ผู้รักษาสุดแกร่ง - บทที่ 345 เพื่อนสมัยเรียน
แต่ก่อนท่านผู้อาวุโสหวงเหวินจิง ถือว่าเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ทรงอิทธิพลที่สุดภายในประเทศ ท่านมีความเชี่ยวชาญในทุก ๆ ด้าน แม้จะอายุแปดสิบเก้าสิบปีแล้วแต่ท่านก็ยังลงมือรักษาเอง ได้รับความเคารพจากผู้คนจำนวนมาก
พอท่านอาวุโสเสียชีวิตไป ก็ไม่รู้ว่าหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ตกไปอยู่ที่ใคร แพทย์ผู้เชี่ยวชาญในประเทศที่มีชื่อเสียงก็มีเพียงไม่กี่คน ทุกคนต่างเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมา
“ท่านอาจารย์หมอเหยียนหรือเปล่า ท่านอาจารย์หมอเหยียนก็เป็นแพทย์แผนจีนระดับประเทศคนแรก ๆ เลยนะ คุณสมบัติก็พร้อม ระดับความสามารถก็แน่นอนอยู่แล้วว่าท่านเก่งมาก ๆ ”
“ฉันว่าท่านอาจารย์หมอจง ท่านอาจารย์หมอจงนอกจากจะเก่งด้านอื่น ๆ แล้ว การรักษาเด็กของท่านก็เก่งมาก ๆ สมัยนี้คนที่สามารถรักษาเด็กได้ถึงจะเป็นปรมาจารย์”
“ที่พวกเธอพูดมาก็มีความเป็นไปได้ ไม่มีท่านอาวุโสหวงแล้ว ตอนนี้ภายในประเทศยังเลือกผู้นำมาแทนไม่ได้”
ฉินจุนก็เองก็เห็นข้อมูลพวกนี้ในอินเทอร์เน็ต แต่ว่าเขาก็แค่ดูแบบผ่าน ๆ ไม่ได้สนใจอะไร
จู่ ๆ ซูเหวินฉีก็ส่งข้อความวีแชทมาหาเขา “ฉันได้ยินมาว่าการประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีนจะเริ่มแล้ว นายอยากได้ตั๋วไหม ให้ฉันซื้อตั๋วให้ไหม?”
ฉินจุนยิ้ม “ฉันไม่เอา ฉันสามารถเข้างานได้”
ซูเหวินฉีส่งสติกเกอร์OKกลับมา “งั้นฉันไปทำงานต่อละ”
ฉินจุนรู้สึกว่ามันน่าสนใจมาก ๆ ที่ซูเหวินฉีที่ยุ่งตลอดทั้งวันยังตระหนักได้ว่าจะซื้อตั๋วให้เขา
เพียงแต่ซูเหวินฉีไม่รู้ว่า ฉินจุนไม่ใช่แค่สามารถเข้าไปในงานได้ แต่ยังเป็นถึงวิทยากรหลักทางการแพทย์ ถ้าหากเธอเห็นในทีวีว่าเขาเป็นวิทยากรหลักทางการแพทย์ คาดว่าน่าจะงงไปเลย
ฉินจุนโทรศัพท์หาเย่หวันเอ๋อและข่งฝานหลิน จากนั้นทั้งสองคนก็รีบมาทันที
“คุณฉิน ให้ผมเป็นผู้ช่วยคุณได้เหรอ?”
ฉินจุนพยักหน้า “ใช่ มีคนไข้บางรายที่จำเป็นต้องมีผู้ช่วย ถึงเวลานั้นนายนั่งข้างฉันก็พอ”
ข่งฝานหลินถูมือของเขาอย่างตื่นเต้นมาก ๆ “ได้ครับ ผมจะพยายามให้เต็มที่”
เพราะถึงอย่างไรข่งฝานหลินก็เป็นแพทย์แผนจีนระดับประเทศ ถึงแม้ว่าวัยวุฒิจะน้อยกว่าคนอื่น ๆ แต่ว่าสำหรับแพทย์ธรรมดาแล้วถือว่าเขาเป็นแพทย์ที่ยอดเยี่ยมมาก ถึงกระนั้นเขาก็รู้สึกกังวลมากเกี่ยวกับการถ่ายทอดสดเพื่อรักษาโรคทางโทรทัศน์
“คุณฉินครับ ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องไปเตรียมตัว แต่งเนื้อแต่งตัวให้ดี ๆ ”
พูดจบข่งฝานหลินก็ไม่แม้แต่จะทานอาหาร เรียกรถไปห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้าเข้าร้านทำผมทันที
ข่งฝานหลินเคยมีประสบการณ์ออกกล้องมาแล้วสองสามครั้ง รู้ดีว่าการแต่งเนื้อแต่งตัวเสียหน่อยจะช่วยเรื่องภาพลักษณ์ ไม่อย่างนั้นเวลาออกโทรทัศน์จะดูแก่อย่างเห็นได้ชัด
เย่หวันเอ๋อเองก็ดีใจมาก เธอไม่ได้เรียนสายนี้ แถมมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้เรียน กลับได้มีโอกาสมาร่วมรายการแบบนี้ แม้ว่าเธอจะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะได้ขึ้นไปเป็นผู้ช่วย แต่ว่าแค่ได้มาอยู่ในสถานการณ์จริงก็ถือว่าเยี่ยมยอดมาก ๆ แล้ว
ขณะที่เย่หวันเอ๋อกับฉินจุนกำลังรับประทานอาหาร จู่ ๆ ก็มีหญิงสาวสองคนเดินเข้ามาด้วยกัน เดินไปก็พูดคุยกันไป
“เอ้อ เธอซื้อตั๋วได้หรือยัง?”
“ซื้อได้แล้ว สองใบ เธอวางใจได้หน่า ฉันเป็นหัวหน้าพยาบาลนะ แค่อยากได้ตั๋วสองใบไม่เป็นปัญหาหรอก”
ขณะที่ทั้งสองคนคุยกัน ก็เดินมานั่งที่ที่นั่งด้านข้างของพวกฉินจุน พอเห็นเย่หวันเอ๋อเข้าก็ตกใจทันที
“เอ๊ะ นี่มันเย่หวันเอ๋อไม่ใช่เหรอ?”
เย่หวันเอ๋อขมวดคิ้วเล็กน้อย “ทำไมเป็นพวกเธอไปได้?”
คนที่เข้ามาใหม่นี่เป็นเพื่อนสมัยมัธยมปลายของเย่หวันเอ๋อ คนหนึ่งชื่อหลิ่วอวี้ คนหนึ่งชื่อฉือเหม่ย
สมัยตอนเรียนอยู่ที่โรงเรียน พวกเธอก็เป็นเหมือนเย่หวันเอ๋อ อยากเรียนต่อทางด้านสายแพทย์พยาบาล แต่สุดท้ายครอบครัวของเย่หวันเอ๋อล้มละลาย ทำให้แม้แต่สอบแอดมิชชั่นเธอก็ไม่ได้สอบ
ฉือเหม่ยเผยสีหน้าเยาะเย้ย “เย่หวันเอ๋อ ไม่ได้เจอกันตั้งนานแน่ะ ตอนนี้เธอทำงานอะไรอยู่เหรอ?”
ถึงแม้ว่าเย่หวันเอ๋อจะไม่ค่อยอยากตอบสักเท่าไหร่ แต่ว่าก็ต้องไว้หน้าหน่อย
“เหอะ ๆ ฉันทำงานที่คลินิกแห่งหนึ่งน่ะ”
ทันใดนั้นฉือเหม่ยก็หัวเราะออกมาทันที “อ๋อ ทำงานที่คลินิกนี่เอง เป็นเด็กฝึกงานเหรอ?ก็ดีนะ ถือว่าได้เติมเต็มหนึ่งในความฝันของเธอว่าไหม?”
เดิมทีพวกเธอตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยการแพทย์ เป็นบุคลากรทางการแพทย์ แต่มีเพียงเย่หวันเอ๋อเท่านั้นที่ไม่ได้สอบ
สมัยนั้นมีคนตามจีบเย่หวันเอ๋อจำนวนมาก ส่วนสองคนนี้ก็เหมือนเป็นแค่ตัวประกอบคอยอยู่ข้าง ๆ เธอมาตลอด เพราะฉะนั้นจึงไม่เคยมองเย่หวันเอ๋อในแง่ดี
หลิ่วอวี้ส่งเสียงไม่พอใจ เอ่ย “ก็แค่คลินิกเล็ก ๆ ล่ะสิ แบบนั้นไม่ดีหรอก หมอตามคลินิกเล็ก ๆ พวกนั้นไม่ได้มีใบรับรองความสามารถ อีกอย่างเธอก็ไม่รู้ว่าหมอที่คลินิกเล็ก ๆ นั่นเป็นหมอจากมหาวิทยาลัยไหน ตัวเองยังไม่รู้เรื่องเลยจะมาสอนเธอได้เหรอ?”
“นั่นสิเย่หวันเอ๋อ ถ้าเธออยากเรียนหมออะนะ ฉันแนะนำให้เธอลองไปสอบเข้าด้วยตนเองของผู้ใหญ่ดู ตอนนี้เธอยังมีโอกาสเรียนมหาวิทยาลัยผู้ใหญ่ไง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เก่งอะไร แต่ก็ดีกว่าไปเป็นเด็กฝึกงานเรียนรู้จากคนอื่นถูกไหม ?”
เย่หวันเอ๋อขมวดคิ้ว “พวกเธออย่าพูดอะไรไร้สาระ เป็นเด็กฝึกงานแล้วยังไง?สามารถเป็นคลินิกได้ก็ถือว่ามีความสามารถ”
ฉือเหม่ยหัวเราะออกมา “เธออย่ามาไร้เดียงสาขนาดนี้เลย เปิดคลินิกจะไปมีความสามารถอะไรกัน? แค่มีใบรับรองวิชาชีพหมอก็เปิดได้แล้ว บางคนแค่อาศัยท่องจำเอาก็สอบเอาใบนี้มาได้แล้ว แต่พอถึงเวลารักษาจริงกลับไม่เป็นอะไรเลย”
หลิ่วอวี้เองก็เอ่ยเสริม “เธอดูพวกฉันสองคนสิ เรียนที่มหาวิทยาลัยแพทย์มาห้าปี ทุกปีจะต้องไปฝึกงานที่โรงพยาบาลทุกปี ทั้งมีพื้นฐานทางด้านสายนี้และยังมีอาจารย์คอยชี้แนะแนวทาง ถึงกระนั้นพวกเราก็ยังเป็นแค่พยาบาลธรรมดาในโรงพยาบาลเท่านั้นเอง”
“แล้วเธอลองคิดถึงตัวเธอดูนะ บ้านล้มละลาย ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน ตอนนี้ยังมาเรียนรู้ทักษะทางการแพทย์กับหมอคลินิกที่ไม่ได้เรื่องได้ราวแบบนั้น แล้วเมื่อไหร่เธอถึงรักษาคนไข้เองได้?”
เย่หวันเอ๋อลุกขึ้นยืนทันที ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความโกรธ
“พวกเธอว่าใครไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว?!”
ฉือเหม่ยเห็นแบบนั้นก็รีบดึงตัวหลิ่วอวี้ จากนั้นก็หัวเราะคิกคักเอ่ย
“หวันเอ๋ออย่าใจร้อนไปเลย หลิ่วอวี้ก็แค่หวังดีกับเธอนะ จากที่ฉันดูแล้ว ฉันว่าเธออย่ามาทำสายอาชีพนี้เลย เป็นหมอไม่ได้ง่ายขนาดนั้น”
เย่หวันเอ๋อกลอกตามองบน “เรื่องนี้พวกเธอไม่ต้องมายุ่ง”
เดิมทีฉือเหม่ยกับหลิ่วอวี้อยากจะดูถูกเหยียดหยามเย่หวันเอ๋ออีกสักหน่อย แต่ว่าเห็นเธอไม่พูดอะไรต่อ ก็ไม่มีทางเลือกต่างคนต่างกิน
เย่หวันเอ๋อโดนคนพวกนี้พูดจาใส่จนหงุดหงิดมาก สองคนนี้นี่ตอแหลเก่งจริง ๆ ก็แค่เข้ามหาวิทยาลัย คิดว่าตัวเองเหนือกว่าเพียงเพราะเรียนสายแพทย์มา
เรียนมหาลัยมันเจ๋งนักหรือไง พี่ฉินไม่ได้เรียนมัธยมด้วยซ้ำ ยังสามารถเป็นวิทยากรหลักทางการแพทย์ของการประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีนได้เลยไม่ใช่เหรอไง?
แม้ว่าเย่หวันเอ๋อจะเพิ่งเรียนรู้ได้ไม่นาน แต่ก็ได้เรียนรู้หลายอย่าง
เวลาที่ข่งฝานหลินไม่อยู่ ตอนนี้เธอก็สามารถนั่งประจำการรักษาคนไข้ได้แล้ว เพียงแต่ว่าเธอไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงกับคนพวกนี้ก็เท่านั้น
พอทั้งสองคนทานอาหารเสร็จ ก็ได้เวลาพอประมาณเตรียมตัวไปสถานีโทรทัศน์
ที่น่าบังเอิญก็คือ ฉือเหม่ยและหลิ่วอวี้เองก็ลุกขึ้นเตรียมจะเดินออกไปข้างนอกเหมือนกัน
“หวันเอ๋อพวกเธอเตรียมจะไปไหนกันน่ะ?”
แม้ว่าเย่หวันเอ๋อจะไม่อยากสนใจพวกเธอ แต่ว่าก็ไม่จำเป็นต้องฉีกหน้าคนอื่น
“ไปสถานีโทรทัศน์”
ฉือเหม่ยชะงัก “ไปสถานีโทรทัศน์?ไปสถานีโทรทัศน์ทำไม?”
“หวันเอ๋อ เธอคงจะไม่ได้อยากไปดูการประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีนหรอกใช่ไหม?”
เย่หวันเอ๋อเหลือบมองหน้าเธอ “เธอก็รู้จักการประชุมใหญ่การแพทย์แผนจีนเหรอ?”
ฉือเหม่ยยิ้มออกมา “แน่นอนสิ พวกเราเป็นคนในสายงานนี้ อีกอย่างพยาบาลก็ไม่แบ่งแยกว่าเป็นแพทย์แผนจีนหรือว่าตะวันตก เมื่อกี้พวกฉันเพิ่งได้ตั๋วมาสองใบ เธอมีตั๋วไหม?”
หลิ่วอวี้ยิ้มออกมา “ฉือเหม่ยเธอพูดล้อเล่นอะไรกัน หวันเอ๋อเป็นแค่เด็กฝึกงานในคลินิก จะไปซื้อตั๋วมาจากไหนกัน โทษทีนะหวันเอ๋อพวกฉันมีตั๋วแค่สองใบ เกรงว่าเธอคงต้องยืนดูจากข้างนอกแล้วล่ะ คิกคิก”