ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 75 จิตหอก
สำนักสังคีต หออิ่งเหมย
สวี่ชีอันเอนกายพิงตั่งอย่างเกียจคร้าน เครื่องแบบหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลพาดอยู่บนพนักพิง
ภายในห้องกว้างขวาง นางรำหกคนกำลังร่ายรำ เอวคอดกิ่วส่ายไหวอยู่ใต้กระโปรงโปร่งบาง
สาวใช้คนหนึ่งกำลังนวดหลังให้สวี่ชีอัน ส่วนขาของเขาก็วางอยู่ในอ้อมแขนของสาวใช้อีกคนให้นางบีบนวด
นางคณิกาสวมชุดกระโปรงยาวหรูหราสลับซับซ้อนก้มหน้าเล็กน้อย จดจ่อตั้งใจอยู่กับการดีดกู่ฉิน
บางคราวก็เงยหน้ามองสวี่ชีอันที่กำลังเพลิดเพลินในความสุขจนลืมบ้านเกิด
เวลาผ่านไปหนึ่งก้านธูป เสียงกู่ฉินค่อยๆ แผ่วเบา เหล่านางรำถอยออกจากห้อง ฝูเซียงลุกขึ้นอย่างงามสง่า ล้างมือในอ่างทองแดงแล้วเอ่ยอย่างน้อยใจ “ที่แท้คุณชายหยางก็เป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนี่เอง”
“ทำให้เจ้าผิดหวังหรือ” สวี่ชีอันก้มหน้าเล่นนิ้วมือน้อยแล้วเอ่ยกลับอย่างเรียบเรื่อย
นางคณิกายกกระโปรงขึ้นตั่งไปนั่งบนร่างของเขา สองมือกดอยู่ที่อกแกร่งแล้วแย้มยิ้มหยาดเยิ้ม “ข้าพึงใจเจ้าค่ะ…”
สาเหตุที่สวี่ชีอันเปลี่ยนมายังสำนักสังคีต หลักๆ ก็เพราะอยู่ใกล้ ไม่ใช่เพราะว่ากินอาหารฟังดนตรีที่หอคณิกาต้องเสียเงิน แต่ที่นี่ฝูเซียงไม่คิดเงินเขาหรอกนะ
หมายเลขหกรู้เนื้อหาที่ข้าคุยกับหมายเลขเก้าได้อย่างไร ชิ้นส่วนของหมายเลขสามถูกผนึก ดังนั้นจึงไม่อาจรับข้อความจากเจ้าของชิ้นส่วนคนอื่นๆ ได้ แต่เจ้าของคนอื่นๆ สามารถมองเห็นข้าได้อย่างนั้นหรือ หนังสือปฐพีนี่เป็นเวอร์ชันโบราณของแอป QQ แน่เลย… รู้อยู่แล้วว่าหลังหยดเลือดเป็นเจ้าของ ข้าจะสามารถเพิ่มเพื่อนทีละคนได้…เวลานั้นตกใจนิดหน่อย คิดเพียงแต่จะโยนเผือกร้อนหัวนี้ออกไปเท่านั้น…พรรคฟ้าดินกับนิกายปฐพีคล้ายจะมีที่มา…สำนักแตกแยกหรือ
ความคิดของสวี่ชีอันถูกขัด เขาขมวดคิ้วมองนางคณิกาที่นัยน์ตาซ่อนแฝงรอยเย้ายั่ว
นางมีดวงตาดอกท้อที่เปี่ยมด้วยเสน่ห์
“เจ้าอย่าได้ซุกซน” สวี่ชีอันกล่าวอย่างไม่พอใจ
ครู่ต่อมา เหล่าสาวใช้ที่เฝ้าอยู่นอกห้องก็ได้ยินเสียง
“พวกเราไปกันก่อนเถิด คาดว่าคงจะถึงยามเย็นนู่น”
…
ร้านกุ้ยเยว่ ห้องรับรองคู่หงส์เคียงประสาน
ชายสวมชุดจิ้นจวง[1]สีดำผู้หนึ่งมือกุมดาบนั่งตัวตรงอยู่ข้างโต๊ะกลม
ชายชุดดำของมีรอยแผลเป็นยาวสองนิ้วที่แก้ม ดวงตาสามเหลี่ยม นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายดุร้ายวาบผ่านเป็นครั้งคราว
ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นคนบ้าหัวรั้น ราวกับหากพูดไม่เข้าหูก็จะชักดาบมาฟันคน ปราณพิฆาตนั้นล้ำลึก
เขาเป็นนักโทษประหารของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เป็นประเภทที่นามของเขาถูกร่างโดยจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน และวันประหารคือหลังฤดูสารทปีหน้า
วันนี้จู่ๆ ก็ถูกฆ้องทองคำคนหนึ่งฉุดขึ้นมาจากคุกประหาร ฆ้องทองคำผู้นั้นบอกเขาว่าขอเพียงเขาทำภารกิจหนึ่งให้เสร็จสมบูรณ์ ก็สามารถปล่อยเขากลับสู่ยุทธภพและหาคนมาแทนที่เขาในฐานะนักโทษประหารได้
คำกล่าวนี้มีความน่าเชื่อถือสูงมาก รายชื่อที่จักรพรรดิเคยร่างนั้น ปกติจะหมายถึงต้องตายอย่างไร้เงื่อนไข ไม่อาจได้รับการอภัยโทษ การหาคนมาแทนที่จึงเป็นการดำเนินการอย่างถูกต้อง
การแลกเปลี่ยนประเภท ‘ใช้ผลงานมาไถ่ถอน’ เช่นนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่แล้ว ตอนที่เขายังไม่ถูกจับกุมก็เคยได้ยินผู้อาวุโสในยุทธภพพูดถึงกัน
ภารกิจของเขาง่ายมาก แค่ต้องทำการแลกเปลี่ยนของอย่างหนึ่ง
แต่ชายชุดดำรู้ว่าจะต้องมีอันตรายใหญ่หลวงแฝงเร้นไว้แน่ ไม่อย่างนั้นเหตุใดจะต้องใช้นักโทษประหารมาทำการแลกเปลี่ยนง่ายๆ เช่นนี้ด้วย
เหตุผลที่ชายชุดดำรับภารกิจนี้มาก็คือ หนึ่ง ตายไปเฉยๆ ไม่สู้มีโอกาสสักเล็กน้อย สอง ร้านกุ้ยเยว่ในเมืองชั้นในของที่นี่เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด
คนทั่วไปไม่กล้าก่อเรื่องในสถานที่แบบนี้
ตอนนี้เอง เขาก็ได้ยินเสียง ‘ก๊อก ก๊อก’ สองครั้งดังมาจากประตูห้องรับรอง
“ประตูไม่ได้ใส่กุญแจ เข้ามาสิ!” ชายชุดดำเอ่ยตอบเสียงทุ้มต่ำแหบแห้ง
ประตูห้องรับรองถูกผลักออก ชายผู้แต่งกายแบบชาวยุทธ์ก้าวเข้ามา เขาสวมเสื้อคลุมสีเทา ใบหน้าครึ่งหนึ่งซ่อนอยู่ในหมวก เผยให้เห็นใบหน้าซีกล่างตรงคางมีไรหนวดสีเขียวอ่อนๆ ที่ดูเหมือนเพิ่งโกน
ทั้งสองฝ่ายมองพิจารณากันและกันอย่างระแวดระวัง
เฮอะ แต่งตัวแบบนี้เข้ามาในเมืองชั้นในไม่ได้แน่…แปดส่วน[2]คงแอบเปลี่ยนหลังเข้ามาในร้านกุ้ยเยว่…ในเสื้อคลุมก็อาจมีอาวุธซ่อนอยู่…ชายชุดดำครุ่นคิดกึ่งดูแคลนกึ่งระแวดระวัง พลางได้ยินเสียงแหบพร่าของชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ยถามว่า
“ของล่ะ”
ชายชุดดำจ้องมองเขาอย่างนิ่งสงบแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เหมือนว่าข้าจะเคยบอกว่ากระจกบานนี้ใช้เงินไปห้าร้อยตำลึงทอง”
กระจกบ้าอะไรต้องใช้ตั้งห้าร้อยตำลึงทอง…เขาเสริมหนึ่งประโยคอยู่ในใจ
ชาวยุทธ์ในชุดเสื้อคลุมเอ่ย ‘อืม’ แล้วเอื้อมมือเข้าไปในอกเสื้อก่อนหยิบตั๋วเงินปึกหนึ่งออกมา บนตั๋วเงินใบแรกเขียนไว้ว่ามีราคาหนึ่งร้อยตำลึง
แม้จะรู้ว่าสุดท้ายแล้วจะต้องส่งตั๋วเงินเหล่านี้ขึ้นไป แต่เงินทองก็ยังสั่นคลอนจิตใจคน ชายชุดดำดวงตาเป็นประกายอย่างควบคุมไม่อยู่ สายตาติดตรึงอยู่บนปึกตั๋วเงินหนาๆ จนไม่อาจละสายตาออกมาได้
“กระจก!” ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมวางตั๋วเงินลงบนโต๊ะ เอ่ยเสียงแหบแห้ง
ชายชุดดำมองพินิจบานกระจกอย่างละเอียดแล้ววางกระจกที่มองไม่เห็นความวิเศษพิสดารอะไรไว้บนโต๊ะ
ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยจนเผยให้เห็นดวงตาคมกริบดุจมีด จดจ้องมองกระจกบนโต๊ะครู่หนึ่ง
“ดีมาก การแลกเปลี่ยนเสร็จสิ้น เมื่อออกจากประตูบานนี้ ถือว่าพวกเราไม่เคยเจอกันมาก่อน”
เขาหยิบกระจกขึ้นมา นักโทษประหารชุดดำยื่นมือไปยังตั๋วเงินด้วยดวงตาเป็นประกาย
ทันใดนั้น นักโทษประหารชุดดำก็มองเห็นเสื้อคลุมทางด้านซ้ายของชาวยุทธ์ขยับไหวเล็กน้อย…ไม่ได้การแล้ว! นัยน์ตาของเขาหดเกร็งรุนแรงราวกับถูกแสงจ้าส่องเข้ามา เขากลิ้งตลบไปด้านข้างอย่างไม่คิดเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น
ภารกิจนี้ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นจริงๆ ด้วย…โชคดีที่ข้าระวังอยู่ตลอด…นี่คือยอดฝีมือ ข้าไม่อาจใช้แข็งชนแข็งได้ ต้องทำลายหน้าต่างแล้วออกไปตรงๆ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะกล้าก่อเรื่องฆ่าคนในย่านใจกลางเมืองของเมืองชั้นใน…ความคิดผุดวาบขึ้นมาในหัวของนักโทษประหารชุดดำ
แต่ตอนนี้เอง เขาก็มองเห็นว่าที่ตำแหน่งเดิมที่ตนเคยนั่งอยู่มีร่างหนึ่งนั่งตัวตรง สวมชุดจิ้นจวงสีดำ สองมือกุมดาบ ลำคอถูกมีดคมปาดจนเรียบ มีเลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากปากแผลที่ลำคอ
‘หือ?’
นักโทษประหารชุดดำมีคำถามเป็นชุดลอยขึ้นมาในใจ จากนั้นสติสัมปชัญญะของเขาก็ตกสู่ความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุด
ชาวยุทธ์ในเสื้อคลุมเก็บตั๋วเงินเข้าไปในอกเสื้อ ยิ้มเยาะเบาๆ แล้วหันกายเดินออกจากห้องรับรองไป
…
ชาวยุทธ์ออกจากร้านกุ้ยเยว่ เขาขึ้นขี่ม้าเร็วแบบตอนที่มาโดยรักษาความเร็วไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เชื่องช้า แล้วจึงออกจากเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก จากนั้นก็ฟาดแส้เร่งม้าเมื่ออยู่บนทางหลวง ฝีเท้าม้าทำให้เกิดฝุ่นควันพวยพุ่ง
เขาควบทะยานมาได้หนึ่งชั่วยามกว่า ด้านหน้าจึงปรากฏโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีโต๊ะเก่าตั้งอยู่สามตัว
คนขายชาเป็นชายชราผมหงอกขาว ช่วงนี้ไม่มีลูกค้า ชายชราจึงนั่งดื่มชาอยู่ข้างโต๊ะเสียเอง
ชายชาวยุทธ์ดึงบังเหียนม้า ม้าพันธุ์ดีส่งเสียงร้องยาวแล้วยกขาหน้าขึ้น ก่อนหยุดลงหลังจากควบม้าอย่างรวดเร็ว
ชายชาวยุทธ์ผูกเชือกม้าไว้บนเสาไม้ข้างทาง เขามองซ้ายมองขวาแล้วเดินไปยังโรงน้ำชา
เขาหยิบกระจกหยกบานเล็กออกมาแล้วมอบให้ด้วยสองมืออย่างเคารพนอบน้อม “ท่านหัวหน้า สำเร็จลุล่วงขอรับ”
ชายชราผมหงอกขาวรับกระจกหยกมาแล้วเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าพาศัตรูกลับมาด้วยหนึ่งคน”
ชายชาวยุทธ์ตะลึงงัน ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ก็เห็นชายชราโบกมือผลักเขากระเด็น
‘ผัวะ!’
ชายชาวยุทธ์ที่กระเด็นออกไปปะทะเข้ากับพลังปราณแหลมคมสายหนึ่งเข้าพอดีแล้วระเบิดกลายเป็นเศษซากคาที่
เลือดกระเซ็นไปทุกทิศราวกับหยดน้ำหมึก
ชายชราหรี่ตา ทอดมองไปยังสุดทางถนนหลวง เงาร่างสูงตระหง่านกำยำค่อยๆ เดินเข้ามา
ตอนที่เขาปรากฏตัวยังอยู่สุดทางไกลๆ แต่เพียงไม่กี่อึดใจก็เข้ามาใกล้ชายชราไม่ถึงร้อยเมตรแล้ว
“หยางเยี่ยน ไอ้สุนัขเลี้ยงข้างกายเจ้าชุดครามแซ่เว่ย” ชายชราแค่นเสียงเย็น “อย่ายุ่งไม่เข้าเรื่อง”
หยางเยี่ยนผู้มีใบหน้านิ่งเฉยไร้อารมณ์กล่าว “จะยุ่ง”
ชายชราหน้าบึ้งตึงกราดเกรี้ยว อารมณ์อยู่เหนือการควบคุม เอ่ยเสียงมุ่งร้าย “เช่นนั้นก็อย่าโทษที่ข้าไม่เกรงใจ”
ชุดเรียบๆ สั่นไหว ควันดำเอ่อล้นออกมาจากร่างของเขาแล้วร่ายรำสะเปะสะปะอยู่กลางท้องฟ้าพร้อมส่งเสียงคร่ำครวญ
หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว “นิกายปฐพีฝึกฝนบุญกุศล สามารถใช้กลวิชาภูตผีพวกนี้ได้ตั้งแต่เมื่อใด”
ใบหน้าของชายชรามีเส้นเลือดสีดำนูนขึ้นมาราวกับใยแมงมุม นัยน์ตาเป็นสีแดงก่ำ ปราณมารเข้มข้น “เฮอะ ข้าจะส่งเจ้าไปถามศาสดาแห่งเต๋าเอง”
เสียงกรีดร้องแหลมดังออกมาจากปาก ควันดำเต็มฟ้าทางหนึ่งร้องเสียงประหลาด ทางหนึ่งพุ่งไปหาหยางเยี่ยน
สีหน้าของหยางเยี่ยนไร้อารมณ์ใด เขายกมือซ้ายขวาชกกัน
‘ปัง!’
พลังปราณดุเดือดกลายเป็นระลอกคลื่นแผ่ซ่านออกมาโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง มันม้วนตัดใบหญ้าและฝุ่นผงข้างทางจนสุดท้ายก็กระทบเข้ากับม่านปราณสีดำนั่น
ท้องฟ้ามืดครึ้มไปด้วยแสงสีดำมีลักษณะบางเรียบลื่นเหมือนชามแก้วขนาดใหญ่
“ค่ายกลร้อยผีของข้าเข้าง่ายออกยาก แม้ว่าเจ้าจะเป็นทหารระดับสี่ก็ต้องตายตกในนี้อยู่ดี” เสียงของชายชราแห้งผากราวกับมารปีศาจที่ผุดออกมาจากนรก
กลางอากาศ ควันดำที่ถูกพลังปราณของหยางเยี่ยนสั่นสะเทือนจนกระจัดกระจายกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว ค่ายกลนี้กับค่ายกลของสำนักโหราจารย์เป็นเขตแดนสองอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ค่ายกลของสำนักโหราจารย์นั้นยืมพลังจากฟ้าดิน จึงสามารถดำรงอยู่ได้นาน แต่ค่ายกลของลัทธิเต๋าสร้างขึ้นโดยกำลังคน ไม่อาจคงอยู่ได้นาน
ค่ายกลร้อยผีนี้ยุ่งยากอย่างยิ่ง
ในสายการฝึกตนใหญ่ๆ ทั้งหลาย ลัทธิเต๋าเป็นผู้นำในขอบเขตจิตวิญญาณดั้งเดิม เทพเจ้าหยินระดับหกของลัทธิเต๋านั้น ในสมัยโบราณก็มีชื่อเรียกว่ายมทูต มักจะมาตกวิญญาณมนุษย์ยามค่ำคืน บงการความเป็นตายของผู้คน
ค่ายกลร้อยผีนี้ก็คือวิชาที่คล้ายคลึงกัน
ถึงแม้ทหารจะมีการขัดเกลาจิตดั้งเดิม แต่ก็เป็นเพียงการป้องกันการซ้อนทับที่ทำให้จิตดั้งเดิมแข็งแกร่งขึ้น แต่ขาดวิชาโจมตีในขอบเขตที่เกี่ยวข้องกัน
“ข้าได้ยินว่าลัทธิเต๋าระดับแปดมีชื่อเรียกว่าสังเวยปราณ สามารถขับไล่อาวุธเวทมนตร์และเรียกอัสนีสวรรค์ได้ จะไม่ให้ข้าได้สัมผัสหน่อยหรือ” ใบหน้าของหยางเยี่ยนไร้อารมณ์ น้ำเสียงเหยียดหยาม
“เช่นนั้นก็มา!” ชายชราถูกยั่วโมโหอีกแล้ว แสงโลหิตสองดวงพุ่งออกมาจากแขนเสื้อของเขาราวกับอัสนีสีเลือด
หยางเยี่ยนไม่หลบเลี่ยง ปล่อยให้อัสนีสีเลือดสองดวงเข้ามาโจมตี
‘ติ๊งๆ!’
อัสนีสีเลือดสองดวงเพียงแค่ตัดเสื้อผ้าเขาเท่านั้นแล้วจึงกระเด็นออกไป
กระดูกเหล็กผิวทองแดง!
“เหตุใดไม่โต้กลับ” ชายชราเอ่ยอย่างโมโห ใบหน้าเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีดำราวกับใยแมงมุม ดูวิปริตดุดันนัก
“ข้ากำลังรอหอกของข้าอยู่” หยางเยี่ยนเอ่ยเสียงเรียบ “มันมาแล้ว”
เมื่อเอ่ยจบ ดาวตกสีเงินสว่างไสวดวงหนึ่งที่ปลายขอบฟ้าก็พุ่งตัดผ่านผืนนภาเข้ามา
ม่านปราณเปียกชุ่มเรียบรื่นแตกเป็นเสี่ยงๆ เสียงดังกึกก้อง ควันดำส่งเสียงระเหย ‘ชี่ ชี่’ ตามจุดที่ดาวตกตัดผ่าน
“หากทำลายค่ายกลจากภายในไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำลายจากภายนอก” หยางเยี่ยนยื่นมือไปจับหอกยาวสีเงินด้ามหนึ่ง
หลังเอ่ยประโยคนี้จบ เงาร่างของเขาก็หายวับไปทันใด ราวกับผสานรวมกับหอกยาวเป็นร่างเดียว จากนั้นจึงแทงไปยังชายชราด้วยอานุภาพที่ไม่อาจหยุดยั้งได้
แสงสีเงินวาบผ่านดวงตาสีเลือดของชายชรา ไม่อาจต้านทานได้ ไม่อาจต้านทานได้เลย มันคือจิตหอกที่รบร้อยครั้งก็ไม่เคยถูกบดขยี้
จิตหอกของทหารระดับสี่
“ไม่!” ชายชราอ้าปากพ่นแสงโลหิตส่องสว่างและแก่นปราณของแสงดำออกมาให้พุ่งเข้าใส่หอกยาว
แก่นปราณกลายเป็นผุยผงเมื่อสัมผัสโดนจิตหอก ร่างกายของชายชราถูกสับเป็นชิ้นเนื้อท่ามกลางจิตหอก แต่ประกายแสงสีเงินนั่นยังคงพุ่งขึ้นสูงหลายร้อยจั้งแล้วพุ่งไปเจาะทะลวงภูเขา
เงาร่างของชายชรารวมตัวกันอยู่กลางอากาศ กึ่งจริงกึ่งลวงตา เขาจ้องหยางเยี่ยนเขม็งอย่างอาฆาตแค้นแล้วกลายเป็นกลุ่มควันสีครามพุ่งไปไกลๆ
หยางเยี่ยนก้มลงหยิบกระจกหยกใบเล็ก ถือหอกเงินก่อนหันร่างเดินทางกลับเมืองหลวง
…
กลุ่มควันดำหนีไปหลายร้อยจั้ง เมื่อผ่านหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หยุดลง
ใบหน้าของชายชราคล้ายปรากฏคล้ายหลบซ่อนอยู่ในควันดำ จดจ้องไปยังหมู่บ้านด้านล่าง
เทพเจ้าหยินไม่อาจเคลื่อนไหวในยามกลางวันได้นาน เมื่อไม่มีร่างกาย พลังก็ลดลง ไม่อาจรับมือกับวิกฤตที่อาจตามมาได้
ชายชราวางแผนจะหาร่างเนื้อร่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็กลืนกินวิญญาณของชาวบ้านเพื่อหล่อเลี้ยงตัวเอง
เมื่อมีแผนแล้ว ควันดำก็พัดนวยนาดเข้ามาในหมู่บ้าน
ก่อนหน้านี้หมู่บ้านยังมีชีวิตชีวาเสมือนจริง แต่ต่อมากลับแตกกระจายเป็นชิ้นๆ ราวกับคลื่นน้ำ ม่านปราณที่มีพลังบุญกุศลห้าสีตลบอบอวลพุ่งขึ้นมากักขังควันดำเอาไว้
ใจกลางของค่ายกลนั้นมีนักบวชเฒ่าผู้สวมชุดคลุมเต๋าโกโรโกโสและองคาพยพทั้งห้าล้ำลึกนั่งขัดสมาธิอยู่
…
เช้าตรู่ สวี่ชีอันมาเข้าประชุมศาลของหน่วยงานลาดตระเวนยามวิกาลอย่างตรงต่อเวลา
เพื่อรอคอยผลลัพธ์ของเรื่อง ‘หนังสือปฐพี’
หากเขาไม่รู้ผลลัพธ์ เขาก็มักจะรู้สึกไม่สงบ
เมื่อใกล้เที่ยง เจ้าหน้าที่ชุดดำก็มาพบเขาที่ห้องโถงด้านข้างถัดจากห้องชุนเฟิงแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม “ใต้เท้าสวี่ เว่ยกงเรียกหาขอรับ”
ในที่สุดก็มาสักที…สวี่ชีอันพยักหน้าเบาๆ “ได้!”
……………………………..
[1] ชุดจิ้นจวง เป็นชุดโบราณที่เน้นความคล่องตัว เมื่อสวมแล้วชุดจะไม่ลากพื้น ชายแขนเสื้อถูกเก็บรวบกับข้อมือ
[2] แปดส่วน หมายถึง แปดสิบเปอร์เซ็นต์