ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 89 ณ เวลานี้ การกระทำสำคัญกว่าคำพูด
เจียงลวี่จงยังไม่ยอมแพ้ แต่ก็ไม่กล้าที่จะมุทะลุอีก
เว่ยเยวียนกล่าวอย่างสบายๆ ว่า “สาเหตุที่เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของหยางเยี่ยน ไม่ใช่เพราะหยางเยี่ยน แต่เป็นเพราะหลี่อวี้ชุน”
‘หลี่อวี้ชุนเหรอ’
ฆ้องทองคำทั้งสามยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นไปอีก แม้หลี่อวี้ชุนเป็นเพียงแค่ฆ้องเงินเล็กๆ แต่ก็นับว่าเป็นผู้มีความสามารถ แต่คนผู้นี้เป็นคนทึ่ม ไม่รู้จักพลิกแพลง ยึดแต่หลักการเพียงอย่างเดียว
‘หรือว่าหลี่อวี้ชุนกับสวี่ชีอันจะมีความสัมพันธ์อะไรที่ลึกซึ้งต่อกัน’ เจียงลวี่จงเดาอยู่ในใจ
เว่ยเยวียนอธิบายอย่างใจเย็น “หลี่อวี้ชุนสามารถทดสอบอุปนิสัยและความประพฤติของสวี่ชีอัน และสวี่ชีอันก็ต้องการคนทึ่มๆ เป็นผู้นำ หากเป็นฆ้องเงินคนอื่น ย่อมต้องเกิดความขัดแย้งกับเขา”
หลี่อวี้ชุนเป็นคนเคร่งในหลักการสามารถนำมาโน้มนำตักเตือนสวี่ชีอันได้พอดี และด้วยนิสัยใจคอและความคิดที่สวี่ชีอันแสดงออกที่ด่านถามใจ เขาอยู่ใต้บังคับบัญชาของฆ้องเงินคนไหนก็คงเข้ากันไม่ได้
หรือกระทั่งอาจจะทำให้เกิดความหายนะได้
เมื่อเห็นทั้งสามคนแสดงสีหน้าครุ่นคิด เว่ยเยวียนก็พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ส่วนเจ้า ทำไมจึงหมายตาทองคำชิ้นนี้”
เจียงลวี่จงพูดโดยไม่ปิดบังว่า “คดีของผิงหย่วนป๋อค่อนข้างยุ่งยาก จากการคาดการณ์ตามเบาะแสในตอนนี้ เป็นไปได้มากว่าคนในยุทธภพเจตนาตั้งตัวเป็นปรปักษ์ แต่คนหลบหนีไปนานแล้ว คิดจะจับตัวไว้เป็นเรื่องยากมาก ดีที่สวี่ชีอันคนนี้เชี่ยวชาญในการวินิจฉัยคดี ข้าจึงต้องการย้ายคนผู้นี้มาอยู่ใต้บังคับบัญชาเพื่อทำงานให้ข้าขอรับ”
เหตุผลนี้สมเหตุสมผล เว่ยเยวียนและลูกชายของเขาพยักหน้า
เจียงลวี่จงพูดต่อว่า “แต่สิ่งที่ทำให้ข้าหมายตาจริงๆ คืออีกเรื่องหนึ่ง”
หยางเยี่ยนหันมามองทันที
“ในคืนที่ผิงหย่วนป๋อถูกฆ่า ข้าได้พานักพยากรณ์แห่งสำนักโหราจารย์ไป โหรสองสามคนสะกดรอยตามฆาตกร หลังจากพวกเขาเห็นสวี่ชีอันต่างก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ต้องการจะไปคุยกับเขาให้ได้ ทันทีที่พบหน้ากัน ก็แสดงความเคารพอย่างนอบน้อม โหรของสำนักโหราจารย์เริ่มมีมารยาทต่อทหารคนหนึ่งเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน”
เจียงลวี่จงส่ายหน้า และพูดต่อว่า “เมื่อฆ้องเงินที่อยู่ใต้บังคับบัญชาถามจึงได้รู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งสำนักโหราจารย์นั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
“ความสัมพันธ์ระหว่างคนผู้นี้กับนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งสำนักโหราจารย์นั้นไม่ธรรมดาเหรอ” หนานกงเชี่ยนโหรวผู้มีท่าทางอ่อนโยนดูเหมือนจะคิดอะไรขึ้นได้บางอย่าง จึงทำเสียง ‘เฮ้อ’
“ข้าจำได้ว่าในคดีเงินภาษี เขาเป็นคนใช้วิธีการเล่นแร่แปรธาตุในการทำเงินปลอมจนสามารถไขปริศนาได้ ใช้การเล่นแร่แปรธาตุเอาใจโหรแห่งสำนักโหราจารย์ นับว่าฉลาด เพียงแต่นักเล่นแร่แปรธาตุแห่งสำนักโหราจารย์มักจะดูถูกทหารมาแต่ไหนแต่ไร แต่เจ้าหมอนี่กลับสามารถปรับตัวเข้ากับทุกสถานภาพได้”
หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว
ตัวเขาเองเป็นทหารที่ไม่เคยเห็นอะไรอยู่ในสายตา มองบรรดานักบวชเหมือนมด และรู้สึกว่านี่คือความสง่างามที่ทหารจำเป็นต้องมี
การมองข้ามทุกสิ่งจึงสามารถที่จะไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น
ถ้าสวี่ชีอันฝืนเอาใจนักเล่นแร่แปรธาตุแห่งสำนักโหราจารย์ คอยประจบสอพลอ เช่นนั้นหยางเยี่ยนย่อมต้องลดคะแนนและความคิดเห็นที่มีต่อของเขาลง
“ไม่ มันไม่ใช่แบบนั้น” เจียงลวี่จงถอนหายใจ และปฏิเสธว่า “นักพยากรณ์เหล่านั้นมีท่าทีนอบน้อมต่อเขาอย่างมาก อยากจะเอาใจเขาใจจะขาดถึงจะถูก กระทั่งพูดว่าแม้แต่ซ่งชิงแห่งสำนักโหราจารย์ก็ยังยกย่องสวี่ชีอันว่าเป็นอาจารย์”
“เหลวไหลทั้งเพ!” หนานกงเชี่ยนโหรวไม่เชื่อ
‘ซ่งชิงเป็นศิษย์ที่ท่านโหราจารย์ถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ด้วยตัวเอง พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร วางท่านโหราจารย์ไว้ในตำแหน่งใดกัน’
หยางเยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่เขาก็ไม่เชื่อเช่นกัน
เว่ยเยวียนทำท่าคล้ายกำลังคิดอะไรอยู่ในใจ
…
สวี่ชีอันลาดตระเวนเสร็จแล้วก็กลับไปที่ทำการของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขียนรายงานตามปกติแล้วก็จากไป
วันนี้หยุดพักอาบน้ำ ไม่ได้กลับบ้าน เขาไปที่สำนักสังคีตแทน
วันนี้หออิ่งเหมยไม่ได้จัดงานเลี้ยงน้ำชา บรรดานักดื่มฟังเพลงและดูการร่ายรำ ระหว่างนั้นฝูเซียงปรากฏตัวครั้งหนึ่ง บรรดานักดื่มต่างรู้สึกพึงพอใจ
การตรวจสอบข้าราชสำนักนั้นเป็นสิ่งดี ขุนนางชั้นสูงตัวจริงไม่มีใครมาสำนักสังคีตกันแล้ว…สวี่ชีอันได้รับเชิญให้ไปดื่มชาตามปกติ
ในห้องนอนที่มีการก่อกองไฟ ฝูเซียงที่สวมชุดกระโปรงสวยงามก้มหน้าประคองกู่ฉิน กิริยาอ่อนช้อยงดงาม บุคลิกหน้าตาราวบุตรสาวของผู้ดีมีสกุล
วันนี้ดูท่าทางสำรวมมาก ไม่ได้เปิดเนินอกปรนนิบัติข้าอาบน้ำ…สวี่ชีอันนั่งอยู่ในถังอาบน้ำ กำลังเพลิดเพลินกับการปรนนิบัติของสาวใช้
สวี่ชีอันมองสาวงามผ่านฉากกั้น
นางเงยหน้าขึ้นพอดี ยิ้มหวาน พริบตานั้นก็เกิดความรู้สึกหลงรักขึ้นในทันที
เสน่ห์ที่จับต้องไม่ได้นี้ทำให้สวี่ต้าหลางรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาทันใด
แค่เพียงพริบตาเดียว ความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูกก็อันตรธานไป สวี่ชีอันยังคิดว่าตัวเองตาฝาดเพราะมองผ่านฉากกั้น
วันรุ่งขึ้น เมื่อสวี่ชีอันตื่นขึ้นมา มองดูน้ำที่หยดลงตรงข้างเตียงก็พบว่าเป็นเวลาเฉินสองเค่อ เขานอนตื่นสายอย่างที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น
ฝูเซียงนอนในท่าทางดูเกียจคร้าน ผ้าไหมสีเขียวปิดคลุมใบหน้างาม นางเหมือนดอกโบตั๋นที่อวบอิ่มที่ถูกพายุฝนทำลายเมื่อคืนนี้
เช้านี้จึงดูซึมเซาเล็กน้อยและต้องการนอนชดเชยเพื่อฟื้นฟูจิตใจ
หลังจากสาวใช้ปรนนิบัติจนอาบน้ำเสร็จ กินข้าวเช้าแล้ว สาวใช้ข้างกายของฝูเซียง พูดขึ้นอย่างเขินอายว่า “คุณชายร่างกายแข็งแรง แต่นายหญิงถึงอย่างไรก็เป็นหญิงสาวที่บอบบาง หวังว่าคุณชายจะเห็นใจนาง”
ไม่รอให้สวี่ชีอันตอบ นางก็หน้าแดง พูดด้วยความขวยเขินว่า “ผิงเอ๋อยินดีที่จะแบ่งปันความเหนื่อยล้าของนายหญิง”
นี่ใช่เรื่องที่เจ้ายินดีหรือไม่เช่นนั้นหรือ นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องการหรือไม่ต่างหากเล่า
สวี่ชีอันสำรวจความงามของสาวใช้อย่างละเอียด รูปลักษณ์งดงาม แต่เมื่อเปรียบกับฝูเซียงก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
…
เขาจูงม้าจากมือของ พนักงานบริการของสำนักสังคีตมา แล้วก็กระโดดขึ้นหลังม้า และทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพูดคุยเคล้าเสียงหัวเราะสนุกสนานลอยมา
เมื่อมองตามเสียงไป ก็เห็นชายหลายคนในเครื่องแบบทหารกองดาบเดินไปที่โรงม้าด้วยกัน
หนึ่งในนั้นมีใบหน้าเหลี่ยม รูปร่างสูงใหญ่ นั่นมันท่านอารองนี่นา
สวี่ผิงจื้อและสหายร่วมงานของเขาหาความสำราญอยู่ในสำนักสังคีตทั้งคืน พูดคุยหัวเราะสนุกสนาน มาถึงโรงม้าก็เห็นหนุ่มรูปงามนั่งอยู่บนหลังม้า สวมชุดเครื่องแบบของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล มีฆ้องทองแดงมัดอยู่ที่หน้าอก ห้อยดาบไว้ที่เอว
“…” เสียงหัวเราะแจ่มใสของอารองติดอยู่ในลำคอ
อาหลานสองคนสบตากันด้วยสีหน้านิ่งเฉย เวลานี้การกระทำสำคัญกว่าคำพูด ต่างคนต่างทำอะไรไม่ถูก
ชะงักไปหลายวินาที แล้วอากับหลานก็หันหน้าหนีพร้อมๆ กัน แสร้งทำเป็นไม่รู้จักกัน
ทหารกองดาบคนอื่นๆ ไม่ทันสังเกต ยังคงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนาน
“การตรวจสอบข้าราชสำนักปีนี้ ไม่รู้ว่าจะมีสมาชิกครอบครัวของบรรดาขุนนางกี่คนที่ต้องเข้าสำนักสังคีต”
“พวกเราโชคดีจริงๆ ฮ่าๆๆ”
“จะว่าไปแล้ว ตอนนี้แม้แต่จะพบหน้าแม่นางฝูเซียงยังยากเลย”
“ตอนนี้แม่นางฝูเซียงมีชื่อเสียงไปทั่วเมืองหลวง ต่อไปภายภาคหน้าก็คงจะมีชื่อเสียงไปยังแคว้นอื่นๆ และสถานะก็คงจะสูงขึ้นเรื่อยๆ”
“แต่ว่า เมื่อคืนนี้แม่นางฝูเซียงได้ออกรับแขก ตอนที่เดินผ่านหออิ่งเหมย แม่สาวน้อยเพิ่งตีฆ้องดัง ‘แก๊ง’ แล้วถอดป้ายที่ประตูลานบ้านออก”
“ช่างโชคดีจริงๆ”
อารองมองไปที่สวี่ชีอันโดยไม่รู้ตัว คิดในใจว่าคนที่พวกเจ้าอิจฉาริษยาและชิงชังนั้นคือหลานชายของข้าเอง
อาและหลานชายที่แสร้งทำเป็นไม่รู้กันออกจากสำนักสังคีตไปแล้ว สวี่ผิงจื้อและสหายร่วมงานของเขาประสานมือกล่าวลากันอยู่ด้านนอกสำนักสังคีต จากนั้นก็ควบม้าเพื่อตามสวี่ชีอันไป และพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “หนิงเยี่ยนเอ๋ย…”
“ท่านอารองช่างเห็นแก่ตัว!” สวี่ชีอันพูดด้วยท่าทีจริงจัง และขุ่นเคืองว่า “อาสะใภ้งดงามเพียงนั้น แต่งงานกับท่าน ท่านกลับไม่ทะนุถนอม กลับมามั่วสุมอยู่ที่สำนักสังคีต”
อาสะใภ้เป็นคนสวยมาก จนท่านอารู้สึกว่าสวรรค์เมตตาตัวเองมาโดยตลอด จึงได้แต่งงานภรรยาที่สวยงามเช่นนี้
สาเหตุหลักเป็นเพราะการแต่งงานในยุคนี้ พ่อแม่เป็นคนตัดสินใจหรือมีแม่สื่อคอยชักนำ หากเป็นสวี่ชีอันในภพก่อน อาหารทะเลที่ดีที่สุดมีเพียงชนชั้นสูงในสังคมเท่านั้นที่จะสามารถลิ้มลองได้
สวี่ผิงจื้ออ้าปากพูด พูดอย่างจนใจว่า “อีกสามวัน จะเป็นวันที่ฝ่าบาทจะทรงทำพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษ ระยะนี้จะมีงานเลี้ยงค่อนข้างมาก เจ้าอย่าได้บอกอาสะใภ้ของเจ้า…”
“ดังนั้นก่อนหน้านี้ท่าอารองจึงบอกว่าท่านไม่ได้ไปสำนักสังคีตก็เป็นการหลอกลวงสินะ” สวี่ชีอันต่อว่าอีกครั้ง สุดท้ายก็พูดว่า “ท่านอารองต้องการจะพูดอะไรกับข้า”
“ไม่ ข้าไม่อยากพูดอะไร” ท่านอารองเลิกล้มความคิดที่จะสั่งสอนหลานชาย
สวี่ชีอันผู้ลงมือก่อนพยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อใกล้ถึงจวนสกุลสวี่ ท่านอารองคงจะรู้สึกเกรงใจ จึงเหลือบมองคนขายส้มที่อยู่ไม่ไกล เขาหันหน้าไปพูดว่า “ข้าจะไปซื้อส้ม เจ้ารอข้าอยู่ตรงนี้ก่อน”
…สวี่ชีอันถูกเอาเปรียบโดยไม่รู้ตัว แต่ก็ไม่สามารถโต้แย้งจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจนใจ
ระหว่างทางสวี่ผิงจื้อปอกเปลือกส้มลูกหนึ่ง จงใจใช้น้ำจากเปลือกส้มถูบนร่างกายตัวเอง
นักเที่ยวผู้หญิงเก่า…สวี่ชีอันแอบชื่นชมอยู่ในใจ แล้วพูดว่า “ท่านอารอง อย่าทิ้งเปลือก ส่งมาให้ข้า”
ท่านอารองยื่นส้มให้พร้อมถามด้วยความอยากรู้ว่า “เจ้าไม่มีความจำเป็นต้องใช้มันเสียหน่อย”
ท่านปิดบังภรรยาของท่าน ข้าปิดบังลูกสาวของท่าน!
หลังจากที่ทั้งสองทาเปลือกส้มแล้วจึงเข้าไปในจวน
อาสะใภ้ได้กลิ่นบนตัวของทั้งสองคนก็รู้สึกรังเกียจ คิ้วงามขมวดขึ้นมาทันที
“ส้มที่เพิ่งซื้อมา ทั้งสดและหวาน” ท่านอารองยื่นส้มที่ปอกเปลือกแล้วไม่ได้กินให้
ท่านอาสะใภ้พยักหน้า นิ้วเรียวยาวแกะส้มออกกลีบหนึ่ง หลังจากกินเข้าไปแล้วก็ยื่นให้ท่านอารองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อท่านอารองเห็นภรรยาแบ่งส้มให้ เขาก็แกะออกมากลีบหนึ่ง จากนั้นก็ยื่นให้สวี่ชีอันด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ส้มลูกหนึ่งยังต้องแบ่งปันทุกคน อบอุ่นมากๆ…สวี่ชีอันรับมาด้วยรอยยิ้ม กินเข้าไปกลีบหนึ่ง แล้วก็มอบให้สวี่หลิงเยวี่ย
สวี่หลิงเยวี่ยก็กินกลีบหนึ่ง แล้วกวักมือเรียกสวี่หลิงอินที่วิ่งไปรอบๆ ห้องโถง สร้างความสนุกสนานให้ตัวเอง
สวี่หลิงอินรับส้มไว้ นิ้วสั้นๆ แกะส้มสองกลีบแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา ทันใดนั้นก็ทำหน้านิ่ว ใบหน้าเล็กๆ ของนางก็ยู่ยี่ เปรี้ยวจนตัวสั่น
เด็กน้อยทำหน้าตาน่ากลัว พร้อมกับกินส้มจนหมด
ทุกคนในครอบครัวต่างรู้สึกโล่งใจ ส่งส้มทั้งถุงให้สวี่หลิงอินไปจัดการ
………………………………………..