ผู้พิทักษ์รัติกาลแห่งต้าฟง - บทที่ 95 ซังผอ
การเชือดคอไม่ทำให้ตายในทันที วิธีการลงมือของฆาตกรนั้นว่องไวมาก มันไม่ได้เชือดเข้าที่ลำคอ แต่กลับเลือกตัดเส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอโดยตรงแทน
มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นมือฉกาจ
ในชาติก่อนของสวี่ชีอัน การตัดเส้นเลือดใหญ่เป็นบาดแผลฉกรรจ์ ที่แม้แต่พระเจ้าก็ไม่อาจหยุดยั้งความตายได้
ทว่านี่ยังไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริงของการตาย
เจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยผู้นี้ล้มลงขาดใจตายบนโต๊ะ ไม่มีแม้แต่ร่องรอยการต่อสู้ ไม่มีรอยเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าสาเหตุการตายไม่ได้เกิดจากการเชือดคอ
ส่วนสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เสียชีวิตก็คือสมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงจนถึงแก่ความตาย ไร้ซึ่งปฏิกิริยาตอบสนอง หรือโอกาสขัดขืน เสียชีวิตคาที่
ฆาตกรทุบกะโหลกหน้าผากของเขา จากนั้นจึงใช้มีดเชือดคออย่างรวดเร็ว…เมื่อจ้องไปยังหลุมตื้นๆ ตรงหน้าผากของผู้ตาย ภาพทั้งหมดก็ปรากฏขึ้นในหัวของทุกคน
สวี่ชีอันสัมผัสร่างของผู้ตาย หลังจากตรวจสอบโดยละเอียดแล้ว เขาจึงกล่าว “หลังจากเสียชีวิตร่างกายจะแข็งทื่อ เลือดลมหยุดไหลเวียน กระจกตาค่อนข้างขุ่น สันนิษฐานเวลาเสียชีวิตมากกว่าสิบเจ็ดชั่วโมง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ฆาตกรฆ่าคนในเวลากลางดึก”
“ข้าขอชี้แนะให้สืบค้นจากจุดเหล่านี้ดู หนึ่ง หนังสืออนุญาตเดินทางยามวิกาลที่ออกโดยที่ทำการเมื่อเร็วๆ นี้ สอง สอบสวนกองดาบดูว่าพบคนสงสัยในบริเวณใกล้เคียงบ้างไหม สาม สอบสวนหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลที่ทำหน้าที่ลาดตระเวนในพื้นที่นี้ และสี่ สอบสวนครอบครัวของผู้ตายเรื่องความสัมพันธ์ในช่วงนี้ของผู้ตายกับคนรอบข้าง”
ทุกคนนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน หลี่ว์ชิงและคนอื่นๆ มองเขาด้วยความงุนงง
‘เสร็จแล้วหรือ? ให้ทิศทางมาแล้วด้วย? เวลาเพิ่งจะผ่านไปไม่เท่าไร ก็สามารถสรุปข้อวินิจฉัยออกมาได้อย่างชัดแจ้ง แถมยังใช้ข้อวินิจฉัยนี้เป็นพื้นฐานทิศทางการสืบสวนคดีนี้ต่อไปอีกด้วย’
แม้จะรู้ว่าสวี่ชีอันเชี่ยวชาญด้านการคลี่คลายคดี แต่ทุกคนก็ยังรู้สึกว่า ‘เร็วเกินไป’
หลี่ว์ชิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและกล่าว “ให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรศพตรวจสอบก่อนเถิด”
โดยทั่วไปเมื่อเกิดคดีฆาตกรรม เหล่าเจ้าหน้าที่จับกุมจะพาเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพมาดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นเสียก่อน เพื่อจะได้รวบรวมเบาะแสในที่เกิดเหตุประกอบการวิเคราะห์ให้ดียิ่งขึ้น
ผลลัพธ์ที่ได้จากเจ้าหน้าที่ชันสูตรศพนั้นคล้ายคลึงกับการวินิจฉัยของสวี่ชีอัน แต่ไม่ละเอียดเท่าเขา
ซ่งถิงเฟิงกับจูกว่างเสี้ยวยังไม่เท่าไร แต่หลี่ว์ชิงและมือปราบอีกหลายนายจากที่ว่าการเกิดความรู้สึกชื่นชมสวี่ชีอันจากก้นบึ้งของหัวใจเสียแล้ว
“น่าเสียดายที่เขาสังกัดหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลไปเสียแล้ว อยากให้มาอยู่ที่ทำการจริงๆ…” หลี่ว์ชิงถอนหายใจด้วยความเศร้า
หากมีสหายร่วมงานที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ คอยจับกุมคนร้ายและคลี่คลายคดีไปพร้อมกับนาง ชีวิตคงมีความสุขน่าดู
หลี่ว์ชิงตะโกนเรียกมือปราบที่กำลังสอบสวนอยู่ด้านนอกเพื่อสอบถามผลการสอบปากคำ
ได้ข้อสรุปว่า ระยะนี้ผู้ตายไม่ได้สร้างศัตรูกับผู้ใด เมื่อวานไม่มีแขกมาเยี่ยมเยือนผู้ตาย และช่วงนี้สภาพจิตใจของผู้ตายเป็นปกติดี
หลี่ว์ชิงที่มืดแปดด้าน ขมวดคิ้วมุ่น
“ผู้ตายเป็นเพียงเจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อย หากตัดเรื่องความแค้นส่วนตัวออกไป เหตุใดฆาตกรจึงเข้าไปในบ้านยามวิกาล และทำการฆาตกรรมล่ะ” สวี่ชีอันที่ยืนอยู่ข้างๆ นางเอ่ยพึมพำ
หลี่ว์ชิงผู้มีประสบการณ์ด้านการสืบสวนคดีอาชญากรรมอย่างโชกโชน เมื่อได้ยินเข้า ดวงตาของนางก็เป็นประกาย จึงเรียกหาฮูหยินของผู้ตายทันที และถามขึ้นว่า “จู่ๆ ครอบครัวก็มีเงินเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากใช่หรือไม่ หรือว่าหลิวฮั่นพูดอะไรกับท่านบ้างไหม”
ฮูหยินผู้มีใบหน้าอันงดงามพยายามครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงอันโศกเศร้า “เมื่อไม่กี่วันก่อน สามีข้าบอกว่าจะพาพวกเราออกจากเมืองหลวงไปใช้ชีวิตข้างนอกอย่างอิสระเจ้าค่ะ”
หลี่ว์ชิงและสวี่ชีอันมองหน้ากัน “ช่วยระบุได้หรือไม่ว่าช่วงใด”
“ประมาณสิบวันก่อนเจ้าค่ะ” ความทรงจำของภรรยาผู้นี้ไม่ค่อยแม่นยำเท่าใด
…
ระหว่างที่เดินออกจากลานบ้าน หลี่ว์ชิงกล่าวออกมาเบาๆ “เขารับสินบนจึงถูกฆ่าปิดปาก”
สวี่ชีอันพยักหน้า นี่เป็นการคาดเดาที่ดูสมเหตุสมผลที่สุดและเขาก็คิดเช่นเดียวกัน
ซ่งถิงเฟิงขมวดคิ้วและกล่าว “แต่ว่า เพราะอะไรเจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยถึงถูกฆ่าปิดปากล่ะ”
สวี่ชีอันคิดอยู่ครู่หนึ่งราวกับว่าเขาจับอะไรบางอย่างได้ จึงถามขึ้น “หากจำไม่ผิด องครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์รับผิดชอบเฝ้าประตูเมืองตะวันออกของเมืองชั้นใน และประตูเมืองตะวันออกของเขตพระราชฐานนี่”
ทันทีที่พูดจบ สีหน้าของทุกคนจึงเปลี่ยนไปเล็กน้อย
สวี่ชีอันกล่าว “บางทีเราควรไปพบผู้บังคับบัญชาของหลิวฮั่นโดยตรง กลับไปรายงานเรื่องนี้ ณ ที่ว่าการก่อน และหลังจากได้รับคำสั่งแล้ว ค่อยไปสอบสวนที่บ้านของฝ่ายนั้น”
ผู้บังคับบัญชาของหลิวฮั่นเป็นหัวหน้ากองร้อยองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ แม้จะเป็นกองร้อยเหมือนกัน ทว่าองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์ตำแหน่งสูงกว่ากองดาบอยู่มาก พวกหลังเป็นเพียงหน่วยรักษาความปลอดภัย ในขณะที่พวกแรกเป็นถึงหน่วยคุ้มกันผู้นำ
หากสวี่ชีอันและคนอื่นๆ ต้องการไปที่บ้านเพื่อสอบสวน พวกเขาต้องมีใบรับรองคำสั่งจากที่ว่าการ คล้ายกับหมายค้นในชาติก่อน
กลับมายังที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เมื่อรายงานเรื่องนี้ต่อหลี่อวี้ชุน พี่ชุนก็เอาจริงเอาจังกับเรื่องนี้มาก เขาไตร่ตรองแล้วกล่าว “เรื่องนี้แปลกมาก ทว่าเขตพระราชฐานได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนา แค่เจ้าหน้าที่ถือธงชั้นผู้น้อยคนเดียวไม่มีใครเป็นเดือดเป็นร้อนหรอก ปกติแล้วองครักษ์คุ้มกันส่วนพระองค์จะสืบสวนกันเอง อีกทั้งใกล้จะถึงวันบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิแล้ว เราควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากกว่า”
หนังสือคำสั่งถูกส่งมอบให้ทันใด
หลังจากรอหน้าที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ว์ชิงและมือปราบคนอื่นๆ ของที่ว่าการเร่งรุดออกไป ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งแยกไปยังประตูทิศตะวันออกของเขตพระราชฐาน
นายกองโจวกำลังนำพลออกลาดตระเวน รออยู่หนึ่งชั่วยามกว่าจะกลับมา เมื่อรู้ว่าหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลและที่ว่าการกำลังตามหา เขาจึงรีบมาต้อนรับในทันใด
นายกองโจวมีหนวดเครารุงรัง ดวงตาเจ้าเล่ห์ และมีใบหน้าที่ดูโหดเหี้ยม มองแวบแรกดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับผู้ใด
ซ่งถิงเฟิงกล่าว “นายกองโจว ทหารใต้บังคับบัญชาของท่านมีเจ้าหน้าที่ถือธงนามว่าหลิวฮั่นหรือไม่”
ขณะที่นายกองโจวผู้มีสีหน้ารำคาญกำลังจะตอบ พลันสายตาเหลือบเห็นหนึ่งในฆ้องทองแดงหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และเผามันด้วยพลังปราณ
เพียงเสี้ยววินาที รูม่านตาของเขาถูกฉาบด้วยชั้นแสงใสทันที
วิชามองปราณงั้นหรือ นายกองโจวสงบสติอารมณ์ สีหน้าและกล่าวตอบ “มี”
“เขาตายแล้ว” ซ่งถิงเฟิงกล่าว
“ว่าไงนะ” นายกองโจวซ่อนความตกใจไว้ไม่อยู่
หลี่ว์ชิงจึงถาม “เมื่อไม่นานมานี้หลิวฮั่นมีอะไรผิดแปลกไปบ้างไหม”
“ไม่มี”
“ขณะที่เขาปฏิบัติหน้าที่อยู่ตรงประตูเมืองทิศตะวันออก มีบุคคลหรือสิ่งของที่ต้องสงสัยเข้าออกจากเขตพระราชฐานบ้างหรือไม่”
“ไม่มี” นายกองโจวส่ายหัว “มีทหารยามหลายนายคอยปกป้องเขตพระราชฐาน เปล่าประโยชน์ถ้าจะติดสินบนทหารเพียงคนเดียว เว้นเสียว่าจะติดสินบนทหารทั้งหมด ซึ่งเป็นไปไม่ได้”
จูกว่างเสี้ยวกล่าว “หากติดสินบนเจ้าล่ะ”
นายกองโจวชักสีหน้า อารมณ์ฉุนเฉียวปะทุขึ้นอีกครั้ง “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ซ่งถิงเฟิงยิ้มและกล่าว “ก็แค่การสอบปากคำไปตามเรื่อง ทำไมท่านนายกองโจวต้องโมโหด้วยเล่า อีกไม่นานก็จะถึงพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ พวกเราไม่อยากให้เกิดข้อผิดพลาดในช่วงเวลาที่สำคัญก็เท่านั้น”
เมื่อสอบปากคำไปอีกพักหนึ่ง เนื่องจากมีฆ้องทองแดงที่มีวิชามองปราณคอยจ้องจากด้านข้าง นายกองโจวจึงต้องตอบทุกคำถามและสะกดกลั้นความโกรธเอาไว้
จนกระทั่งวิชามองปราณของสวี่ชีอันสลายไปจนหมด ซ่งถิงเฟิงจึงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณสำหรับความร่วมมือของท่าน พวกข้าขอตัวลา”
ระหว่างที่เดินทางกลับพร้อมกับหลี่ว์ชิงและคนอื่นๆ สวี่ชีอันก็เอ่ยขึ้น “เขาไม่ได้พูดปด”
ซ่งถิงเฟิงหรี่ตา “บางทีหลิวฮั่นอาจจะถูกฆ่าปิดปากด้วยสาเหตุอื่นที่เราไม่รู้ก็ได้”
จูกว่างเสี้ยวเอ่ยเสียงเข้ม “ตอนนี้ขอให้ระงับการสืบสวนคดีนี้ไปก่อน พิธีบวงสรวงบรรพบุรุษสำคัญที่สุด”
วันมะรืนก็จะเป็นวันที่องค์จักรพรรดิทำพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ เรื่องอื่นเอาไว้ทีหลัง
เมื่ออำลาหลี่ว์ชิงและคนอื่นๆ แล้ว สวี่ชีอันก็ไตร่ตรองถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดในห้องโถงใหญ่ ทว่าไร้ประโยชน์ จึงสลัดเรื่องของหลิวฮั่นทิ้งไป
…
ปีเกิงจื่อ วันที่สิบห้า เดือนสิบ วันเจี่ยจื่อ
ฤกษ์งามยามดีเหมาะแก่การอธิษฐานขอพร สวดมนต์และบวงสรวงบรรพบุรุษ
วันไหว้บรรพบุรุษของราชวงศ์จะมาถึงในอีกไม่ช้า สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับสวี่ชีอัน ในช่วงเวลานี้ของทุกปี ประตูเมืองในเขตเมืองชั้นในจะถูกปิด อารองผู้เป็นถึงนายกองดาบจะถูกย้ายไปยังเมืองชั้นในเพื่อควบคุมการออกนอกเคหสถานในวันนี้ ผู้คนในเขตเมืองชั้นในจะถูกสั่งห้ามไม่ให้ออกนอกบ้าน
ช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิจะมีการบวงสรวงที่คล้ายกันอีกครั้ง เป็นการบูชาสวรรค์ และอธิษฐานขอให้ปีนี้น้ำท่าบริบูรณ์ ราษฎรเป็นสุข
ตั้งแต่เมื่อวานเป็นต้นมา โรงเตี๊ยมในเขตเมืองชั้นในถูกตรวจสอบ ทำให้ชาวยุทธ์ทั้งหมดต้องรีบระเห็จไปยังเมืองชั้นนอก เพราะร้านอาหารปิดให้บริการ โรงเตี๊ยมไม่อนุญาตให้พักค้างคืน
ในฐานะที่สวี่ชีอันเป็นหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล เขาถูกจัดให้รับผิดชอบการเฝ้ายามอยู่ที่ซังผอ
ซังผอเป็นทะเลสาบเล็กๆ ติดกับเขตพระราชฐาน มีต้นหลิวปลูกอยู่ริมทะเลสาบ ฤดูกาลนี้ใบหลิวยังไม่แตกหน่อ
ทางเดินอันคดเคี้ยวสร้างขึ้นบนผิวน้ำเชื่อมต่อกับแท่นศิลาหินอ่อนสีขาวกลางทะเลสาบ บนแท่นศิลามีวิหารตั้งอยู่ แผ่นป้ายโลหะจารึกด้วยตัวอักษรปิดทองสี่ตัว
หย่งเจิ้นซานเหอ!
สถานที่สักการะบรรพบุรุษอยู่ที่นี่
ซังผอไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดา ทว่ามีประวัติศาสตร์เล่าขานเกี่ยวกับองค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่ง
ตามตำนาน ‘ซังผอ’ ถูกเรียกว่าทะเลสาบเสวียนอู่ในสมัยก่อน เพราะมีสิ่งมีชีวิตในตำนานเรียกว่าเต่าดำ[1]อาศัยอยู่ในทะเลสาบ
ครั้งหนึ่งองค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งพ่ายแพ้สงครามและได้หลบหนีไปยังซังผอพร้อมกับกองกำลังที่เหลือ อย่างอับจนหนทาง
ในช่วงเวลาแห่งความสิ้นหวัง น้ำในทะเลสาบเดือดพล่านขึ้นและเต่าดำก็โผล่ขึ้นมาจากคลื่นน้ำ และมีกระบี่เทพที่สามารถผ่าสวรรค์ฆ่าเซียนได้ปักอยู่กลางหลังของมัน
เต่าดำกล่าวว่า มันอยู่ที่นี่มาหลายร้อยปี เพื่อรอคอยบุรุษแห่งโชคชะตา
เมื่อกล่าวจบ เต่าดำจึงมอบกระบี่เทพให้และเหยียบคลื่นจากไป
องค์จักรพรรดิผู้สถาปนาได้รับกระบี่เทพ ทรงบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ทะเลสาบอยู่เป็นเวลาสามปีจนบรรลุธรรม ฝ่าฟันอุปสรรค จากนั้นจึงรวบรวมกองกำลังขึ้นมาใหม่ สู้ศึกไร้พ่ายนับแต่นั้นมา รวมทั้งล้มล้างอดีตราชวงศ์ที่ฟอนเฟะ
หลังจากรวบรวมที่ราบตอนกลางเข้าด้วยกัน จากนั้นราชวงศ์ต้าฟ่งก็ได้สถาปนาเมืองหลวงของจักรวรรดิ ณ ทะเลสาบซังผอ
ซังผอเป็นสถานที่ที่องค์จักรพรรดิผู้สถาปนาต้าฟ่งได้ทรงตรัสรู้ มีความหมายเชิงสัญญะที่ไม่ธรรมดา ดังนั้นราชวงศ์ต้าฟ่งจึงจัดพิธีบวงสรวงบรรพบุรุษที่ซังผอทุกๆ ปี
ภายในของวิหารเหนือทะเลสาบเป็นที่ประดิษฐานพระบรมรูปขององค์จักรพรรดิผู้สถาปนา
ขนาดหลิวปังยังสังหารงูขาวก่อการปฏิวัติเลย ไม่รู้เรื่องนี้จะตีไข่ใส่ความไปใหญ่โตแค่ไหน… สวี่ชีอันมองจากที่สูงไปยังแท่นศิลาสูงกลางทะเลสาบและได้แต่บ่นพึมพำในใจ
…………………………………
[1] เทพแห่งทิศเหนือ เรียกว่าเสวียนอู่ก็ได้ ตัวแทนฤดูหนาว เป็นธาตุน้ำ มีรูปลักษณ์ของเต่าสีดำที่ถูกพันรอบด้วยงู เป็นสัญลักษณ์แห่งลัทธิเต๋า ความศรัทธา อายุยืนยาว ความสุข