ผู้รักษาสุดแกร่ง - บทที่ 614 งานเลี้ยงรุ่น
รู้จักสิ จะไม่รู้จักได้ยังไง เมื่อกี้คนอื่นเขาก็บอกแล้วไง ว่าหมอนี่ขายกระเป๋าปลอมพูดถึงอย่างละเอียดเชียว แทบไม่ต้องพูดอะไรแก้ตัวอีกแล้ว
จี้กั๋วจวินคิดไม่ถึงเลยว่า ท่านประธานเซินจะยอมคุยกับฉินจุน ไอ้ฉินจุนอะไรนี่รู้จักคนใหญ่คนโตอย่างประธานเซินด้วยเหรอ?
อีกอย่างฟังจากน้ำเสียงของประธานเซินแล้ว ดูเหมือนว่าจะเคารพฉินจุนมาก ๆ จี้กั๋วจวินในตอนนี้หน้าแตกแทบไม่เหลือชิ้นดี เขาเป็นคนเปิดประเด็นว่าจะโทรศัพท์ขึ้นมาเอง สุดท้ายเป็นไงคิดไม่ถึงเลยว่า เพราะไอ้การโทรศัพท์นี่ จะทำให้เขาตกอยู่ในสถานการณ์อับอายขายขี้หน้าคนอื่นแบบนี้
ยะหยาเองก็หน้าเสียไม่น้อย เธอก็คิดว่ากระเป๋าใบละสองแสนกว่านี้จะเป็นของจริง ที่ไหนได้จี้กั๋วจวินกลับให้ของปลอมกับเธอ มันทำให้เธอไม่พอใจมาก ๆ
แต่ถึงอย่างไรจี้กั๋วจวินก็เป็นท็อปสเปนเดอร์ของเธอ เขาส่งของขวัญในไลฟ์ให้เธอตั้งไม่รู้เท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถึงมันจะเป็นของปลอมแต่เธอก็จะอดทน
“เหอะ ๆ ต่อให้มันจะเป็นของปลอม แต่มันก็มาจากใจ”
คงได้แต่ปลอบใจทุกคนว่า ถึงแม้มันจะเป็นของปลอม แต่ก็มอบให้ด้วยใจ
ฉินจุนก็ไม่ได้ต้อนพวกเขาให้จนมุม ในเมื่อความจริงมันกระจ่างแล้วก็จบ เพราะถึงอย่างไรหวังตงเสวี่ยก็ไม่ได้ใส่กับเรื่องพวกนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะชอบกระเป๋าใบนี้มาก แต่แค่รู้สึกว่ามันเว่อร์วังไปหน่อย หวังว่าจะไม่ทำให้ใครไม่พอใจก็พอ
มื้ออาหารผ่านไปอย่างอึดอัด พอถึงตอนจะจากกัน ทุกคนต่างมาทิ้งเบอร์ไว้ให้ฉินจุน บอกว่าเผื่อในอนาคตจะได้ร่วมงานกัน แต่ความจริงแล้วใคร ๆ ก็รู้ว่านี่มันเป็นการทอดสะพาน
สนิทสนมกับท่านประธานเซินแบบนี้ แถมยังให้กระเป๋าใบละสองแสนกว่าง่าย ๆ อีก ผู้ชายคนนี้ต้องมีความสามารถไม่ธรรมดาแน่นอน
หลังจากที่ฉินจุนเล่นละครตบตาต่อหน้าคนพวกนั้นจนเสร็จสิ้น เขากับหวังตงเสวี่ยก็พากันขึ้นรถมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารต่อไป
“ตงเสวี่ย เรายังต้องไปปาร์ตี้กับเพื่อน ๆ ของเธออีกใช่ไหม?”
หวังตงเสวี่ยพยักหน้า “ตอนแรกฉันบอกปัดเพื่อนไปแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าปาร์ตี้เมื่อกี้จะจบเร็วขนาดนั้น ที่งานนู้นมีเพื่อนสนิทฉันสองคนมาด้วยพอดี ฉันอยากจะไปหาพวกเธอหน่อยได้ไหมคะ ?”
“ได้สิ”
ฉินจุนแค่ไปเป็นเพื่อนเธอ จะไปเจอใครเลี้ยงฉลองกับใครเขาไม่สนใจอยู่แล้ว
นั่งสองคนมุ่งหน้าไปยังสถานที่เป้าหมายต่อไปทันที ที่ร้านอาหารแห่งนี้ไม่ได้หรูหราเหมือนร้านก่อนหน้านี้ แต่ว่าก็ไม่เลวเลย
พนักงานพาทั้งสองคนมายังห้องอาหารส่วนตัว ตอนที่ไปถึงเพื่อน ๆ ก็ทานกันมาสักพักแล้ว พอเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็ตกใจ
“เฮ้ย ตงเสวี่ยมาแล้ว มานั่งเร็ว ๆ !เธอบอกว่าจะไม่มาแล้วไม่ใช่เหรอ!”
หวังตงเสวี่ยยิ้มก่อนจะเอ่ย “พอดีงานฝั่งนั้นเสร็จเร็วน่ะ ฉันก็เลยมาหาพวกเธอ”
พอเธอพูดจบ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งลากเก้าอี้มาให้เธอนั่งข้าง ๆ เขา แต่ว่ามันมีเพียงที่นั่งเดียว
หวังตงเสวี่ยก็ชะงัก รู้สึกว่าถ้านั่งตรงนี้มันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เธอจึงรีบคล้องแขนของฉินจุนแล้วเอ่ยแนะนำ
“นี่แฟนของฉัน ชื่อว่าพี่ฉินจุน”
ทันใดนั้นสีหน้าของผู้ชายที่ลากเก้าอี้มาให้เธอก็เปลี่ยนไปทันที
เพื่อนคนอื่น ๆ ก็เผยสีหน้าแปลกใจ
ผู้ชายคนที่ลากเก้าอี้มาให้ชื่อว่าหลี่จินเฉิง เขาเป็นคนที่ตามจีบหวังตงเสวี่ย แต่ก่อนสมัยเรียนถึงแม้ว่าหวังตงเสวี่ยจะไม่เคยตอบตกลงเป็นแฟน แต่นายหลี่จินเฉิงคนนี้กลับคุยโวไปทั่วว่าหวังตงเสวี่ยเป็นแฟนของตัวเอง
เขาป่าวประกาศเรื่องความสัมพันธ์ไปทั่ว แม้ว่าจะมีคนรู้ว่าหวังตงเสวี่ยไม่ได้ตกลง แต่เป็นเพราะเห็นแก่หน้า จึงเออออไปด้วยว่าพวกเขาคบกัน
แต่ก่อนเวลาไปงานเลี้ยงกัน หวังตงเสวี่ยจะต้องได้นั่งข้างหลี่จินเฉิงตลอด
แต่ว่าวันนี้ไม่คิดเลยว่าหวังตงเสวี่ยจะพาแฟนมาด้วย
หลี่จินเฉิงหันหน้าไปมองฉินจุนพร้อมกับเอ่ยแบบไม่เป็นมิตร
“โทษทีนะตรงนี้ไม่มีที่แล้ว นายลากเก้าอี้ไปนั่งฝั่งตรงข้ามแล้วกันนะ”
หลี่จินเฉิงแสดงสีหน้าไม่เป็นมิตร แฟนแล้วยังไง ใครมาก่อนมาหลังไม่รู้หรือไง เขารู้จักกับหวังตงเสวี่ยตั้งแต่สมัยเรียน ไอ้ฉินจุนอะไรนี่มีสิทธิ์อะไรเข้ามาแทรก?
ด้านข้างของหวังตงเสวี่ยมีชายอ้วนคนหนึ่ง ค่อย ๆ ลุกขึ้นก่อนจะเอ่ยกับฉินจุน
“พี่ชาย นายนั่งตรงนี้ก็ได้ เดี๋ยวฉันย้ายไปนั่งฝั่งตรงข้ามเอง”
หลี่จินเฉิงเบิกตากว้าง “เจ้าอ้วนสวี!มันใช่เรื่องของนายมั้ย!”
เจ้าอ้วนสวียิ้มแย้ม “ไม่เป็นไร ๆ เรื่องจิ๊บจ้อย!”
เจ้าอ้วนสวีคนนี้ถือเป็นเพื่อนในชั้นเรียนที่นิสัยดี ปัจจุบันฐานะค่อนข้างลำบาก เขารู้สึกว่าเพื่อน ๆ เหล่านี้ต่างก็เก่งกว่าเขากันทั้งนั้น ฉะนั้นเวลาคุยกับเพื่อน ๆ จึงทำตัวสงบเสงี่ยมเจียมตัว เพราะเขาคิดว่ามีเพื่อนไว้เยอะ ๆ ย่อมดีกว่า
ฉินจุนตบบ่าของเจ้าอ้วนสวี “ขอบใจมากนะน้องชาย”
พูดจบทั้งสองคนก็นั่งลง
แผนที่จะจับแยกสองคนนี้ของหลี่จินเฉิงจึงไม่สำเร็จ ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจมาก
หลังจากนั่งลงก็เอ่ยถามฉินจุน
“ลูกพี่ นายทำงานอะไรล่ะ?”
ฉินจุนเอ่ย “เป็นหมอน่ะ”
หลี่จินเฉิงก็หัวเราะออกมาอย่างดูถูก “ที่แท้ก็เป็นลูกจ้างเขาเหรอเนี่ย พวกชนชั้นแรงงาน”
เพื่อนคนอื่น ๆ เองก็หัวเราะออกมา “เทียบกับประธานหลี่ไม่ได้หรอก ประธานหลี่น่ะทำธุรกิจจิวเวอรี่เป็นของตัวเอง ตอนนี้เป็นเถ้าแก่ใหญ่แล้ว!”
“ฮ่าฮ่า ใครจะไปเทียบกับประธานหลี่ได้ ถ้าต่อไปหวังตงเสวี่ยคบกันหลี่จินเฉิงนะ ก็ได้ใส่เครื่องประดับเพชรพลอยตามใจชอบเลยน่ะสิ?”
“ยังต้องพูดอีกเหรอจ๊ะ ถ้าแต่งงานกับหลี่จินเฉิงน่ะก็กลายเป็นคุณนายแล้ว น่าอิจฉาจริง ๆ ”
“……”
เหล่าเพื่อน ๆ ต่างแซวเรื่องของหลี่จินเฉิงกับหวังตงเสวี่ย หวังตงเสวี่ยพอได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ว่าหลี่จินเฉิงนั้นชอบมาก
เจ้าอ้วนสวีแสดงสีหน้าอึดอัดอย่างทำตัวไม่ถูกพร้อมกับเอ่ย
“ลูกพี่ฉินเขาเป็นแฟนตัวจริงของหวังตงเสวี่ย พวกเราไปแซวแบบนั้นมันไม่ค่อยดีเท่าไหร่มั้ง?”
หลี่จินเฉิงถลึงตาใส่ “ไอ้อ้วนสวี ถ้าแกไม่พูดอะไรก็ไม่มีใครว่าหรอกนะ!ไอ้กระจอกอย่างแก มีสิทธิ์พูดเหรอ!”
เจ้าอ้วนสวีก้มหน้าลงไม่กล้าแย้งอะไรกลับไป
เจ้าอ้วนสวีนั้นชีวิตค่อนข้างลำบาก อีกอย่างเขาเป็นคนนิสัยดีหัวอ่อน ใครจะว่าอะไรยังไงเขาก็ได้ แถมเจ้าอ้วนสวีนั้นทำงานวงการเดียวกับหลี่จินเฉิง บางครั้งเวลาทำธุรกิจก็ต้องไว้หน้าหลี่จินเฉิง
เพราะฉะนั้นเวลาโดนด่าเขาก็ต้องอดทนไว้
หลี่จินเฉิงถลึงตาใส่เขาอย่างเขม่น จากนั้นก็เอ่ยกับฉินจุนต่อ
“นี่ลูกพี่ โทษทีนะที่ฉันพูดตรง ๆ นายกับหวังตงเสวี่ยเพิ่งคบกันไม่นานใช่ไหม?”
ฉินจุนพยักหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เดือนสองเดือนมั้ง”
“เหอะ ๆ อาชีพหมออย่างนาย รายได้ต่อปีมากสุดก็คงแค่สองแสนต่อปีเองมั้ง นายคิดว่ารายได้แบบนี้ของนาย คู่ควรกับหวังตงเสวี่ยงั้นเหรอ?”
พอพูดจบหลี่จินเฉิงก็หยิบบุหรี่ออกมา แล้วหยิบไฟแช็กที่สวยงามมาก ๆ ขึ้นมาจุดไฟ จากนั้นวางไฟแช็กลงบนโต๊ะโดยหันมันไปทางทุกคน
เหล่าเพื่อน ๆ พอเห็นไฟแช็กอันนี้ก็ตาโตกันใหญ่
“ประธานหลี่นี่มันไฟแช็กของCartierใช่มั้ย?”
ไฟแช็กของCartierอันนี้ เป็นไฟแช็กที่มีชื่อเสียงมากเป็นของแบรนด์เนม ทำมาจากทองคำ18k ด้านบนมีอัญมณีฝังไว้อย่างประณีต ราคาน่าจะประมาณห้าหมื่น
ไฟแช็กราคาอันละห้าหมื่นเชียวนะ มันถือว่าหรูหรามาก ๆ
ถึงแม้ว่าเงินจำนวนห้าหมื่น จะไม่ได้มากมายอะไร แต่มันเป็นแค่ไฟแช็กเท่านั้นเอง
โดยปกติแล้ว ถ้าหากจะใช้เงินห้าหมื่นซื้อของแบรนด์เนมสักชิ้น คนส่วนใหญ่ก็เลือกที่จะซื้อกระเป๋า เข็มขัด เครื่องประดับ นาฬิกา พวกของราคาแพง
ถ้าหากใช้เงินห้าหมื่นเพียงเพื่อซื้อไฟแช็กอันเดียว ก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่า เครื่องประดับอื่น ๆ บนตัวของเขาก็ต้องเป็นของแพง ๆ ทั้งนั้น
เครื่องประดับราคาห้าหมื่นนั้นเห็นได้บ่อย ๆ แต่ไฟแช็กอันละห้าหมื่นนั้นแทบไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
หลี่จินเฉิงยิ้มบาง ๆ
“เธอรู้เยอะดีนี่?ถูกต้องแล้วนี่คือไฟแช็กของCartier เป็นรุ่นลิมิเต็ด เอดิชั่น ราคาห้าหมื่นกว่าบาทฉันซื้อมาจากเมืองนอก”
พูดจบหลี่จินเฉิงก็หมุนไฟแช็กในมือ โชว์ฝีไม้ลายมือ เปิดไฟแช็กแล้วควงสะบัดไปมา
เปลวไฟสีเหลืองทองก็ลุกโชนขึ้นมาสวยงามมาก ๆ
ทุกคนต่างแสดงสีหน้าชื่นชม
“ไฟแช็กอันละห้าหมื่น……เจ๋งสุด ๆ เงินห้าหมื่นนี่ฉันซื้อสกู๊ตเตอร์ได้คันหนึ่งเลยนะ”
“สมกับเป็นประธานหลี่จริง ๆ เลยนะ แบบนี้สิเป็นสีสันของชีวิต”