ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 93 ลำดับที่คู่ควรแก่ปัญญาชน
มีเรื่องดีๆ แบบนี้ด้วยหรือ… สวี่ชีอันตกตะลึง ได้แต่พูดในใจถึงท่านโหราจารย์อาวุโส ท่านจะหยิบกระจกออกมาแล้วบอกให้ข้าร่วมพรรคฟ้าดินเพราะเป็นพี่น้องไม่ได้!
ขณะที่เขายังคงมึนงง ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงทะลุผ่านหูของเขาไปทางบันได
ก้อนสีดำหนึ่งก้อน ทองคำหนึ่งก้อน และก้อนเหล็กสองก้อนส่งเสียงหวีดหวิวพุ่งผ่านฆ้องทองคำสองนายและสวี่ชีอัน ไปยังท่านโหราจารย์
ก้อนเหล็กทั้งสองก้อนหลอมละลายในขณะที่พุ่งไปในอากาศและกลายเป็นเหล็กเหลวที่มีสีสันแพรวพราว สาดไปยังท่านโหราจารย์ราวกับน้ำกระเซ็น
เหล็กเหลวสองสายหลอมรวม เกิดเป็นเค้าโครงของกระบี่ด้ามยาวออกมา
“หึๆ”
หมอกบางเบาเกิดจากความว่างเปล่า แกนกลางดับมอดลง เมื่อตกสู่ฝ่ามือของท่านโหราจารย์จึงกลายเป็นชิ้นส่วนใบมีดของกระบี่
ท่านโหราจารย์ถือชิ้นส่วนใบมีดและปาดคมมีดด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เกิดเป็นกระบี่เล่มยามสีทองเข้ม ตัวกระบี่มีความแวววาว ใบมีดคมกริบ
เพียงท่านโหราจารย์สะบัดนิ้ว กระบี่ก็หมุนคว้างและพุ่งไปยังเบื้องหน้าของสวี่ชีอัน ตัดแผ่นหินปูนออกจากกันราวหั่นเต้าหู้
ฆ้องทองคำไร้กระบี่ทั้งสองนายได้แต่จ้องมองไปยังกระบี่เล่มยาวสีทองเข้มเล่มนี้ด้วยดวงตาที่ลุกเป็นไฟ
นี่คือการเล่นแร่แปรธาตุอย่างนั้นหรือ!
นี่มันเวทมนตร์ชัดๆ การเล่นแร่แปรธาตุควรเป็นการสกัดและแยกสสารในขวดโหลไม่ใช่หรือ
ข้อสังเกตทั้งสามประการของสวี่ชีอันได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก
อารามตกใจ สวี่ชีอันเพิ่งจะฉุกคิดว่ามือของท่านโหราจารย์ที่ยื่นออกมาเป็นเพียงการส่งมอบของขวัญเท่านั้นหรือ ไม่สิ เขาตบหน้าข้าชัดๆ
เขาบอกข้าว่า ‘พ่อหนุ่ม เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการเล่นแร่แปรธาตุเลย…’
ลักษณะของกระบี่เล่มนี้ อยู่กึ่งกลางระหว่างกระบี่ถังและกระบี่ไท่ในอดีตชาติ มันโค้งกว่ากระบี่ถังและตรงกว่ากระบี่ไท่
ใบมีดเรียวยาวถึงสี่ฟุต ดูหรูหราจากภายในและยังดูดีมากอีกด้วย
“ยังไม่รีบขอบคุณท่านโหราจารย์” เว่ยชิงอีกล่าว
“ขอบคุณท่านโหราจารย์”
สวี่ชีอันยับยั้งความปีติในใจ เขาถอดเสื้อคลุมออกมาพันใบมีดและถือไว้ในมือ
ใบมีดนี้คมเกินไปและเป็นอันตรายต่อผู้อื่น รวมถึงตัวเองได้ง่าย
“แค่มีกระบี่เล่มนี้ ขีดความสามารถในการต่อสู้ของข้าจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งขั้น ไม่สิ สองขั้น” สวี่ชีอันแอบตื่นเต้น
เว่ยเยวียนคำนับท่านโหราจารย์ และนำลูกน้องสามคนไปจากสำนักโหราจารย์
ในขณะที่ลงบันไดไปสวี่ชีอันได้พบกับฉู่ไฉ่เวยและองค์หญิงใหญ่ที่กำลังขึ้นไปชั้นบน ดูเหมือนพวกนางกำลังไปยังแท่นแปดทิศ
เขาลากแขนของฉู่ไฉ่เวยเดินตึกๆ ไปอีกทาง ท่ามกลางสายตาของเว่ยเยวียน องค์หญิงใหญ่และคนอื่นๆ
“คืนนี้เจ้าว่างไหม ข้าอยากชวนไปกินอาหารเย็นที่ร้านกุ้ยเยว่” สวี่ชีอันชวนออกเดต
ใครจะรู้ว่านักชิมอย่างฉู่ไฉ่เวยจะปฏิเสธโดยสิ้นเชิง “หลังจากนี้ข้าต้องเข้าไปยังเขตพระราชฐาน และวันนี้จะไปพักผ่อนที่ตำหนักขององค์หญิงใหญ่”
‘ตำหนักขององค์หญิงใหญ่มีขนมอบและอาหารอันโอชะมากมาย ถึงแม้อาหารที่ร้านกุ้ยเยว่จะอร่อยแค่ไหน แต่จะไปเทียบกับพ่อครัวในเขตพระราชฐานได้อย่างไร’
อย่างนี้นี่เอง…คืนพรุ่งนี้กับวันมะรืนต้องเข้าเวรยาม และอีกสามวันหลังจากนี้องค์จักรพรรดิจะไปกราบไหว้บรรพบุรุษ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลต้องรับผิดชอบอารักขา… สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าว
“เช่นนั้นหลังจากที่ฝ่าบาทกราบไหว้บรรพบุรุษเสร็จ เจ้ามากินอาหารเย็นบ้านข้าสิ”
เขาคิดว่าแค่ทำผงปรุงรสไก่แบบง่ายๆ ก็พอ การไปกินอาหารที่ร้านกุ้ยเยว่ค่อนข้างจะแพงเอาเรื่อง
“ให้ข้าทำบะหมี่ให้เจ้ากินดีหรือไม่” ฉู่ไฉ่เวยนึกขึ้นได้
“อืม”
“อืม” นางพยักหน้า
สวี่ชีอันยิ้มออกมา
จากนั้นทั้งสองจึงแยกจากกัน ฉู่ไฉ่เวยพาองค์หญิงใหญ่ขึ้นไปชั้นบน ส่วนสวี่ชีอันตามเว่ยเยวียนลงไปชั้นล่าง สวี่ชีอันเงยหน้าขึ้นและบังเอิญเห็นองค์หญิงใหญ่กำลังมองลงมาที่เขา
ทั้งสองสบตากัน สวี่ชีอันยิ้มกว้าง ทว่าสีหน้าขององค์หญิงใหญ่กลับเรียบเฉย และเมื่อสวี่ชีอันลับตาไปนางจึงบุ้ยปากเล็กน้อย
ระหว่างทางสวี่ชีอันได้เจอกับโหรชุดขาวคนหนึ่ง สวี่ชีอันหยิบกระบี่สีดำทองให้แก่อีกฝ่ายและขอให้เขาไหว้วานศิษย์พี่ซ่งให้หล่อด้ามจับให้ เขาจะมารับคืนในวันพรุ่งนี้
หลังจากออกจากหอดูดาว เว่ยเยวียนเดินขึ้นรถม้าไป และเมื่อหยางเยี่ยนเห็นสวี่ชีอันเข้าเขาจึงกวักมือเรียก
“ขับรถม้าเป็นหรือไม่”
สวี่ชีอันส่ายหัว ผู้สูงศักดิ์คนไหนเขาขับรถม้ากันหรือ
หยางเยี่ยนพยักหน้า ยัดบังเหียนใส่มือเขา จากนั้นตัวเองจึงเดินขึ้นรถม้าไป
“???” สวี่ชีอันตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบตกลง
หัวหน้าผู้มีใบหน้าไร้อารมณ์คิดจะฝึกฝนเขาสินะ
…
ณ แท่นแปดทิศ
ฉู่ไฉ่เวยนั่งอยู่ตรงมุมของแท่นแปดทิศ ในขณะที่นางห้อยเท้าอยู่กลางอากาศพร้อมด้วยรองเท้าหนังขนาดเล็ก
ในมือก็ถือผลไม้อบแห้งทานอย่างเอร็ดอร่อย
องค์หญิงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ กระโปรงพลิ้วไหวราวกับนางฟ้า
“ท่านโหราจารย์ ข้ามีคำถามมาโดยตลอด” น้ำเสียงขององค์หญิงใหญ่ช่างสุขุมและไพเราะ
“ฝ่าบาททรงตรัสมาเถิด” โหราจารย์เฒ่ากำลังยกจอกเหล้าขึ้น เขามักมีดวงตาที่มองการณ์ไกลอยู่เสมอ
“นิกายมนุษย์ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตพระราชฐานและครอบงำให้เสด็จพ่อปฏิบัติตนอยู่ในหลักคำสอนของลัทธิเต๋า ละเลยต่อกิจการบ้านเมืองและราชสำนักมาเป็นเวลาสิบเก้าปี โจรกรรมในอวิ๋นโจวไม่เคยสงบลง เภทภัยเกิดขึ้นทุกหนแห่ง การเมืองและกิจการของราชสำนักในซินเจียงตอนใต้เริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ ส่วนราชสำนักทางตอนเหนือมีแต่พวกต่ำช้าเลี้ยงไม่เชื่อง ทำให้ต้าฟ่งประสบปัญหาทั้งภายในและภายนอก” องค์หญิงใหญ่ถอนหายใจ
“ท่านรออะไรอยู่หรือ”
ไร้เสียงคนตอบกลับอยู่เป็นเวลานาน องค์หญิงใหญ่จึงหันกลับมามอง ท่านโหราจารย์กำลังหรี่ตาและผล็อยหลับไปในที่สุด
ฉู่ไฉ่เวยกล่าวอย่างโกรธเคือง “ฝ่าบาทอย่าไปใส่ใจชายชราผู้นี้เลย เขาแก่มากแล้ว ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี”
“…” องค์หญิงใหญ่เหลือบมองนาง ในสำนักโหราจารย์นางเป็นศิษย์หญิงเพียงคนเดียว ทุกคนจึงเอาอกเอาใจนางและนั่นทำให้นางกล้าพูดกับท่านโหราจารย์เช่นนี้
“เจ้าคุ้นเคยกับฆ้องทองแดงผู้นั้นหรือไม่” องค์หญิงใหญ่เปลี่ยนเรื่องคุย
“เพคะ” ฉู่ไฉ่เวยหรี่ตายิ้มด้วยดวงตาเสมือนรูปจันทร์เสี้ยว
“สวี่หนิงเยี่ยนเป็นคนที่มีพรสวรรค์และยังพูดจาไพเราะ ข้าคิดว่าเขาเป็นที่คนน่าสนใจทีเดียว”
…
ณ สถานรับเลี้ยงเด็ก
ไต้ซือเหิงหย่วนรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่ในบริเวณที่พำนักมาเป็นเวลาสองวัน และในที่สุดสถานการณ์ไม่คาดฝันก็มาถึง
ชายหนุ่มเจ้าหน้าที่ระดับเก้าในชุดคลุมสีเขียวปักลายนกกระทานำกลุ่มช่างฝีมือเข้าไปในสถานรับเลี้ยงเด็ก หลังจากนั้นไม่นาน เสียง ‘ปังๆๆ’ ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงพลบค่ำ
ไต้ซือเหิงหย่วนรอจนถึงเวลากลางดึกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการซุ่มโจมตีในบริเวณโดยรอบจากหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและสำนักโหราจารย์ชุดขาว จากนั้นเขาจึงออกจากที่พำนักส่วนตัวและเข้าไปตรวจดูภายในสถานรับเลี้ยงเด็ก
เขาประหลาดใจที่พบว่าประตูของสถานรับเลี้ยงเด็กถูกแทนที่ด้วยประตูบานใหม่ พื้นที่ที่เป็นหลุมเป็นบ่อถูกปูด้วยแผ่นหินปูน โต๊ะและม้านั่งหินที่ผุกร่อนมานานหลายปีก็ถูกแทนที่ด้วยของใหม่
ประตู หน้าต่าง ชายคา และเครื่องใช้ต่างๆ ได้รับการซ่อมแซมและปรับปรุงจนใหม่เอี่ยม
‘หลู่จื้อเซิน’ ผู้มีร่างกำยำที่ยืนอยู่กลางสนาม เขาเงียบไปเป็นเวลานาน
ในขณะที่อดีตข้าเก่าผู้ดูแลสถานรับเลี้ยงเด็กกำลังงีบหลับอยู่นั้น เขาก็ตื่นขึ้นเพราะได้ยินเสียงขยับ จึงถือโคมไฟออกไปตรวจตรา
“ไต้ซือเหิงหย่วน ท่านกลับมาแล้วหรือ” อดีตข้าเก่าประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ย
“ท่านไม่ต้องไปบิณฑบาตแล้วล่ะ เพราะราชสำนักเพิ่งจะจัดสรรเงินชดเชยที่ติดค้างไว้ในปีก่อนๆ มาให้ และเมื่อตอนบ่ายก็มีช่างฝีมือมาซ่อมแซมที่สถานรับเลี้ยงให้เสร็จสรรพเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“จัดสรรเงินชดเชยอย่างนั้นหรือ” ไต้ซือเหิงหย่วนกล่าวเบาๆ
“ใช่แล้วขอรับ เป็นจำนวนเงินสองร้อยตำลึง” อดีตข้าราชการกล่าวอย่างพึงพอใจ “เด็กและคนชราในสถานรับเลี้ยงจะได้มีค่าใช้จ่ายในปีต่อๆ ไป พรุ่งนี้ข้าวางแผนที่จะแจกจ่ายชุดกันหนาวให้กับทุกคน นี่ก็ถึงเวลาแล้ว มิฉะนั้นพวกคนแก่คงจะอยู่ไม่พ้นฤดูหนาวแน่”
…
สวี่ชีอันสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก ในใจลุกเป็นไฟ ไอ้กลุ่มแชตประสาทนี่ เป็นบ้าหรือไงถึงมาคุยกันดึกดื่นป่านนี้
เขาดึงกระจกจากใต้หมอนออกมา เดินไปที่โต๊ะเพื่อจุดเทียนและอ่านข้อความ
‘หก: หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสาม พวกเจ้าหาที่ซ่อนตัวของข้าเจอหรือไม่’
‘สอง: ไอ้โล้นเวรตะไลเอ๊ย ดึกดื่นไม่หลับไม่นอน เห่าหอนอะไรนักหนา’
หมายเลขสองฉุนเฉียวอย่างรุนแรง ดูเหมือนจะถูกปลุกให้ตื่น
‘เก้า: เกิดอะไรขึ้น’
นักบวชเต๋าจินเหลียนโผล่มาและแจ้งเตือนสมาชิกพรรคฟ้าดินว่าต้องมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับหมายเลขหกอย่างแน่นอน
หมายเลขหนึ่งยังคงสงบนิ่งและแอบดูเงียบๆ
สวี่ชีอันก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก จึงไม่พูดอะไรเช่นกัน
‘หก: อืม ไม่เคยคาดคิดว่าที่ซ่อนจะถูกเปิดเผยเร็วขนาดนี้ แต่พูดไปก็ไม่เป็นไรหรอก ข้าอยู่ในสถานรับเลี้ยงเด็กของเมืองทางตะวันออก ข้าส่งเด็กทั้งหมดที่ช่วยไว้มาที่นี่ สถานที่แห่งนี้ร่อแร่เต็มทน มีทั้งพวกข้าเก่าไร้ที่ไปสองสามคน กลุ่มเด็กเร่ร่อนและคนชราที่โดดเดี่ยว ทว่าวันนี้จู่ๆ ราชสำนักเกิดนึกถึงที่นี่ขึ้นมาได้และส่งคนมาซ่อมแซมสถานที่เพื่อชดเชยเงินที่ค้างชำระในปีก่อนๆ อดีตข้าเก่าเคยไปร้องเรียนกรมการคลังหลายครั้ง แต่กลับถูกขับไล่ออกมาทุกครั้ง ข้ารู้ว่าหากไม่มีเหตุผลกลใดเป็นพิเศษ ไม่มีทางที่เงินจะตกมาถึงที่นี่ได้’
หากเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่เข้ามาหา หมายเลขหกคงไม่แปลกใจสักนิด แต่การที่หมายเลขหนึ่งกับหมายเลขสามสามารถค้นหาที่ซ่อนตัวของเขาได้อย่างรวดเร็ว หลู่จื้อเซินตกตะลึงเสียยิ่งกว่า
‘หนึ่ง: ไม่ใช่ข้า’
หมายเลขหนึ่งปฏิเสธโดยฉับพลัน
หากไม่ใช่หมายเลขหนึ่ง คงมีเพียงหมายเลขสามเท่านั้นที่เป็นปัญญาชนแห่งสำนักอวิ๋นลู่ และเพราะคดีของผิงหย่วนป๋อ เขาพบที่มาของหมายเลขหก ทว่ากลับไม่กระทำการอันใดที่มุ่งร้ายต่อหมายเลขหก แต่เลือกที่จะช่วยเหลืออยู่เบื้องหลังอย่างเงียบๆ
หมายเลขสามสมกับเป็นปัญญาชนอย่างแท้จริง
เหล่าสมาชิกพรรคฟ้าดินค่อยๆ เพิ่มพูนความรู้สึกชื่นชมที่มีต่อหมายเลขสามและรับรู้ตัวตนของหมายเลขสามมากขึ้น
‘สอง: หมายเลขสาม เป็นฝีมือเจ้าหรือไม่’
…ไม่ใช่ข้า ข้าไม่ได้ทำ เจ้าอย่ามาสรรเสริญข้า สวี่ชีอันยังคงนิ่งเงียบ
หากข้าไม่อธิบายจะถือว่าเป็นการยอมรับ และหากทุกคนรู้ความจริงภายหลัง ข้าก็ยังพูดได้ว่า ข้าไม่ยอมรับเช่นกัน!
นอกจากนี้สวี่ชีอันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ เมื่อวันก่อนเขาขายหมายเลขหกให้กับเว่ยเยวียน โดยใช้กลยุทธ์ของเว่ยเยวียนประกอบกับเบาะแสที่เขามี การค้นหาตำแหน่งของหมายเลขหกจึงไม่ใช่เรื่องยาก
หมายเลขหกช่วยเด็กจำนวนมากขนาดนี้ จะจัดการอย่างไรดี
หากเป็นสวี่ชีอัน ตัวเลือกแรกคงจะตรวจสอบสถานรับเลี้ยงเด็กทั่วเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ตามคำกล่าวของหมายเลขหก นอกจากเว่ยเยวียนแล้วนั้น ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับคนของราชสำนักได้เลย
ซึ่งแน่นอนว่าหมายเลขหนึ่งก็มีทักษะด้านนี้เช่นกัน ทว่าเขา (หรือนาง) ก็ยังปฏิเสธที่จะยอมรับมันอยู่ดี
พบตัวฆาตกรที่ฆ่าผิงหย่วนป๋อ แต่ไม่มีการจับกุม ซ้ำยังชดเชยเงินที่ติดค้างสถานรับเลี้ยงเด็กแทน และยังส่งคนไปซ่อมแซมสถานเลี้ยงเด็กให้อีก
“เว่ยเยวียน…” สวี่ชีอันกระซิบภายใต้แสงเทียนสลัว
…………………………………