี้เอง ทักษะอันน่าอัศจรรย์ที่สวี่ชีอันแสดงออกมาก็ได้ทำให้นางยอมรับสุดหัวใจและยอมพ่ายแพ้อย่างเต็มใจ
อืม ไม่ใช่แค่มีพลังแข็งแกร่งเท่านั้น แต่ยังเก็บงำถ่อมตน ดียิ่งกว่าพวกผู้ชายที่ดูถูกผู้หญิงเหล่านั้นเสียอีก
เฮ้อ… ถ้าหากไม่ใช่เพราะสัตว์ประหลาดได้รับบาดเจ็บและถูกพิษ และยังมีผืนน้ำกั้นอีก ข้าก็อาจยิงไม่โดนมัน… สวี่ชีอันเก็บหน้าไม้ไป รู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่หน้าไม้นี้ยิงได้แค่สามครั้ง ความทนทานก็ต่ำเกินไป
หลังยิงออกไปสามครั้งแล้ว มันก็จะกลายเป็นหน้าไม้ธรรมดา
เดิมทีมันควรจะนำมาใช้เพื่อรักษาชีวิต พอเอามาใช้กับสัตว์ประหลาดก็น่าเสียดายจริงๆ
หลี่ว์ชิงมองตามสายตาของเขาและสังเกตเห็นหน้าไม้ธรรมดาที่ภายนอกดูเรียบๆ แต่เมื่อมองดูดีๆ ก็ตกตะลึงทันที
บนหน้าไม้สลักลวดลายที่ลึกลับซับซ้อน เมื่อนึกโยงไปถึงพลังปราณที่สาดซัดตอนยิงลูกศรออกมา ก็เดาได้ไม่ยากว่านี่คืออาวุธเวทมนตร์ชิ้นหนึ่ง
หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลมีเพียงฆ้องเท่านั้นที่เป็นอาวุธเวทมนตร์… ‘เช่นนั้นนี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเขาหรือ ที่เขาบอกว่าสามารถเชิญโหรของสำนักโหราจารย์มาได้ ที่แท้ก็ไม่ได้อวดอ้างสินะ…’ ภาพจำที่หลี่ว์ชิงมีต่อชายคนนี้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ความรู้สึกดีๆ เพิ่มขึ้น
สวี่ชีอันหันข้าง ไม่ยอมให้นางมองดูสมบัติของตนอีก ก่อนจะเอ่ยยิ้มๆ
“ถ้าไม่ไปจับมันขึ้นมา เดี๋ยวมันก็ถูกน้ำพัดไปได้ นี่ผลงานชิ้นใหญ่เลยนะ”
หลี่ว์ชิงเม้มปากหัวเราะด้วยท่าทีสงวนตัวแล้วพยักหน้า
ทั้งคู่ลงน้ำไปด้วยกันแล้วลากร่างของสัตว์ประหลาดขึ้นมาบนบก
ตอนนี้เอง ซ่งถิงเฟิงก็ประคองจูกว่างเสี้ยวเดินโซเซออกมาจากป่า
“พวกเจ้าฆ่ามันได้แล้วหรือ” ซ่งถิงเฟิงไม่อาจปกปิดรอยยิ้มโล่งใจได้
จูกว่างเสี้ยวผู้เงียบขรึมถอนหายใจยาวๆ
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” สวี่ชีอันเป็นห่วงอาการบาดเจ็บของจูกว่างเสี้ยว
เจ้าปีศาจในร่างคนส่ายหน้า “ไม่เป็นอะไร แค่ซี่โครงหักไปสองซี่”
คนทั้งสี่พักกันอยู่ริมแม่น้ำครู่หนึ่ง มือปราบระดับหลอมจิตสองคนก็พาผู้ใหญ่บ้านลงมาจากเขา
เมื่อผู้ใหญ่บ้านเห็นศพของสัตว์ประหลาด เขาทั้งโมโหทั้งหวาดกลัว จึงก้าวไปข้างหน้าอย่างระแวดระวังแล้วเตะมันทีหนึ่ง ก่อนเผ่นหนีด้วยความว่องไวอย่างที่คนแก่ไม่ควรจะมี
รออยู่ไม่เท่าไหร่ เมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ จึงวางใจพุ่งเข้าไปชกหมัดต่อยเตะ ระบายอารมณ์อย่างคนไร้ความสามารถ
หลังจากระบายอารมณ์แล้ว ผู้ใหญ่บ้านก็คุกเข่าแล้วโขกศีรษะให้กับพวกสวี่ชีอัน
สวี่ชีอันโบกมือ “ข้าขอถามเจ้า เหมืองทางใต้นั่นขุดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิด “นั่นเป็นเหมืองที่เหลือมาจากสมัยก่อนขอรับ ปูนขาวทางทิศใต้มีไม่มาก เส้นทางก็ไปได้ไม่ง่าย จึงปล่อยทิ้งไว้หลายปีแล้ว ข้าน้อยก็ไม่รู้ว่าขุดจนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ขอรับ”
สวี่ชีอันเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ทางนั้นมีคนไปบ่อยๆ หรือไม่”
ผู้ใหญ่บ้านบอก “มิได้ขอรับ หาได้มีร่องรอยมนุษย์ไม่”
เจ้าบอกข้าตรงๆ ว่ามีคนไปเป็นบางครั้งบางคราวก็พอแล้ว จะมาเล่นสำนวนโวหารอะไรกับข้า… สวี่ชีอันส่อเสียดอยู่ในใจพลางกล่าว “เจ้ากลับไปก่อน รอทางการเรียกตัว”
ชายแก่เพิ่งจะถูกจูกว่างเสี้ยวเตะไปทีหนึ่งจึงได้รับบาดเจ็บ สวี่ชีอันเห็นเขาจับบริเวณเอวอยู่ตลอด
หลี่ว์ชิงไม่มีความเห็นค้านกับวิธีการจัดการของสวี่ชีอัน นางให้สหายร่วมงานคนหนึ่งส่งผู้ใหญ่บ้านกลับไปทันที
คนที่เหลือพักอยู่ที่เดิมอีกครู่หนึ่งเพื่อฟื้นกำลังกาย เติมน้ำและอาหาร
หนึ่งเค่อต่อมา ม้าสามตัวก็ลากศพของสัตว์ประหลาดแล้วค่อยๆ เดินไปตามทางหลวง
ระหว่างทาง หลี่ว์ชิงได้บรรยายเรื่องกระบวนท่าดั่งเทพของสวี่ชีอันเป็นคุ้งเป็นแคว ในน้ำเสียงแฝงความชื่นชมไว้เต็มเปี่ยม
ซ่งถิงเฟิงบังคับม้าเข้าไปใกล้กับสวี่ชีอันแล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบาเหมือนยุง “นางคล้ายจะรู้สึกดีกับเจ้ามากนะ”
สวี่ชีอันตอบเสียงกระซิบ “เจ้าอยากพูดอะไร”
ซ่งถิงเฟิงกล่าว “มือปราบหลี่ว์มีชื่อเสียงมากในแวดวงราชการของเมืองหลวง จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ได้แต่งงาน บุรุษทุกคนล้วนปรารถนาจะเป็นที่หนึ่งบนเส้นทางสักสายมิใช่หรือ”
ยุคสมัยนี้ นางเป็นหญิงขึ้นคานอายุมากแล้ว… สวี่ชีอันหัวเราะ “เช่นนั้นเจ้าก็พยายามหน่อยล่ะ”
ซ่งถิงเฟิงหรี่ตา ถอนหายใจส่ายศีรษะ “คนอย่างข้าเหมาะกับสำนักสังคีตเท่านั้นล่ะ”
สวี่ชีอันหัวเราะกล่าว “แม้ว่าเส้นทางต้นไม้เรียงรายที่เจ้ามุ่งไปจะมีน้ำค้างแข็งปกคลุมในทุกอรุณและสายัณห์น่ะหรือ”
จูกว่างเสี้ยวขมวดคิ้ว ฟังไม่รู้เรื่องว่าสหายร่วมงานทั้งสองกำลังเล่นอะไรกันอยู่
“จริงสิ กระบวนท่าเมื่อครู่นั้นของเจ้าคืออะไรหรือ” สวี่ชีอันถาม
“เคล็ดกระบี่วายุคำราม” ซ่งถิงเฟิงบอก
เคล็ดกระบี่…
เคล็ดวิชาดาบที่เหมือนจะตัดได้ทุกอย่างของมือปราบหลี่ว์ตอนต่อสู้เมื่อครู่ก็เป็นเคล็ดวิชาชนิดหนึ่งด้วย… เดี๋ยวนะ เคล็ดกระบี่หรือ!
สายตาของสวี่ชีอันจับจ้องดาบพกของซ่งถิงเฟิง
ซ่งถิงเฟิงยักไหล่ “ผู้ใดบอกเล่าว่าดาบไม่อาจใช้เคล็ดกระบี่ได้”
นั่นน่ะสิ ใครบอกล่ะว่าไม่มีดาบติดปลายปืนแล้วจะยิงคนไม่ตาย สวี่ชีอันเอ่ยส่อเสียดอยู่ในใจ
ขณะที่พูดคุยหัวเราะกันอยู่ พวกเขาก็มองเห็นกลุ่มชาวบ้านเดินมาจากไหนสักแห่งแล้วมารวมตัวกันที่ทางหลวงฝั่งนี้
ผู้นำก็คือผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง แล้วยังมีมือปราบระดับหลอมจิตที่ไปส่งเขาคนนั้นด้วย
มือปราบส่ายหน้าอย่างจนใจ “พวกเขาจะมาขอบคุณเราให้ได้”
ในมือของผู้ใหญ่บ้านถือตะกร้าไข่ไก่แล้วชูขึ้นสูงตรงหน้าสวี่ชีอัน “นี่คือไข่ไก่ทั้งหมดจากหมู่บ้านของเรา ใต้เท้า ท่านรับไว้เถอะขอรับ ครึ่งปีมานี้ พวกเราเกือบจะใช้ชีวิตกันไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้าใต้เท้าทั้งหลายไม่ได้กำจัดปีศาจร้ายนั่นแทนพวกเรา แล้วบอกว่าไม่มีเหตุให้ผิดกฎหมายล่ะก็ เมื่อส่งมอบเงินภาษีไม่ได้ พวกเราก็มีแต่ต้องหลบหนีไปเป็นผู้ลี้ภัยเท่านั้นแล้วขอรับ”
สวี่ชีอันจับจ้องดูท่าทางไม่สบายใจของผู้ใหญ่บ้าน เขากวาดตามองใบหน้าเหลืองซูบซีดของคนเผาถ่านทั้งหลาย
“ได้!” เขายิ้มพลางรับตะกร้าไข่ไก่มาแขวนไว้บนอานม้า
ชาวบ้านรอบๆ แย้มยิ้ม ตอนนี้เองพวกเขาจึงกล้าพูดเสียงดัง ชี้ไปที่ศพของสัตว์ประหลาดพลางก่นด่าอย่างไม่รู้จบ
ถ้าหากข้ายังยืนกรานไม่ยอมรับของแล้วบอกพวกเขาไปดังๆ ว่า ‘ข้าไม่เอาของชาวบ้านเล็กๆ น้อยๆ หรอก!’
คาดว่าคงจะทำให้พวกเขาตกใจแน่
สวี่ชีอันถอนหายใจเงียบๆ
…
เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง ศพของสัตว์ประหลาดก็มีเหล่าเจ้าหน้าที่พลเรือนที่รออยู่นอกเมืองมารับไป ลากขึ้นรถเข็น ใช้ผ้าขาวปกคลุมไว้ หลังจัดการร่องรอยเรียบร้อยแล้วก็นำเข้าเมือง
“เรื่องเหมืองดินประสิวไม่ใช่เล็กๆ ต้องรายงานต่อบื้องบน” ซ่งถิงเฟิงแกะไข่ไก่แล้วกลืนไข่ดิบลงไป
ระวังพยาธิ… สวี่ชีอันพยักหน้า
เมื่อกลับไปยังที่ว่าการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล ทั้งสามยังไม่ทันได้เขียนรายงานก็ไปยังห้องชุนเฟิง แล้วนำเรื่องที่เกิดขึ้นรายงานกับหลี่อวี้ชุน
เมื่อพี่ชุนฟังจบแล้วก็ทำหน้าจริงจัง
“ทำได้ไม่เลว สวี่ชีอัน เจ้าสร้างผลงานใหญ่แล้ว” หลี่อวี้ชุนเดินมาอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม แล้วจัดเสื้อผ้าของพวกเขาให้เรียบร้อยด้วยมือของตัวเอง
เขากลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้งแล้วเอ่ยอย่างครุ่นคิด “พวกเจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร”
ฆ้องทองแดงทั้งสามมองหน้ากัน ซ่งถิงเฟิงกล่าว
“ตามที่สวี่หนิงเยี่ยนวิเคราะห์ ปีศาจตั้งใจขับไล่คนเผาถ่าน และจากการตรวจสอบของพวกเราก็ยังพบเหมืองดินประสิวในภูเขาอีกด้วย…นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอนขอรับ”
“มีการวิเคราะห์ที่เจาะจงมีน้ำหนักกว่านี้หรือไม่” หลี่อวี้ชุนถามกลับ
ซ่งถิงเฟิงแบมือ “หัวหน้า ข้าดูคนเก่ง ทำคดีเถิดขอรับ…”
ก็แค่ฝีมือธรรมดาหรือเปล่า
ทั้งสามมองไปยังสวี่ชีอันอย่างไม่ได้นัดหมาย แววตาของหลี่อวี้ชุนมีความคาดหวัง “หนิงเยี่ยน เจ้าเห็นว่าอย่างไร”
ความสามารถในการวิเคราะห์คดีของสวี่ชีอันนั้น พวกเขาทั้งสามได้เรียนรู้มาแล้ว
ถึงแม้เขาจะเป็นเพียงหน้าใหม่ที่เพิ่งก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ แต่เมื่อมีเขาอยู่ก็มักจะรู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก
ผู้คนจะพึ่งพาคนเก่งกาจโดยไม่รู้ตัวเมื่ออยู่ในขอบเขตที่ตนไม่ชำนาญ
สวี่ชีอันครุ่นคิดพักหนึ่งจึงกล่าว “เช่นนั้นข้าขอเสริมว่า ตอนนี้ข้ายืนยันได้เลยว่าเหตุผลที่ปีศาจขับไล่คนเผาถ่านรอบๆ ไปก็เพื่อครอบครองเหมืองดินประสิวแต่เพียงผู้เดียว คราแรกข้าคิดว่ามันอาจจะเลือกวางไข่ในลุ่มน้ำภูเขาต้าหวงแต่ระหว่างทางกลับมาเมืองหลวง ข้าพบว่ามันเป็นตัวผู้ เพียงแต่มีปัญหาหนึ่งอย่างที่คิดไม่ตกว่าเหตุใดปีศาจต้องจับจ้องเหมืองดินประสิวด้วย ของสิ่งนี้นอกจากสามารถใช้เป็นยาแล้ว มันยังใช้ทำดินระเบิดได้อีก”
แน่นอนว่าดินประสิวก็ยังมีประโยชน์อื่นๆ เพียงแต่สวี่ชีอันคิดว่าช่องว่างระหว่างยุคนั้นล้ำลึกเกินไป ไม่พูดจะดีกว่า
เขาเหลือบมองหลี่อวี้ชุนโดยไม่รู้ตัว แต่กลับตกตะลึงเมื่อพบว่าอีกฝ่ายผงะไป ตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น ราวกับนึกเรื่องบางอย่างได้
“เป็นเผ่าปีศาจ เป็นเผ่าปีศาจ…” เขาพึมพำออกมา
หลี่อวี้ชุนก็ไม่ได้อธิบาย เขาคลี่กระดาษออกแล้วจดบันทึกอย่างรวดเร็ว
…
ซ่งถิงเฟิงพาสวี่ชีอันไปยังห้องอักษรแล้วกรอกเอกสาร ‘ได้รับบาดเจ็บ’
“เขียนสิ่งนี้เสร็จแล้วพวกเราก็จะได้พักสองวัน พรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าเวร” ซ่งถิงเฟิงกล่าว “เจ้าต้องรู้จักแสวงหาประโยชน์ให้ตัวเองอย่างเหมาะสมบ้าง”
นี่ก็คือการบาดเจ็บจากการทำงานในตำนานสินะ ไม่สิ เป็นการพักร้อนแบบมีเงินเดือนต่างหาก… สวี่ชีอันสนับสนุนในความเฉียบแหลมของสหายร่วมงานอย่างสุดซึ้ง
เมื่อออกจากห้องอักษรก็เป็นยามพลบค่ำแล้ว สวี่ชีอันคิดจะกลับบ้านไปพักผ่อน
ซ่งถิงเฟิงตะโกนเรียกเขาไว้แล้วกล่าวว่า “ไม่ได้บอกว่าคืนนี้จะไปสำนักสังคีตหรอกหรือ”
สวี่ชีอันชะงักแล้วหันขวับไปมองจูกว่างเสี้ยวที่เดินตามมาอยู่ข้างๆ ซ่งถิงเฟิง ก่อนเอ่ยอย่างประหลาดใจ
“เจ้าไม่ได้บาดเจ็บหนักหรือ”
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงขรึม “หญิงสาวของสำนักสังคีตรู้จักปรนนิบัติเป็นอย่างดี”
…นี่หมายความว่าพวกนางจะปฏิบัติให้เองใช่หรือไม่ สวี่ชีอันประสานมือให้เขา
นั่นน่ะสิ เหตุใดจะต้องล้มเลิกการสังสรรค์อย่างมีความสุขระหว่างสหายร่วมงานแค่เพราะการบาดเจ็บเล็กๆ อย่างซี่โครงหักด้วยล่ะ
ไม่กลับบ้านก็ช่างปะไร อารองรู้หรอกว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องอยู่เวรดึก ส่วนอาสะใภ้ อืม เห็นได้ชัดว่านางไม่สนใจว่าข้าจะกลับบ้านหรือไม่หรอก นางเอาแต่ทำท่าฮึ่มฮั่มใส่ข้าได้ทั้งวัน
สวี่ชีอันคืนนี้ไม่กลับบ้าน ต้องไปสังสรรค์กับสหายร่วมงานสองคนซึ่งสอดคล้องกับวิถีข้าราชการของต้าฟ่ง
สถานที่ปลายทางคือสำนักสังคีต!
ชาติก่อนเขาผ่านการสังสรรค์ในลักษณะนี้มาไม่น้อย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบจากร่วมทานอาหารเย็นเป็นเที่ยวซ่อง
ในต้าฟ่ง หรืออาจจะบอกว่าในยุคสมัยนี้ หอนางโลมคือทางเลือกแรกของสถานที่เข้าสังคม
ป้ายห้อยเอวของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทำให้พวกเขาทั้งสามไม่ต้องสนใจช่วงเวลาห้ามออกนอกเคหสถานของเมืองชั้นใน พวกเขาพบกับสหายหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลด้วยกัน หลังจากถูกซักถามเรื่องทั่วไปแล้ว พวกนั้นก็ทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่
…
ทั้งสามเดินเข้ามาในตรอกสำนักสังคีต ซ่งถิงเฟิงที่แย้มยิ้มหรี่ตาก็เอ่ยถึง “ต่อไปยามเจ้าลาดตระเวนแล้วพบสหายร่วมงานใกล้ๆ กับสำนักสังคีตก็สามารถเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ได้ แต่ถ้าหากพบกันที่ย่านอื่น ห้ามหละหลวมจะดีที่สุด เจ้าไม่อาจรับรองได้ว่าจุดประสงค์ของการออกมาเดินยามดึกดื่นค่อนคืนของพวกเขาคืออะไร ข้าเคยได้ยินตัวอย่างมาจากคนรุ่นก่อน เคยมีหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่มีความแค้นกับคนผู้หนึ่ง จึงลอบเข้าบ้านผู้อื่นยามวิกาลแล้วสังหารสิ้น หลังจากนั้นก็สืบหาไม่พบ ต้องใช้ความคิดอย่างมากถึงจะจับฆาตกรที่เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเหมือนกันได้ ส่วนรายละเอียดของเรื่อง พวกเราค่อยพูดกันอีกทีตอนไปประชุมชาแล้วกัน”
สวี่ชีอันยิ้มพลางพยักหน้า
เรื่องราวภายในแวดวงนี้เป็นประสบการณ์ที่มีค่ามาก หากเจอคนขี้อิจฉาอย่างเช่นสหายร่วมงานที่ชอบปัดแข้งปัดขา ก็ไม่แน่ว่าคนอย่างเขาจะยอมบอกเจ้าหรอก
“จริงสิ พวกเราจะไปหอไหน” จูกว่างเสี้ยวผู้เห็นคำพูดมีค่าดุจทองคำเอ่ยขึ้น
“หออิ่งเหมย”
“สุ่มมาสักที่”
มีสองคำตอบ คำตอบแรกมาจากสวี่ชีอัน ส่วนอย่างหลังมาจากซ่งถิงเฟิง
จูกว่างเสี้ยวและซ่งถิงเฟิงมองไปยังสวี่ชีอันพร้อมกัน สายตานั้นราวกับพูดว่า ‘เหตุใดคิดเช่นนี้’
ซ่งถิงเฟิงหัวเราะพลางตบบ่าสหายร่วมงานคนใหม่ “ราคาประชุมชาของแม่นางฝูเซียงคือสิบตำลึงเงิน อีกอย่างนางรับแขกน้อยมาก ปกติจะรับแต่แขกที่ประชุมชาติดต่อกันหลายวัน แต่ไม่มีแขกในม่านมุ้ง[1] นี่เป็นวิธีการเลิศล้ำอย่างหนึ่ง…”
การตลาดหิว[2]สินะ ข้าเข้าใจแล้ว… สวี่ชีอันนึกได้ว่าพวกเขาทั้งสองคงไม่รู้ว่าตนวางแผนให้ร้ายโจวลี่ เรื่องภายในประเภทนี้ย่อมไม่อาจแพร่งพรายออกไป และก็ไม่รู้ว่าเขากับคณิกาฝูเซียงเคยนอนด้วยกันครั้งหนึ่งแล้วด้วย
แต่ก็แค่นอนเฉยๆ เท่านั้น
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเตือน “แม่นางฝูเซียงไม่เห็นเราอยู่ในสายตาหรอก”
เขาพูดไม่เยอะ แต่สิ่งที่เขาพูดนั้น ถ้าไม่ตรงประเด็นก็เป็นคำพูดจากใจที่มีความปรารถนาดี
สหายร่วมงานทั้งสองไม่ยินดีไปละลายเงินที่หออิ่งเหมย สวี่ชีอันครุ่นคิด “เช่นนันก็ถือว่าไปเปิดหูเปิดตา เงินที่ใช้ประชุมชาข้าจะออกเอง”
ในฐานะที่เป็นเด็กใหม่ การเลี้ยงอาหารให้รุ่นพี่ที่บริษัทนับเป็นวิธีเข้าสังคมที่ใช้กันบ่อยๆ
ซ่งถิงเฟิงและจูกว่างเสี้ยวแย้มยิ้มออกมา ไม่มีใครปฏิเสธการออกเงินเลี้ยงด้วยเจตนาที่ดีได้
ไม่นานนัก พวกเขาก็มาถึงทางเข้าหออิ่งเหมย
สวี่ชีอันทอดมองไปยังลานที่มีเสียงเครื่องสายเครื่องเป่าดังออกมา ลอบเอ่ยในใจว่า ข้ามาล้างอายแล้ว
…………………………………………
[1] แขกในม่านมุ้ง สำนวน หมายถึง บุคคลที่ใกล้ชิดหรือผูที่มีการทำข้อตกลงกันอย่างลับๆ
[2] การตลาดหิว เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่เน้นอารมณ์ของมนุษย์และเน้นความต้องการของผู้บริโภคเป็นพิเศษ