ผู้รักษาสุดแกร่ง - บทที่ 341 คนไข้เก่า
ผู้กำกับเกายิ้มฝืน ๆ “ท่านอาจารย์หมอเหยียนครับ คุณหมอท่านนี้อย่าดูถูกว่าเด็กนะครับ เขามีความสามารถมาก ๆ อาการป่วยของท่านประธานหลิ่ว คุณหลิ่วชิงชิง ก็ได้เขาเป็นผู้รักษาจนหายนี่แหละครับ”
ท่านอาจารย์หมอเหยียนขมวดคิ้วมุ่น อาการป่วยของหลิ่วชิงชิงเขาเคยรักษามาก่อน
“เขาเป็นคนรักษาหายเหรอ?ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องไปทำความรู้จักสักหน่อยแล้ว”
อาการป่วยของหลิ่วชิงชิงเป็นเคสที่มีชื่อเสียงอย่างมากในวงการแพทย์ โรคผิวหนังที่เป็นมาตั้งแต่กำเนิดของเธอนั้น มันเริ่มจากจุดเล็ก ๆ จนลามไปทั่วร่างกาย เหล่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างพวกเขายังไม่มีทางรักษา แม้แต่หมอเมิ่งที่เป็นแพทย์แผนจีนผู้เชี่ยวชาญทางด้านโรคภายนอก ก็ไม่สามารถรักษาได้
เดิมทีเขาคิดว่าอาการป่วยของหลิ่วชิงชิง จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงของต่างประเทศถึงจะสามารถรักษาให้หายได้ แต่ไม่คิดเลยว่าจะถูกแพทย์แผนจีนวัยหนุ่มคนหนึ่งสามารถรักษามันให้หายได้?
แม้ว่าฉินจุนจะยังไม่ได้ปรากฏตัว แต่ก็ทำให้ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความแปลกใจและความสงสัย
ในที่สุดจ้าวลี่คุนก็ได้รับสายจากฉินจุน เธอรีบวิ่งออกไปต้อนรับก่อนจะพาฉินจุนเข้ามายังสตูดิโอถ่ายทำ
พอฉินจุนเดินเข้ามา แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามเห็นว่าเขายังหนุ่มจริง ๆ ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน เด็กขนาดนี้เนี่ยนะที่สามารถรักษาอาการป่วยของหลิ่วชิงชิงให้หายได้ ไม่ใช่ว่าโกหกหลอกคนอื่นใช่ไหม?
หลังจากทุกคนได้ทำการแนะนำตัวกันเสร็จเรียบร้อย ผู้กำกับเกาก็เอ่ย
“คุณฉินต้องขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมรู้ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญทางด้านการแพทย์มาก ๆ แต่เป็นเพราะว่าท่านยังอายุน้อย รายการของเราจึงจำเป็นต้องทดสอบท่านสักหน่อยก่อน หวังว่าท่านจะสามารถแสดงทักษะทางการแพทย์ของท่านออกมาอย่างเต็มที่ครับ ถ้าหากทำอะไรให้ท่านไม่พอใจต้องขอโทษด้วยนะครับ”
ฉินจุนพยักหน้า ก่อนที่จะมาฉินจุนก็รู้ว่าพวกเขาต้องการทำอะไร การได้แลกเปลี่ยนความรู้กับผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ก็น่าสนใจดี
“จะเรียนรู้จากกันและกันยังไงครับ?”
ถ้าหากเป็นแค่การนั่งถกเถียงกันที่นี่เท่านั้น ก็คงจะตัดสินไม่ได้ว่าใครถูก
ผู้กำกับเกาเอ่ย “ผมเตรียมคนไข้มาสามคนครับ แล้วก็จะเชิญคุณฉินช่วยไปทำการวินิจฉัย”
“ได้ครับ” ฉินจุนพยักหน้าเห็นด้วย
ไม่นานก็มีหญิงสาวมีอายุคนหนึ่งเดินเข้ามา
หญิงสาวคนนี้ดูแล้วน่าจะอายุประมาณ 40 ปีได้ เวลาเดินขาจะเป๋ไปข้างหนึ่ง ดูท่าทางแล้วน่าจะไม่ค่อยสบายเท่าไหร่
พอเห็นผู้หญิงท่านนี้ ท่านอาจารย์หมอเหยียนก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
“คุณคือ……ผู้หญิงที่เป็นจ้งเฟิงคนนั้น?”
หญิงสาวพยักหน้า ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้
ท่านอาจารย์หมอเหยียนสีหน้าเปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัด เขารู้จักผู้หญิงคนนี้และเคยทำการรักษาให้เธอมาก่อน
แบบนี้ก็น่าสนใจแล้ว ไม่คิดเลยว่าคนไข้คนแรกก็เป็นแบบนี้เลย
ฉินจุนเอ่ยถาม “คุณผู้หญิงมีอาการไม่สบายตรงไหนครับ?”
ทันใดนั้นหญิงสาวก็กอดแขนอย่างสั่นเทาเอ่ย “ปิดแอร์หน่อยได้ไหมคะ?”
จ้าวลี่คุนชะงักก่อนจะรีบบอกผู้ช่วย
“ปิดแอร์ก่อน”
หลังจากปิดแอร์ หญิงสาวก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก เอ่ยกับฉินจุน
“คุณหมอคะ อาการป่วยของดิฉันเป็นมานานแล้วค่ะน่าจะประมาณสี่ปีได้ เมื่อไหร่ที่ดิฉันเจอลมก็จะรู้สึกไม่สบาย เหงื่อจะออกเต็มตัวเลยค่ะ”
สิ่งที่หญิงสาวบอกมาเป็นความจริงทั้งหมด เมื่อสักครู่ที่แอร์เป่ามาร่างกายของเธอก็เต็มไปด้วยเหงื่อ เสื้อผ้าเปียกชื้นไปหมด ตอนนี้ที่หน้าผากของเธอเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ
หญิงสาวเอ่ยต่อ
“เมื่อสามปีก่อน ดิฉันเคยมารักษากับท่านอาจารย์หมอเหยียน ท่านบอกว่าดิฉันเป็นจ้งเฟิง ท่านทำการรักษาและจ่ายยาให้ดิฉัน โดยออกสูตรยาให้ดิฉันกินตำรับยาเก่อเกินกับตำรับยากุ้ยจือ กินไปได้สามวันก็เห็นผล แล้วก็ไม่เป็นอีกเลยค่ะ”
“แต่ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อน ตอนนั้นฉันกำลังนั่งรถอยู่บนทางด่วน จู่ ๆ ผู้โดยสารด้านหน้าเปิดกระจกรถ ทำให้ลมตีเข้าโดนตัวดิฉันเต็ม ๆ โรคของฉันก็กำเริบขึ้นมาทันทีค่ะ เหงื่อออกมาเต็มตัว รู้สึกอ่อนแรง ภายในใจฉันของฉันก็รู้ได้ทันทีค่ะว่าอาการกำเริบอีกแล้ว”
“พอลงมาจากรถ ดิฉันก็พบว่าอาการป่วยของดิฉันกลับมาอีกแล้ว”
คำพูดของหญิงสาวทำให้ทุกคนต่างตกอยู่ในความเงียบ
โดยเฉพาะท่านอาจารย์หมอเหยียน สีหน้าออกอาการอับอายนิดหน่อย
เพราะนี่คือคนไข้ที่เขาเคยรักษา ไม่คิดเลยว่าเขาจะไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ สามปีผ่านมาอาการถึงได้กำเริบ!
ตอนที่ทำการรักษาตอนแรกท่านอาจารย์หมอเหยียนเคยบอกไว้ว่า โรคนี้กินยาก็สามารถรักษาให้หายขาดได้ ไม่คิดเลยว่าสามปีผ่านไปจะได้มาเจอคนไข้เก่าในสถานที่แห่งนี้
ฉินจุนพยักหน้าก่อนจะเอ่ย
“จากอาการป่วยที่คุณผู้หญิงได้บอกมา มันเป็นจ้งเฟิงหรือภาวะโรคไท่หยางกระทบลมจริง ๆ ครับ การวินิจฉัยของท่านอาจารย์หมอเหยียนนั้นถูกแล้ว สำหรับอาการป่วยที่มีเหงื่อออกมาทั้งตัว สามารถวินิจฉัยออกมาได้ว่าเกิดจากจ้งเฟิงและกลุ่มอาการของเส้นลมปราณหยางหมิง”
“โรคหยางหมิงได้มีคัมภีร์กล่าวไว้ว่า”
“เก่อเกินใช้รักษาโรคหยางหมิง โดยเฉพาะเมื่อมีอาการแดงหรือปวดที่หน้าผาก และหากมีอาการเหงื่อออกที่หน้าผาก ให้ใช้เก่อเกินและกุ้ยจือในการรักษาภาวะโรคไท่หยางกระทบลม”
“คุณมีอาการป่วยแบบนี้มานาน การที่เหงื่อไหลออกมามากกว่าปกติแบบนี้ จะต้องมีอาการหยางพร่อง เนื่องจากเวลาที่เหงื่อไหลออกมา จะมีทั้งน้ำและหยางชี่ออกด้วย เมื่อเหงื่อไหลออกมามากผิดปกติ ก็จะทำให้เกิดอาการหยางพร่อง เพราะฉะนั้นที่ท่านอาจารย์หมอเหยียนออกสูตรยาให้คุณทานตำรับยาเก่อเกินกับกุ้ยจือนั้น ถือว่าให้ยาได้ตรงกับโรค ไม่ได้ผิดอะไร”
สิ่งที่ฉินจุนพูดมานั้น โรคหยางหมิง เป็นอะไรที่มืออาชีพมาก ๆ อาจารย์หมอทั้งสามท่านต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของฉินจุน
สายตาของท่านอาจารย์หมอเหยียนนั้นเผยความชื่นชมออกมา ในตอนที่เขาทำการรักษา เขาคิดแบบนี้จริง ๆ
ฉินจุนเอ่ย “ขอผมจับชีพจรก่อนนะครับ”
เขาดึงมือของหญิงสาวมาแล้วเริ่มทำการจับชีพจร ตรวจชีพจรไปก็ถามไปด้วย
“ปวดท้องไหมครับ มีอาการท้องอืดหลังทานอาหารไหม?”
หญิงสาวเอ่ย “มีอาการปวดบางครั้งค่ะ หลังทานอาหารจะมีอาการท้องอืดหนักมาก แล้วก็มีอุจจาระจำนวนมาก”
ฉินจุนถามอีกครั้ง “มีอาการปัสสาวะไม่หยุดด้วยไหมครับ?”
“ค่ะ”
ไม่กี่นาทีต่อมา ฉินจุนก็เอามือออก แล้วเอ่ย
“ในคัมภีร์ซางหานลุ่นบทโรคไท่หยางได้กล่าวไว้ว่า ‘เมื่อมีอาการไข้ขึ้น เหงื่อออก กลัวลม ชีพจรเต้นช้า ต่างถือว่าเป็นจ้งเฟิง จ้งเฟิงนี้มีหลายประเภท อาการนี้ของคุณถือว่าเป็น ‘ประเภทกลัวลม’ ถือว่าเป็นหนึ่งในอาการที่รักษาให้หายยากของจ้งเฟิง”
“ชีพจรลื่นเร็ว ท้องอืด ปากแห้ง เหงื่อออกมาก และปัสสาวะไม่หยุด ล้วนเป็นอาการทั่วไปของประเภทกลัวลมครับ”
“การใช้เก่อเกินกับกุ้ยจือนั้น ช่วยรักษาได้แค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง พออายุมากขึ้นมีการสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ช้าก็เร็วอาการก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมครับ”
“คุณกลับไปกินสูตรตำรับยาที่ท่านอาจารย์หมอเหยียนเคยให้ไว้ แล้วเพิ่มลี่เฉินเข้าไป ปริมาณการใช้เท่ากับเก่อเกินเลยครับ หลังจากนี้สามวันก็หายแล้วครับ”
หญิงสาวรีบลุกขึ้นยืน ก่อนจะคำนับเพื่อแสดงความขอบคุณ
“ขอบพระคุณมากค่ะคุณหมอฉิน……”
หลังจากนั้นเธอก็หันกลับมาขอบคุณท่านอาจารย์หมอเหยียน
สีหน้าของท่านอาจารย์หมอเหยียนออกอาการทำตัวไม่ถูก ได้แค่ยิ้มตอบกลับไปให้
แม้ว่าโรคจะไม่หายขาดในทันที แต่ผู้เชี่ยวชาญทั้งสามคนก็จับผิดไม่ได้เลย
ถึงขนาดว่าท่านอาจารย์หมอเหยียนเองก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้ เห็นได้ชัดว่าโรคนี้รักษายากพอสมควร
อีกอย่างขนาดฉินจุนยังไม่ได้จับชีพจร ก็สามารถอธิบายแนวทางการรักษาของท่านอาจารย์หมอเหยียนได้อย่างละเอียดและชัดเจน ถ้าไม่เก่งจริง ใครจะดูออกว่าปรมาจารย์นั้นรักษาโรคอย่างไร?
หลังจากนั้น ฉินจุนยังพูดถึงประโยคในคัมภีร์ซางหานลุ่น ซึ่งใกล้เคียงกับอาการดังกล่าว
ทุกคนเคยอ่านคัมภีร์ซางหานลุ่น แต่เป็นเพราะว่าไม่มีใครนึกถึงประโยคนี้มาก่อน หลัก ๆ แล้วเป็นเพราะว่ายังวัดชีพจรไม่ละเอียดพอ ที่ฉินจุนสามารถนึกถึงประโยคนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าเขาต้องมีความสามารถมาก ๆ เทคนิคการวัดชีพจรของเขาถือว่าสุดยอด
สำหรับวิธีการรักษา ที่เพิ่มยาเข้ามาอีกตัวหนึ่ง เรื่องนี้พวกเขาก็พอจะเข้าใจ เมื่อวินิจฉัยได้ถึงต้นตอของการเกิดโรค ใครก็สามารถจ่ายยาได้แล้ว
สูตรตำรับยาที่ฉินจุนออกให้นั้น ตรงกับโรคไม่มีข้อผิดพลาด
โดยรวมแล้วถือว่า การรักษาของฉินจุนในครั้งนี้ เรียกได้ว่าไม่มีจุดไหนสามารถโจมตีได้เลยมันไร้ที่ติ