พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 106 เหตุการณ์เดิม
ตอนที่ 106 เหตุการณ์เดิม
เมื่ออันหลิงเกอได้ยินคำกล่าวของเจียงหนิง นางก็หันไปมองอีกฝ่ายจนเป็นเหตุให้เจียงหนิงรู้สึกผิดที่ตนมิรู้ความจริงแต่กล่าวว่าอันหลิงเกอผลักอันหลิงเฉว่เสียได้ “คุณหนูเจียงมีฐานะเป็นถึงหลานสาวท่านราชครู เวลากล่าวอันใดออกมาต้องนึกถึงหลักฐานเสียก่อน เจ้าบอกว่าข้าผลักน้องหญิงรอง แล้วมีผู้ใดเห็นว่าข้าทำจริง ? ”
อันหลิงเกอกล่าวเสียงเรียบนิ่งพร้อมยกมุมปากขึ้น ท่าทีสงบเยือกเย็นจนทำให้อันหลิงเฉว่รู้สึกหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม
“ถ้าเรื่องมิได้เป็นเยี่ยงนั้น อาศัยแค่การคาดเดาของคุณหนูเจียงแล้วให้ข้าโดนใส่ร้ายจนมิเหลือที่ยืน จักมิเกินไปหน่อยหรือ”
ในที่สุดน้ำตาของอันหลิงเฉว่ก็ล่วงหล่นอาบแก้ม แววตาเต็มไปด้วยความคับข้องใจ “พี่หญิงใหญ่ผลักข้าจริงหรือไม่ก็ช่างเถิด แต่เหตุใดท่านต้องดึงคุณหนูเจียงเข้ามาเกี่ยวด้วย ? คุณหนูเจียงแค่รู้สึกเจ็บแทนข้าจนทนดูมิได้ นางจึงช่วยกล่าวแทนข้า แค่นี้ก็มิได้เลยหรือเจ้าคะ ? ”
“คุณหนูเจียงคงรู้สึกเจ็บแทนน้องหญิงรองจริง ๆ ” อันหลิงเกอพยักหน้าเห็นด้วย แต่ทันใดนั้นก็กล่าวออกมาพร้อมแววตาเย็นชา “ทั้งที่ข้อเท้าของน้องหญิงรองมิดี เมื่อครู่จึงเกือบล้ม เพิ่งทรงตัวได้มิเท่าไรก็ทำให้ข้าต้องล้มลงด้วย อายุน้อยก็ป่วยเป็นโรคเยี่ยงนี้เสียแล้ว ช่างน่าสงสารเสียจริง”
ที่แท้ก็เพราะปัญหาที่ข้อเท้าของอันหลิงเฉว่เองหรือ ?
เจียงหนิงครุ่นคิดตามคำกล่าวของอันหลิงเกอ ผ่านไปครู่หนึ่งนางก็เผยใบหน้าเข้าใจออกมา
ก็ว่าเหตุใดตอนที่นางกำลังชมดอกไม้ อยู่ ๆ ก็เห็นอันหลิงเกอและอันหลิงเฉว่ล้มลงพร้อมกัน ที่แท้สาเหตุก็มาจากปัญหาตรงข้อเท้าของอันหลิงเฉว่จึงเป็นเหตุให้อันหลิงเกอที่อยู่ด้านข้างพลอยล้มตามไปด้วย
เมื่อเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วเจียงหนิงก็รู้สึกลำบากใจ จากนั้นจึงถอยห่างออกจากอันหลิงเฉว่เล็กน้อย
โดยคิดว่าถ้าอาการป่วยของอันหลิงเฉว่กำเริบขึ้นมาอีก อาจทำให้ตัวนางล้มไปด้วย มิแน่พอถึงตอนนั้นคนที่โดนหนามตำอาจเป็นนางแทน
“ข้าต้องขออภัยที่เข้าใจคุณหนูใหญ่อันผิดไป หวังว่าคุณหนูใหญ่จักมิถือสาข้า” เมื่อได้ฟังคำกล่าวเยี่ยงนี้จากปากเจียงหนิง อันหลิงเกอก็ทำเพียงฉีกยิ้มให้นางและมิได้กล่าวอันใด
ทางด้านอันหลิงเฉว่กัดฟันด้วยความโมโห แต่ใบหน้ายังอ่อนโยนดังเดิม แม้แต่คำด่าก็ทำได้เพียงด่าในใจ เป็นเหตุให้นางรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก
อันหลิงเฉว่ใช้ชีวิตด้วยความราบรื่นมาโดยตลอด แม้เติบโตขึ้นมาในเรือนบรรพบุรุษหลังเล็ก แม้ภายนอกดูเป็นคนอ่อนโยน แต่ที่จริงมีนิสัยมักใหญ่ใฝ่สูงและเย่อหยิ่ง
เมื่อนางต้องมาอับอายต่อหน้ามู่จวินฮาน ทั้งยังเป็นแผลที่ใบหน้าอีก นางจักอดกลั้นได้เยี่ยงไร ? สุดท้ายนางจึงไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
…
ณ เรือนชิงเฟิง ฮูหยินผู้เฒ่ามองใบหน้าของอันหลิงเฉว่แล้วก็รู้สึกปวดใจ “หลานรักของย่า เจ้าเพิ่งไปเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูวันแรก เหตุใดจึงเจ็บตัวมาเยี่ยงนี้ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองใบหน้าของอันหลิงเฉว่ทั้งซ้ายและขวา รู้สึกเพียงว่านางมิได้รับความเป็นธรรมจึงรีบสั่งสาวใช้คนสนิทไปนำยาทาแผลชั้นดีออกมาเพราะกลัวว่าอันหลิงเฉว่จักมีรอยแผลเป็นบนใบหน้า
อันหลิงเฉว่ร้องไห้ด้วยความอัปยศอยู่พักหนึ่งแล้วรับยาทาแผลมาพร้อมเสียงสะอึกสะอื้น จากนั้นก็เผยรอยยิ้มมุมปากร้ายกาจออกมา กล่าวว่า “ขอบคุณท่านย่าเจ้าค่ะ นอกจากท่านแม่แล้วในจวนโหวแห่งนี้ก็มีแค่ท่านย่าที่รักเฉว่เอ๋อ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินเยี่ยงนั้นก็รู้สึกว่ามีอันใดมิถูกต้อง เป็นเหตุให้ใบหน้านิ่งขรึมขึ้นมา “เฉว่เอ๋อบอกมาเถิดว่าแผลบนใบหน้าของเจ้าเกิดได้เยี่ยงไร ? ”
“เรื่องนี้มิเกี่ยวกับพี่หญิงใหญ่เลยเจ้าค่ะ” อันหลิงเฉว่รีบตอบและทำราวกับตนกล่าวอันใดผิดจึงรีบก้มหน้าทันที “ท่านย่า เรื่องนี้เฉว่เอ๋อผิดเอง ท่านย่าอย่าสืบสาวเอาความต่อเลยเจ้าค่ะ”
จักมิให้สืบสาวเอาความได้เยี่ยงไร !
ในเมื่อมองใบหน้าที่โดนหนามตำของอันหลิงเฉว่แล้วทำให้ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเต็มไปด้วยโทสะ “ย่าหลงคิดว่านางเป็นคนดี ที่แท้ก็ทำตัวดีเพียงในจวน พอออกนอกจวนก็รังแกพี่น้อง”
ฮูหยินผู้เฒ่ากระแทกไม้เท้าในมือลงพื้นเสียงดังลั่น จากนั้นก็หันไปสั่งสาวใช้ให้ไปตามอันหลิงเกอมาพบ “เจ้าไปเรียกคุณหนูใหญ่มาเดี๋ยวนี้ ข้าจักถามนางว่าดูแลน้องเยี่ยงไร ! ”
สาวใช้รู้ว่าฮูหยินผู้เฒ่ากำลังโมโหอยู่จึงมิรอช้ารีบออกเดินทางไปยังเรือนฉีอู๋ทันที
“คารวะท่านย่าเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอคำนับฮูหยินผู้เฒ่า
แต่นางกลับเค้นเสียงดัง ฮึ ! ออกมาและกล่าวด้วยใบหน้ามิพอใจ “ลุกขึ้น ปกติข้าเห็นเจ้าเป็นเด็กรู้ความ แต่บัดนี้มิรู้ว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่ ? ”
อันหลิงเกอก้มหน้าราวกับมิเข้าใจในคำถากถางของฮูหยินผู้เฒ่า
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นท่าทีนิ่งเฉยของอันหลิงเกอจึงเค้นเสียงดัง ฮึ ! ออกมาอีกครั้ง “เจ้าว่ามาสิ แผลบนใบหน้าเฉว่เอ๋อได้มาเยี่ยงไร ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจผิดว่าอันหลิงเกอและอันหลิงเฉว่สนิทกันที่สุด แต่ผู้ใดจักรู้ว่าเพิ่งไปเรียนที่สำนักศึกษาจิงตูวันแรก อันหลิงเฉว่ก็บาดเจ็บเสียแล้ว อีกทั้งอันหลิงเกอยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับการบาดเจ็บนี้ด้วย !
อันหลิงเกอก้มหน้าก้มตาทำให้มิเห็นสีหน้าอย่างชัดเจน
เมื่อได้ฟังฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม นางจึงเล่าเรื่องที่ได้อธิบายต่อเจียงหนิงที่สำนักศึกษาให้ฮูหยินผู้เฒ่าฟัง แต่ฮูหยินเฒ่ามิเชื่อแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโหกว่าเดิม “พูดจาเหลวไหล ! ข้าอยู่กับเฉว่เอ๋อมาสิบกว่าปี มิเคยเห็นการเคลื่อนไหวของนางมีปัญหา นางจักมีปัญหาที่ข้อเท้าได้เยี่ยงไร ? ”
“หากน้องหญิงรองมิได้มีปัญหาที่ข้อเท้า เหตุใดเมื่อเห็นมู่ซื่อจื่อแล้ว นางจึงยืนมิอยู่เจ้าคะ ? ท่านมู่ซื่อจื่อต้องช่วยประคอง นางถึงยืนขึ้นมาได้ ”
ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามิเชื่อในสิ่งที่ตนกล่าวและมีใจปกป้องอันหลิงเฉว่ นางเองก็มิยอมแพ้จึงเผยความคิดของอันหลิงเฉว่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าตามตรง
“ก่อนหน้านี้ท่านย่ามิรู้ว่านางเป็นโรคเช่นนี้ แต่ในเมื่อรู้แล้วท่านย่าควรเชิญหมอมารักษานางดีกว่า ต่อไปนางจักได้มิเป็นโรคอันใดอีกเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้าซีดเผือด นางจักมิเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอได้อย่างไร ความหมายที่ว่าคืออันหลิงเฉว่ไร้ความละอาย คิดยั่วยวนว่าที่สามีของพี่สาว เช่นนั้นก็ให้ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งสอนมารยาทอันหลิงเฉว่ให้ดี ต่อไปจักได้มิทำขายหน้าอีก
ฮูหยินผู้เฒ่ามิเคยรู้มาก่อนว่าอันหลิงเฉว่มีความคิดเยี่ยงนี้ นางจึงหันไปมองก็พบว่าอันหลิงเฉว่ก้มหน้าก้มตาด้วยความรู้สึกผิด ท่าทางเยี่ยงนี้ยืนยันได้ว่าคำกล่าวของอันหลิงเกอเป็นความจริงอย่างแน่นอน
“เด็กคนนี้…” ฮูหยินผู้เฒ่าชี้หน้าอันหลิงเฉว่ จักด่าก็ด่ามิลง จักตีก็ตีมิได้ หลานสาวที่เฝ้าถนอมมาตั้งแต่เยาว์วัย จักปล่อยให้โดนลงโทษอย่างรุนแรงได้หรือ?
อันหลิงเฉว่ก้มหน้าก้มตาอย่างเชื่อฟังและรีบพูดสำนึกผิด “ท่านย่า เฉว่เอ๋อผิดไปแล้ว เฉว่เอ๋อแค่เห็นมู่ซื่อจื่อหน้าตาหล่อเหลาจึงหลงลืมตัวไปชั่วขณะ วันหน้าหลานจักมิทำผิดซ้ำสองแน่นอนเจ้าค่ะ”
อันหลิงเฉว่มิได้บอกว่าตนสนใจฐานะตำแหน่งของมู่จวินฮานมานานแล้ว แต่บอกเพียงว่าหลงใหลในความหล่อเหลาของมู่จวินฮานไปชั่วขณะเท่านั้น แต่มันทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าคลายโทสะลงได้ จากนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจึงกล่าวปกป้องอันหลิงเฉว่
“ในเมืองหลวงมีสตรีมากมายที่ชื่นชอบและหลงใหลในตัวมู่ซื่อจื่อ เกอเอ๋อก็ทราบเรื่องนี้ดี เฉว่เอ๋อก็คงเหมือนพวกนางที่รู้สึกชื่นชอบมู่ซื่อจื่อเท่านั้น เฉว่เอ๋ออายุยังน้อยย่อมมิรู้ความ เจ้าอย่าเอาเรื่องนี้มาทำร้ายนางเลย อีกทั้งเฉว่เอ๋อก็ได้รับบาดเจ็บบนใบหน้า หากเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วมีรอยแผลบนใบหน้าเยี่ยงนี้บ้าง ในอนาคตเจ้าจักทำเยี่ยงไรเล่า ? ”
อันหลิงเกอเพิ่งเคยสัมผัสความลำเอียงจากฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคราแรก นางยอมเปิดเผยความคิดของอันหลิงเฉว่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่าชัดเจนแล้ว แต่ฮูหยินเฒ่าก็ทำมองมิเห็นแล้วหาข้ออ้างที่ว่าอันหลิงเฉว่อายุยังน้อยจึงมิรู้ความมาถามเอาผิดนางเสียได้
อันหลิงเกอรู้สึกผิดหวัง เดิมทีนางคิดว่าถึงแม้ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงรักอันหลิงเฉว่มากกว่า แต่ก็รู้ผิดชอบชั่วดี ทว่าตอนนี้นางมองผิดไป
อันหลิงเกอเงยหน้า ดวงตาสีดำสดใสมองตรงไปยังฮูหยินผู้เฒ่าแล้วกล่าวว่า “ท่านย่ารู้ได้เยี่ยงไรว่าน้องหญิงรองมิได้จงใจสร้างเรื่องเพื่อใส่ร้ายหลาน ทว่าดันโยนก้อนหินใส่เท้าตนเองแทน”