ผู้รักษาสุดแกร่ง - บทที่ 446 วิทยานิพนธ์
ฉินจุนสะบัดเฉินเค่อเอ๋อร์ออกเบาๆ
เฉินเค่อเอ๋อร์ไม่มีทางเลือกจึงจำต้องแสร้งทำเป็นน่าสงสาร กอดแขนของฉินจุนและอ้อน
“พี่เขยจะทำแบบนี้กับฉันไม่ได้นะ! พี่รู้ไหม ฉันก็เป็นพยาบาลที่เก่งนะ ถ้าวิทยานิพนธ์ของฉันไม่ผ่าน โลกนี้ก็จะสูญเสียพยาบาลที่เก่งๆ ไปเลยนะ!”
ฉินจุนเม้มปากแน่น “เธอก็เรียนด้านการแพทย์เหรอ?”
เฉินเค่อเอ๋อร์พูด “ใช่แล้ว ฉันกับพี่คิดเหมือนกัน เธอเรียนหมอ ส่วนฉันเรียนพยาบาล เข้ากันพอดีเลย คุณว่าฉันเหมือนนางพยาบาลตัวน้อยไหม?”
หลังจากพูดจบ เฉินเค่อเอ๋อร์ก็ทำท่าทางเกาหัว
ฉินจุนแค่นหัวเราะ “ก็เพราะเธอยังเป็นพยาบาลตัวน้อยไง ถ้าผู้ป่วยตกอยู่ในมือเธอ คงจะอายุสั้นไปสามปี”
“…….”
เฉินเค่อเอ๋อร์กลอกตา และพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอีกครั้ง
“พี่เขย ขอร้องล่ะ ช่วยไปคุยกับอาจารย์ให้ฉันหน่อย คุณก็เป็นหมอเหมือนกัน พวกคุณก็พอจะมีเรื่องให้คุยกันได้!”
ฉินจุนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ทนต่อแรงรบเร้าของเธอไม่ไหว
“โอเค เอาวิทยานิพนธ์ของเธอมาให้ฉันดูหน่อย”
เฉินเค่อเอ๋อร์หยิบแฟ้มออกมาจากกระเป๋าของเธอแล้วยื่นให้ฉินจุน ด้านในมีวิทยานิพนธ์ของเธออยู่
เนื้อหาของวิทยานิพนธ์ส่วนใหญ่เกี่ยวกับความสำคัญของเจ้าหน้าที่พยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลควรมีความรับผิดชอบอย่างไร
“วิทยานิพนธ์เล่มนี้มีปัญหาอะไรไหมคะ?”
ในทางวิชาการนี่เป็นวิทยานิพนธ์ที่ปกติเล่มหนึ่ง มุมมองของเฉินเค่อเอ๋อร์ไม่แย่เลย ขยายบทบาทความสำคัญของพยาบาลได้ดี และเน้นย้ำถึงหน้าที่ของพยาบาล ฉินจุนคิดว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร
เฉินเค่อเอ๋อร์เม้มปาก “ที่ปรึกษาของเราบอกว่า การรักษาพยาบาลควรให้ความสำคัญกับแพทย์ก่อน การพยาบาลเป็นเพียงหน้าที่เสริม บอกว่าวิทยานิพนธ์เล่มนี้ของฉันมันเกินจริงไปหน่อย”
ฉินจุนขมวดคิ้ว เขาไม่คิดว่ายังมีคนอคติเช่นนี้อยู่
“โอเค ฉันจะลองไปกับเธอดู”
หากเป็นเรื่องอื่นฉินจุนอาจจะไม่สามารถช่วยอะไรได้ แต่ในเรื่องการแพทย์เขาก็ยังพอจะพูดได้อยู่บ้าง
ไม่นานทั้งสองคนก็มาถึงมหาวิทยาลัย คราวนี้ไม่ต้องโกหกแล้ว พวกเขาตรงไปที่ห้องทำงานอาจารย์ทันที
“อาจารย์คะ ผู้ปกครองของหนูมาแล้วค่ะ”
ด้านหน้าเป็นอาจารย์ผู้หญิงสวมแว่น เธอดูเหมือนอายุสามสิบต้นๆ เธอเป็นที่ปรึกษาของเฉินเค่อเอ๋อร์
เมื่อได้ยินดังนั้น อาจารย์จึงเงยหน้าขึ้นมา และขมวดคิ้ว
“เฉินเค่อเอ๋อร์ เธอล้อเล่นเหรอ? ผู้ปกครองเหรอ? ทำไมเด็กขนาดนี้?”
เฉินเค่อเอ๋อร์พูด “แน่นอนว่าหนูไม่ได้ล้อเล่น นี่คือพี่เขยของหนูค่ะ พี่เขยก็นับว่าเป็นผู้ปกครองใช่ไหมคะ?”
“นี่……”
อาจารย์ก็จนใจไม่รู้จะพูดยังไง เธอรู้ดีว่าเฉินเค่อเอ๋อร์เป็นคนยังไง อยากจะให้เธอเรียนจบเร็วๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ คณบดีไม่เห็นด้วยกับวิทยานิพนธ์ของเฉินเค่อเอ๋อร์ ดังนั้นเธอจึงต้องแก้ก่อนถึงจะจบ
อาจารย์พูด “ผู้ปกครองท่านนี้ ที่เราให้คุณมาในครั้งนี้ หลักๆ แล้วเพื่อพูดถึงสถานการณ์การสำเร็จการศึกษาของเฉินเค่อเอ๋อร์ค่ะ วิทยานิพนธ์จบการศึกษาของเธอมีปัญหานิดหน่อยค่ะ และจำเป็นต้องเขียนใหม่ แต่เฉินเค่อเอ๋อร์ไม่ยอม จึงต้องให้ผู้ปกครองช่วยคุยให้หน่อยค่ะ”
ฉินจุนหยิบวิทยานิพนธ์ขึ้นมาแล้วพูดอย่างสุภาพว่า “อาจารย์ครับ วิทยานิพนธ์เล่มนี้ผมดูแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไรนะครับ ในเมื่อเป็นวิทยานิพนธ์ของนักเรียน ก็ควรจะออกมาจากความคิดของนักเรียนนะครับ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ?
อาจารย์ขมวดคิ้ว “คุณฉินคะ แต่คณบดีของเราไม่คิดอย่างนี้ค่ะ ความคิดของเขาไม่ใช่แบบนี้เลย”
ฉินจุนยิ้มและพูดว่า “ความคิดของเขาจะเป็นยังไงก็ให้เขาเขียนมันลงในวิทยานิพนธ์ของเขาเองสิครับ คุณคิดว่าไง?”
สีหน้าของอาจารย์เริ่มเปลี่ยนไปเล็กน้อย และรีบพูดขึ้น
“คุณฉิน คุณจะพูดแบบนี้ไม่ได้นะคะ! คณบดีของเราเป็นแบบอย่างที่ดี เราต้องนำความรู้ทางการแพทย์ที่ถูกต้องมาสอนให้กับนักเรียนของเรา”
ฉินจุนหัวเราะเยาะ “ความรู้ทางการแพทย์ที่ถูกต้อง? การแพทย์แผนจีนสืบทอดมานับพันปี นั่นก็เพราะสืบทอดกันมาแบบถูกๆ ผิดๆทั้งนั้น แม้แต่ตอนนี้ก็ยังไม่มีใครกล้าพูดว่าความรู้ทางการแพทย์นั้นถูกต้องไปซะหมด คณบดีของคุณมีความมั่นใจขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
หลังจากที่ฉินจุนพูดจบ อาจารย์ก็เบิกตากว้าง เธอรีบลุกขึ้นยืนเพื่อต้องการให้เขาหุบปาก
พูดอะไรเนี่ย! มาพูดที่นี่ได้อย่างไร ถ้าคณบดีได้ยินแล้วจะไม่โดนกันหมดเหรอ?
คณบดีเมิ่งของพวกเขาเป็นคนอารมณ์รุนแรง และจริงจังกับงานวิชาการมาก ถ้ามีใครกล้ามีข้อสงสัยกับเขา และเขาได้ยินเข้า เขาจะต้องโมโหมากอย่างแน่นอน
ฉินจุนเพิ่งพูดจบไปเมื่อกี้ ทันใดนั้นก็มีร่างของชายชราปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตู
สีหน้าของอาจารย์เปลี่ยนไปทันที “คณบดีเมิ่ง ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่ได้คะ?”
กลัวอะไรจะเจออย่างนั้นจริงๆ เลย พอพูดถึงก็มาทันที กำลังกังวลว่าคณบดีจะมาได้ยินคำพูดของฉินจุน และมันก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ คณบดีเมิ่งมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่แล้วตอนนี้
เมื่อเห็นฉินจุน คณบดีเมิ่งก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมได้ยินมาว่าคุณมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับวิธีการสอนของผมเหรอครับ?”
ทันทีที่คณบดีเมิ่งเข้ามา แม้แต่เฉินเค่อเอ๋อร์ที่ไม่รู้จักเกรงกลัวอะไรก็ต้องถอยหลังออกไปด้วยสีหน้านอบน้อม
คณบดีเมิ่งเป็นศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงไปทั่วประเทศ เขามีตำแหน่งสูงมากในด้านการแพทย์แผนจีน มีวิทยานิพนธ์มากมาย
ดังนั้นทั้งนักเรียนและอาจารย์ทุกคนต่างก็ต้องกลัวเขา พวกเขาเชื่อมั่นอย่างไม่มีเงื่อนไขในความรู้ที่คณบดีเมิ่งสอนให้พวกเขา
แต่วิทยานิพนธ์จบการศึกษาของเฉินเค่อเอ๋อร์ไม่ได้เขียนตามความคิดของคณบดีเมิ่ง และสุดท้ายคณบดีเมิ่งก็ดุเธอ และเรียกให้ผู้ปกครองมาพบ
ฉินจุนยิ้มบาง ๆ “ผมไม่มีข้อโต้กับวิธีการสอนของคุณหรอกครับ แต่ผมแค่สงสัยในทักษะทางการแพทย์ของคุณ”
ตุ้บ!
คำพูดของฉินจุนทำให้วิทยานิพนธ์ในมือของอาจารย์ตกพื้นทันที
ทั้งสำนักงานเงียบไปครู่หนึ่ง เงียบมาก จนสามารถได้ยินเสียงหายใจ
มุมปากของเฉินเค่อเอ๋อร์ก็กระตุกเล็กน้อย เธอคิดไม่ถึงเลยว่าพี่เขยคนนี้จะพูดจารุนได้แรงขนาดนี้ สงสัยในทักษะทางการแพทย์ของคณบดีเมิ่งเหรอ?
อาจารย์ตกตะลึง พยายามจะขยิบตาให้ฉินจุน แต่ฉินจุนก็แสร้งทำเป็นไม่เห็น
เธอขยิบตาให้เฉินเค่อเอ๋อร์ เฉินเค่อเอ๋อร์ก็แสร้งทำเป็นไม่เห็นเช่นกัน
ไม่ง่ายเลยที่จะหาพี่เขยที่เจ๋งขนาดนี้ได้ เฉินเค่อเอ๋อร์ก็ไม่ยอมแพ้ถึงได้ขอให้พี่เขยของเธอมาช่วยพูดให้
แม้ว่าทักษะทางการแพทย์ของเขาจะสู้คณบดีไม่ได้ แต่แค่ได้ยั่วโมโหเขาก็พอแล้ว!
สีหน้าของคณบดีนั้นมีหลากหลายอารมณ์มาก ตอนแรกเขาก็ผงะไปครู่หนึ่ง จากนั้นเขาก็ตะลึง แล้วก็โกรธ และสุดท้ายก็เป็นสีหน้าเยาะเย้ย
คณบดีเมิ่งมีชื่อเสียงมาหลายปีแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ถูกคนตั้งคำถามในอาชีพของเขา
“ดี! ดีมาก! ฉันกำลังจะมีประชุมพอดี ในเมื่อคุณมีข้อสงสัยเกี่ยวกับผม มันจะเป็นการดีที่จะได้พูดคุยและหารือกันต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญมากมาย เดี๋ยวผมจะรับฟังเอง!”
คณบดีเมิ่งคิดว่าน่าขำมาก ทำไมเด็กปากไม่สิ้นกลินน้ำนมกล้าที่จะมาตั้งแง่กับผู้อาวุโส?
วันนี้มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนมาประชุมทางวิชาการพอดี คณบดีเมิ่งจะต้องให้เด็กคนนี้พูดออกมาให้รู้กันไปเลยว่าเขามีปัญหาอะไรกับความสามารถของเขา!