พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 110 ที่มา
ตอนที่ 110 ที่มา
“เป็นไปได้เยี่ยงไรเจ้าคะ ? ” ปี้จูร้องออกมาด้วยความตกตะลึง ใบหน้าที่เรียบนิ่งมาโดยตลอดของหมิงซินก็เผยให้เห็นความประหลาดใจเช่นกัน
“เมื่อยานั้นสัมผัสโดนผิวหนังก็จักซึมเข้าร่างกายทันที หลี่อี๋เหนียงทายาไว้ที่ฝ่ามือและจงใจเข้าใกล้ข้าเพื่อวางยา” นัยน์ตาสีนิลของอันหลิงเกอฉายแววเย็นชาเล็กน้อย “นางรู้ว่าเยี่ยงไรข้าต้องระแวงอย่างแน่นอน นางจึงหยิบครีมบำรุงตลับนี้ออกมาเพื่อดึงดูดความสนใจของข้า วิธีหลอกล่อเยี่ยงนี้แพรวพราวเสียจริง”
“ถ้าเป็นเยี่ยงนั้น ฮูหยินรองจักมิถูกพิษไปด้วยหรือเจ้าคะ ? ” ปี้จูมิเข้าใจจึงเอ่ยถาม ในเมื่อฮูหยินรองเกลียดคุณหนูถึงเพียงนี้ นางจักยอมให้ตนถูกพิษเพื่อทำร้ายคุณหนูได้เยี่ยงไร ?
หลี่อี๋เหนียงมิโง่ให้ตนโดนพิษอยู่แล้ว
เมื่อปี้จูเอ่ยถาม สายตาของอันหลิงเกอก็หยุดอยู่ที่ครีมตลับนั้นพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มเจ้าเล่ห์ “หลี่อี๋เหนียงทาครีมนี้ไว้บนมือแล้วต่อมาก็ทายาพิษลงไป ขอเพียงกลับไปที่เรือนแล้วล้างมือให้สะอาด นางก็จักมิเป็นอันใด”
โชคดีที่เมื่อชาติก่อนอันหลิงเกอบังเอิญคารวะอาวุโสเหลาแห่งหุบเขาโอสถเป็นอาจารย์แล้วได้เรียนวิชาแพทย์และพิษไว้ติดกาย มิเช่นนั้นคงติดกับดักของหลี่ซื่อเข้าจริง ๆ
อันหลิงเกอให้หมิงซินนำผ้าและยาเข้ามา จากนั้นก็ให้ทาครีมบางๆ ที่หน้าผากของนาง “หลี่อี๋เหนียงคิดว่าข้ามิใช้ครีมที่นางมอบให้อย่างแน่นอน นางจึงมอบยาแก้พิษให้ข้าโดยตรง นางคงรอให้ใบหน้าข้ามีรอยแผลเป็นแล้วค่อยมาหัวเราะเยาะภายหลัง”
ขณะทายาให้อันหลิงเกออย่างระมัดระวัง หมิงซินก็สังเกตครีมตลับนั้นไปด้วย “ครีมบำรุงนี้มิผสมของแปลกปลอมเลยหรือเจ้าคะ มันคือยาแก้พิษจริงหรือเจ้าคะ ? ”
ส่วนผสมของยาซับซ้อนยิ่งกว่าสิ่งใด มิสามารถอธิบายได้ในเวลาชั่วครู่ เมื่อได้ยินหมิงซินเอ่ยถาม อันหลิงเกอก็ทำเพียงคลี่ยิ้มและมิได้กล่าวอันใดออกมา ส่วนหมิงซินก็มิได้เอ่ยถามอันใดอีก
เช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเกอต้องไปเรียนที่สำนึกศึกษาจิงตู เมื่อมองรอยแผลจาง ๆ บนหน้าผากของอันหลิงเกอ ปี้จูก็ขมวดคิ้วอย่างมิพอใจ “ฮูหยินผู้เฒ่าลงมือแรงไปแล้ว ถ้าบาดแผลนี้ทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนใบหน้าคุณหนูก็จักเป็นปัญหาไปทั้งชีวิตเจ้าค่ะ”
แม้แต่สาวใช้เยี่ยงปี้จูยังรักหน้าตาตนเองมาก แต่ฮูหยินผู้เฒ่าลงมือกับหลานสาวแท้ ๆ รุนแรงถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่น่าผิดหวังเหลือเกิน
อันหลิงเกอนั่งอยู่หน้ากระจกแล้วจ้องมองปี้จูผ่านกระจก ใบหน้าของปี้จูกำลังแสดงความมิพอใจออกมา อันหลิงเกอจึงกล่าวกับปี้จูว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อความมั่นคงในตำแหน่งโหวของท่านพ่อ ท่านย่าต้องกลับไปใช้ชีวิตอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษตั้งสิบกว่าปี อย่าว่าแต่ท่านโมโหแล้วทำร้ายข้าเลย แม้ท่านย่าจักสั่งโบยข้าหลายสิบไม้โดยไร้เหตุผล ข้าก็ต่อว่าท่านมิได้”
ตอนที่ท่านโหวคนก่อนสิ้นชีพ ฮูหยินผู้เฒ่ามีอันอิงเฉิงเป็นบุตรชายคนโต แต่ก็มีบุตรชายคนรองและบุตรชายคนที่สามอยู่เช่นกัน พวกท่านจักมิหวั่นไหวกับตำแหน่งโหวได้หรือ ?
เพราะการกระทำอย่างเด็ดเดี่ยวของฮูหยินผู้เฒ่า นางได้เข้าวังเพื่อทูลขอองค์ไทเฮาให้
มีราชโองการแต่งตั้งอันอิงเฉิงเป็นท่านโหวคนใหม่และนางกลัวว่าบุตรชายอีก 2 คนจักมิพอใจจึงพาพวกเขากลับไปอยู่เรือนบรรพบุรุษ เพื่อมิให้ก่อความวุ่นวายในเมืองหลวง
บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ อันอิงเฉิงย่อมจำฝังใจ และนางในฐานะบุตรสาวคนโตของอันอิงเฉิงจักมีหน้าไปต่อว่าฮูหยินผู้เฒ่าได้เยี่ยงไร ?
ปี้จูได้ฟังกล่าวของอันหลิงเกอก็พอเข้าใจเพราะทราบมานานแล้วว่าฮูหยินผู้เฒ่า
มีส่วนช่วยเหลือจวนโหวอย่างมากมาย แต่พอลองคิดแล้ว นางก็ยังรู้สึกหงุดหงิดอยู่ดี “ฮูหยินผู้เฒ่าลำเอียงรักคุณหนูรองมากกว่า ต่อไปคุณหนูรองมิวางอำนาจต่อหน้าคุณหนูหรอกหรือเจ้าคะ ? ”
ปี้จูจำได้ว่าตอนคุณหนูรองเพิ่งเข้าจวนก็ให้ถุงเงินที่มีกลิ่นชะมดแก่คุณหนูใหญ่แล้ว
คนร้ายลึกเยี่ยงนี้กลับมีฮูหยินผู้เฒ่าคอยหนุนหลัง แล้วนางจักมิรังแกคุณหนูของตนถึงตายเลยหรือ
“ผู้ใดจักคาดเดาความคิดท่านย่าได้เล่า” อันหลิงเกอกล่าวเสียงแผ่วเบา ทันใดนั้นก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงรีบบอกให้ปี้จูหยุดมือที่กำลังประทินโฉมให้ตน “ปี้จู เจ้าไปเอาเครื่องประดับผมที่มีจี้คริสตัลที่ซื้อมาจากฝั่งตะวันตกมาหน่อย”
ปี้จูรีบเดินไปที่กล่องเครื่องประดับแล้วหยิบเครื่องประดับผมชิ้นนั้นมาให้อันหลิงเกอ จี้คริสตัลที่แขวนอยู่จึงสามารถปิดบังรอยแผลบาง ๆ บนหน้าผากได้พอดี
เมื่อวานนางทะเลาะกับอันหลิงเฉว่ วันนี้อันหลิงเกอจึงมิเห็นอีกฝ่ายมายืนรอที่หน้าประตูจวน อันหลิงเกอคิดว่าบางทีอันหลิงเฉว่คงนั่งรถม้าไปที่สำนักศึกษาจิงตูแล้ว
อันหลิงเกอมิได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจเพราะเดิมทีทั้งสองคนก็เดินกันคนละทางอยู่แล้ว แต่เพื่อแสดงให้เห็นมิตรภาพอันบอบบาง นางจึงเสแสร้งมานานถึงเพียงนี้ แน่นอนว่าอันหลิงเกอก็ค่อนข้างเบื่อกับมันแล้ว
ในเมื่อตอนนี้อันหลิงเฉว่มิได้เก็บซ่อนความคิดไว้ มิได้เสแสร้งทำเป็นพี่น้องที่รักใคร่ยิ่งกว่าอันใด เช่นนั้นอันหลิงเกอจักได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นสุขและมีอิสระเสียที
เมื่อมาถึงสำนักศึกษาจิงตู อันหลิงเกอก็ลงจากรถม้าแล้วเดินเข้าสำนึกศึกษา แต่ยังมิทันเดินมาถึงที่นั่งของตน ก็เห็นคุณหนูคนหนึ่งชี้นิ้วมาทางตนและพูดพึมพำสักอย่าง
อันหลิงเกอทำเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อยแต่มิได้กล่าวอันใดออกมา นางเดินไปนั่งประจำที่ของตน
หลังจากคุณหนูคนนั้นเห็นอันหลิงเกอเดินเข้ามาก็มิได้เก็บอาการอันใด แต่กล่าวออกมาเสียงดังกว่าเดิม
“มิรู้ด้วยเหตุอันใดฮ่องเต้จึงเปิดสำนึกศึกษาจิงตูนี้ขึ้นมา ทำให้ข้าต้องมานั่งเรียนรวมกับผู้มิบริสุทธิ์เช่นนี้ ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง”
อันหลิงเฉว่ที่นั่งอยู่ข้างกายคุณหนูผู้นั้นรีบดึงชุดนางทันทีแล้วแสร้งกล่าวออกมา “ซิ่นซิ่นหยุดกล่าวได้แล้ว การที่ทุกคนได้มาเรียนก็ถือว่ามีวาสนาต่อกันทั้งนั้น”
“ผู้ใดอยากมีวาสนากับนางกันเล่า ? ” ฉวีซิ่นกล่าวออกมาพร้อมเค้นออกจากลำคอดัง ฮึ! เดิมทีนางก็มีใบหน้าร้ายกาจอยู่แล้ว ในตอนนี้ใบหน้ายังเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเย็นชาอีก “นางเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหวแต่ปฏิบัติต่อญาติผู้น้องเยี่ยงนี้ ช่างมิมีความดีที่สตรีชั้นสูงควรมีสักนิด ถ้ามิใช่เพราะนางคิดว่าตนมีฐานะสูงกว่าเจ้า นางจักกล้ารังแกเจ้าหรือ ? ”
เห็นได้ชัดว่าคุณหนูผู้นี้กำลังกล่าวหาและพุ่งเป้ามาที่อันหลิงเกอ เมื่ออันหลิงเกอได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองและพบว่าเป็นคุณหนูผู้หนึ่งที่มิคุ้นหน้าเอาเสียเลย อันหลิงเกอมิเคยคบหากับนางมาก่อน แต่เมื่อวานที่อาจารย์เติ้งกล่าวแนะนำถึงได้รู้ว่าคุณหนูผู้นี้มีแซ่ฉวี
ดูเหมือนว่าอันหลิงเฉว่สนิทสนมกับนางมาก แม้อันหลิงเฉว่พูดห้ามแต่ใบหน้ามิได้เป็นเยี่ยงนั้นเลย
เมื่อเห็นเยี่ยงนั้น อันหลิงเกอจึงกวาดสายตามองโดยรอบพร้อมมุมปากที่ยกยิ้มขึ้นอย่างเย็นชา “คุณหนูฉวี หากข้าจำมิผิดคือข้ากับท่านมิเคยคบหากันมาก่อน แล้วเหตุใดท่านต้องพุ่งเป้ามาที่ข้าเยี่ยงนี้ ? ”
สายตาของฉวีซิ่นจ้องมองไปทางอันหลิงเกอราวกับมองคนบาปที่มิอาจยกโทษให้ได้ ริมฝีปากบางยกขึ้น พลันใบหน้าอันงดงามของอันหลิงเกอก็เข้าสู่สายตาของนาง เป็นเหตุให้นางเผยแววตาอิจฉาริษยาออกมาแต่แสร้งทำใบหน้าน่าเกรงขามดังเดิม “ใบหน้าของเจ้าช่างหนายิ่งนัก ข้าคิดว่าพอเจ้าทำเรื่องเช่นเมื่อวานแล้ว วันนี้เจ้าคงมิกล้ามาเรียนที่สำนึกศึกษาเสียอีก แต่กลายเป็นว่าเจ้าหน้ามิอายจนข้าคาดมิถึง”
คำก็กล่าวหาว่าอันหลิงเกอมิบริสุทธิ์ สองคำก็บอกว่าอันหลิงเกอหน้ามิอาย ทำให้อันหลิงเกอรู้สึกหงุดหงิดยิ่งนัก เป็นเหตุให้ในแววตาเต็มไปด้วยความเย็นชา
“เช้าเพียงนี้ ทว่าคุณหนูฉวีมากล่าวว่าข้ามิบริสุทธิ์และหน้ามิอาย มิทราบว่าข้าทำอันใดให้เจ้ากันแน่ ? ” อันหลิงเกอลุกขึ้นและเดินไปหาฉวีซิ่น
อันหลิงเกอตัวสูงกว่าคุณหนูทั่วไปเล็กน้อย เมื่อมายืนอยู่ตรงเบื้องหน้าฉวีซิ่นจึงทำให้นางรู้สึกกดดัน
สายตาทุกคนในห้องเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น ราวกับกำลังดูละครฉากเด็ดอยู่
ฉวีซิ่นก็คาดมิถึงว่าอันหลิงเกอจักกล้าเดินมาสู้กับตนแบบซึ่งหน้า