ผู้รักษาสุดแกร่ง - บทที่ 390 นาฬิกาเรือนละสี่สิบล้าน
เถ้าแก่ฟางไม่รู้เรื่อง เขาจึงพูดว่า “งั้นเหรอครับ? ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมช่วยดูให้”
เซี่ยหัวเฉียงมองไปที่ฉินจุนและหัวเราะหึๆ “พี่ฉินเอานาฬิกามาให้เถ้าแก่ฟางดูสิ ไม่แน่นาฬิกาเรือนนี้ของคุณจะอาจเป็นนาฬิกาที่มีชื่อเสียงจริงๆ ก็ได้นะ?”
หวังหยุนยิ้มและพูดว่า “คุณชายเซี่ยคะฉันว่ามันไม่จำเป็นหรอกมั้งคะ ฮ่าๆ…”
เซี่ยหัวเฉียงพูด “ทำไมจะไม่จำเป็นล่ะ ลองดูก่อนสิ เผื่อว่าบนแผงจะมีของจริงขาย”
หลังจากเขาพูดจบ ฉินจุนก็ถอดนาฬิกาออกมาแล้วยื่นให้
ทันทีที่เถ้าแก่ฟางรับนาฬิกาไป ดวงตาของเขาก็เป็นประกาย
มันหนักมาก
ถ้านาฬิกาหนักนั้นแสดงว่าวัสดุมีความประณีตมาก และมีปริมาณทองคำสูง ยิ่งหนักยิ่งคุณภาพดี
เมื่อเถ้าแก่ฟางเห็นหน้าปัดนี้ เขาก็ขมวดคิ้วทันที
เซี่ยหัวเฉียงหัวเราะและพูด “เป็นยังไงบ้างครับเถ้าแก่ฟาง เปิดโลกเลยใช่ไหมครับ? ยังไม่เห็นโรเล็กซ์สีน้ำเงินใช่ไหม ฮ่าๆๆ…”
เซี่ยหัวเฉียงคิดว่ามันตลกมากที่ได้พูดจาเสียดสีฉินจุนตามใจชอบ แต่สีหน้าของเถ้าแก่ฟางกลับค่อนข้างเคร่งขรึม
เขาหยิบแว่นขยายแบบพกพาออกมาจากกระเป๋า และตรวจสอบอย่างละเอียด
เซี่ยหัวเฉียงพูด “เถ้าแก่ฟางไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ ระดับคุณแล้วแค่มองแวบเดียวก็น่าจะบอกได้ว่ามันเป็นของจริงหรือหรือของปลอมไม่ใช่เหรอครับ?
เถ้าแก่ฟางไม่ได้ตอบอะไร แต่กำลังตรวจดูอย่างละเอียด และที่ฝาหลังของนาฬิกาจุดที่สึกหรอเขาก็พบตัวเลขชุดหนึ่ง
1763!
ดวงตาของเถ้าแก่ฟางเป็นประกายทันที และใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่เป็นแบทแมนหน้าปัดสีน้ำเงินของจริงครับ!”
เซี่ยหัวเฉียงขมวดคิ้ว “เถ้าแก่ฟางคุณพูดอะไรน่ะ? สีน้ำเงินอะไร มันจะมีสีน้ำเงินได้อย่างไร?”
หัวหน้าฟางพูด “คุณชายเซี่ยครับ มันมีสีน้ำเงินจริงๆ ครับ”
“ในปี ค.ศ. 1763 Rolex เคยผลิตหน้าปัดสีน้ำเงินออกมาหนึ่งเรือน แต่หลังจากผลิตได้หนึ่งชิ้น โรงงานก็ปิดตัวลง ต่อมานักลงทุนได้อัดฉีดเงินทุนอีกให้กับ Rolex อีกครั้งมันถึงอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้”
“หลังจากที่โรงงานฟื้นตัว ก็เริ่มผลิตซีรีส์ใหม่ ตัวแบทแมนหน้าปัดสีน้ำเงินตัวนี้ก็ได้หยุดผลิตไปแล้ว ดังนั้นนาฬิกาแบทแมนสีน้ำเงินเรือนนี้ถึงไม่เคยปล่อยออกมาขายครับ”
“นาฬิกาเรือนนี้มีมูลค่าสูงมาก และมีค่ามากสำหรับการสะสม ผมได้ยินมาว่ามันถูกซื้อไปโดยนักสะสม ถ้าขายตอนนี้ ราคาตลาดน่าจะมากกว่า 40 ล้านหยวนเลยครับ!”
เมื่อสิ้นเสียงของเถ้าแก่ฟาง สีหน้าของเซี่ยหัวเฉียงก็ตกตะลึงในทันที
หวังหยุนก็ตกตะลึงเช่นกัน สี่สิบล้าน? !
พวกเขาไม่เคยได้ยินราคาของนาฬิกาที่แพงขนาดนี้มาก่อนเลย และยังควรค่าแก่การสะสมอีกด้วย
เซี่ยหัวเฉียงขมวดคิ้ว “เถ้าแก่ฟางคุณต้องเข้าใจผิดแน่ๆ นาฬิกาเรือนนี้มันจะราคาแพงขนาดนี้ได้อย่างไร? และผมก็ไม่เคยได้ยินเรื่องหน้าปัดสีน้ำเงินมาก่อนเลย!”
เถ้าแก่ฟางพูด “คุณชายเซี่ยครับ คุณไม่ควรสงสัยในความสามารถของผมนะครับ ผมมีงานอดิเรกเกี่ยวกับนาฬิกามากว่าครึ่งชีวิต ผมดูไม่ผิดแน่นอนครับ”
“ถ้าคุณไม่เชื่อคุณลองเปรียบเทียบดูก็ได้ครับ การผลิตนาฬิกาทั้งสองเรือนของพวกคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บงานหรือวัสดุ หน้าปัดน้ำเงินนี้ดีกว่ามาก เพราะนี่คือนาฬิกาที่ผลิตเมื่อ 300 กว่าปีที่แล้ว ทำจากแรงงานคนล้วนๆ”
“ส่วนเรื่องที่คุณไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน อย่าโกรธที่ผมพูดตรงๆ เลยนะครับ มันเป็นเพราะคุณไม่รู้เกี่ยวกับนาฬิกาเรือนนี้ หรือพูดอีกอย่างก็คือคุณไม่ได้มีความรู้มากนัก”
คำพูดของเถ้าแก่ฟางทำให้ใบหน้าของเซี่ยหัวเฉียงบูดเบี้ยวทันที
เดิมทีต้องการใช้นาฬิกาเรือนนี้เพื่อทำให้ฉินจุนเสียหน้า ทำให้ตัวเองดูเหนือกว่า แต่สุดท้ายไม่เพียงแต่ไม่ได้ทำให้เขาขายหน้า แต่ตัวเองกลับขายหน้าเสียเอง
ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีนาฬิกาแบทแมนหน้าปัดสีน้ำเงิน แต่เป็นเพราะเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน ไม่มีความรู้พอ!
หลังจากพูดจบ เถ้าแก่ฟางก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเขาพูดผิดไป จึงรีบขอโทษอย่างรวดเร็ว
“ผมขอโทษครับๆ ผมพูดมากเอง คุณชายเซี่ยจะไม่มีความรู้ได้ยังไง ผมขอโทษครับ พวกคุณเชิญทานอาหารต่อเถอะครับ ผมขอตัวก่อนครับ!”
หลังจากพูดจบ เถ้าแก่ฟางก็รีบออกไปทันที
ใบหน้าของเซี่ยหัวเฉียงก็นิ่งมาก บรรยากาศมาคุมาก
หวังหยุนก็ยิ่งขมวดคิ้วแน่น “นาฬิกาพังๆ เรือนนี้มีราคาแพงขนาดนี้เลยเหรอ? ไอ้แซ่ฉิน ไม่ใช่ว่าแกไปนัดกับคนอื่นเพื่อมาโกหกเราใช่ไหม?”
ฉินจุนหยิบนาฬิกาขึ้นมาสวมไปบนข้อมือของเขาอีกครั้ง ยิ้มบางๆ และไม่ได้พูดอะไร
เมื่อหวังหยุนเห็นอย่างนี้ เธอก็รีบพูดว่า “คุณชายเซี่ย คุณเห็นไหมคะ เขารวมหัวกับเถ้าแก่ฟางเพื่อมาโกหกคุณ คุณไม่ต้องไปสนใจหรอกค่ะ”
แม้ว่าคำพูดของหวังหยุนจะให้ท้ายเขา แต่แน่นอนว่าเซี่ยหัวเฉียงก็แยกได้ว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม
เมื่อกี้เขาได้เห็นดูนาฬิกาเรือนนี้แบบใกล้ๆ แล้ว และมันก็ดูคุณภาพดีกว่าโรเล็กซ์ยักษ์เขียวของเขาจริงๆ และที่เขาพูดมันก็สมเหตุสมผล เถ้าแก่ฟางเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะพูดขึ้นมามั่วๆ
แต่หลังจากที่หวังหยุนพูดอย่างนั้นก็ทำให้เซี่ยหัวเฉียงหัวเราะออกมา
“เหอะๆ จริงๆ แล้วจะของจริงหรือของปลอมก็ไม่สนใจหรอก มันเป็นแค่เครื่องมือในการดูเวลาเท่านั้น”
“อ้อใช่ วันนี้ผมจะแนะนำคุณให้รู้จักกับเถ้าแก่ใหญ่คนหนึ่ง เดี๋ยวผมโทรไปหาเขาก่อน”
หลังจากพูดจบเซี่ยหัวเฉียงก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วโทรออก ก็พอจะแก้เขินได้อยู่บ้าง
หวังหยุนถอนหายใจด้วยความโล่งอก และแสดงสีหน้าคาดหวังออกมา ที่พวกเขามาทานข้าวด้วยกันครั้งนี้ เพราะพวกเขาขอให้คุณชายเซี่ยช่วยแนะนำเส้นสายให้พวกเขา แนะนำนักธุรกิจในเมืองหลวงให้ ถ้าพวกเขาสามารถตีตลาดเมืองหลวงได้มันก็จะเป็นผลดีกับการพัฒนาของบริษัทมาก
“ฮัลโหล ประธานเฉินใช่ไหม? ใช่ๆๆ ผมมาถึงแล้วครับ ห้องส่วนตัว 888 ได้ครับๆๆ !”
หลังจากวางสายแล้ว เซี่ยหัวเฉียงก็กลับมามีสีหน้ามั่นใจขึ้นอีกครั้ง และพูดพร้อมหัวเราะ
“ผู้ชายน่ะนะ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือกิจการ ในสังคมนี้เส้นสายก็มีความสำคัญมาก เป็นโอกาสดีที่ได้คบกับเพื่อนอย่างนี้ สำหรับคนหนุ่มสาวอย่างคุณก็นับว่าเป็นโชคดีมาก คุณควรจะขอบคุณที่ผมให้โอกาสนี้กับคุณนะ”
เซี่ยหัวเฉียงมองไปที่ฉินจุน ราวกับว่าความรู้สึกเหนือกว่าก่อนหน้านี้ได้กลับมาแล้ว
เรื่องนาฬิกาเมื่อกี้ทำให้เขาเสียหน้านิดหน่อย แต่ในเรื่องของเส้นสายการติดต่อ เขาสามารถทำให้ฉินจุนแพ้อย่างราบคาบอย่างแน่นอน
หวังหยุนรู้สึกตื่นเต้น “คุณชายเซี่ยคะ ประธานเฉินคนนี้คือ…”
เซี่ยหัวเฉียงพูด “ประธานเฉิน เฉินตี้หาว ตี้หาว KTV คุณเคยได้ยินใช่ไหม?”
หวังหยุนอึ้งไปครู่หนึ่ง “เคยได้ยินสิคะ ฉันยังเคยได้ยินว่ามีกิจการอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมตี้หาว บาร์ตี้หาว ตี้หาวอินเทอร์เน็ตคาเฟ่…ทั้งหมดนี้อย่าบอกนะคะว่าเป็นเจ้าของคนเดียวกัน?”
เซี้ยหัวเฉียงพูด “ใช่แล้ว เป็นเจ้าของเดียวกันทั้งหมด ประธานเฉิน เฉินตี้หาว ประธานเฉินไม่ใช่คนธรรมดา เขามีทั้งธุรกิจมืดและใสสะอาด ถ้าจะติดต่อกับเขาไว้มันก็จะดีกับพวกคุณ”
หวังหยุนตื่นเต้นมาก “ถ้าอย่างนั้นก็ขอบคุณมากเลยนะคะ เราควรจะเตรียมอะไรหน่อยไหม?”
เซี่ยหัวเฉียงคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ประธานเฉินชอบดื่มอู่เหลียงเย่ เอาอย่างนี้แล้วกัน คุณไปซื้ออู่เหลียงเย่มาสองขวด ด้านนอกมีบุหรี่และเหล้าที่มีชื่อเสียงอยู่ แต่ถ้าไม่มีคุณก็เรียกรถไปก็ได้”
จุ้หลินหลินขมวดคิ้ว “ไม่ต้องหรอก ดื่มดื่มเหล้าอะไรก็เหมือนกันนั่นแหละ ในร้านนี้ก็มีเหมาไถไม่ใช่เหรอ?”
เซี่ยหัวเฉียงพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แล้วมันเหมือนกันเหรอ พวกคุณเป็นผู้หญิงไม่เข้าใจหรอก ธุรกิจมากมายก็ต้องคุยกันตอนกินเหล้า หากคุณต้องการผูกมิตรกับคนระดับสูง ก็ต้องปรนนิบัติเขาให้ดีสิ”
“เอาล่ะ รีบไปเถอะ ซื้อมาแล้วฉันจะคืนเงินให้ เดี๋ยวฉันให้ค่าเหนื่อยด้วย”