พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 116 พ้นผิด
ตอนที่ 116 พ้นผิด
ฮูหยินผู้เฒ่าที่ได้ฟังอันหลิงอียอมรับว่าซื้อตัวคนเลี้ยงม้าในสำนักศึกษาจึงยิ้มออกมาอย่างเย็นชา “ข้ามิรู้เลยว่าอีเอ๋อจักมีฝีมือเยี่ยงนี้ด้วย ซื้อคนเลี้ยงม้าให้วางยาม้าเพื่อทำร้ายพี่สาวตนเอง หลังก่อเรื่องแล้วก็ยังหาข้อแก้ตัวได้เยี่ยงนี้อีก ข้าเกือบหลงเชื่อคำกล่าวของเจ้าแล้ว ! ”
คราวนี้ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธมากจริง ๆ อันหลิงอีพยายามหาข้อแก้ตัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า บอกว่าตนโดนปรักปรำและมันเป็นเพียงความบังเอิญที่เกือบทำให้อันหลิงเกอถึงแก่ชีวิต
“เหตุบังเอิญที่น้องหญิงสามกล่าวช่างน่ากลัวยิ่งนัก”
อันหลิงเฉว่เอ่ยและทำท่าทางหวั่นวิตก คล้ายกังวลว่าตนก็จักโดนอันหลิงอีสังหารเช่นกัน “เป็นเยี่ยงที่พี่หญิงใหญ่กล่าวว่าเจ้าทำเพื่อให้ตนดูดีแต่เกือบฆ่าพี่หญิงใหญ่ ในตอนที่ท่านย่าถามเจ้ายังคิดปกปิด ทำให้เห็นว่าเจ้ามิได้สำนึกผิดจากใจจริง”
การที่อันหลิงเฉว่พูดช่วยอันหลิงเกอในเวลานี้ ราวกับว่านางมิได้เก็บเรื่องที่ทั้งสองทะเลาะกันมาใส่ใจ
ผู้ใดจักล่วงรู้ว่าอันหลิงเฉว่แค่ใช้โอกาสนี้ซ้ำเติมและเหยียบย่ำอันหลิงอีเท่านั้น
อันหลิงเกอก็มีท่าทางเคร่งขรึม ใบหน้างดงามมิได้เปื้อนไปด้วยความโศกเศร้าแต่อย่างใด มีเพียงความกังวลเล็กน้อยเท่านั้น “น้องหญิงสามมุทะลุจนเกือบทำให้คนตายในสำนักศึกษาจิงตูและเป็นเหตุให้การทดสอบหยุดลง ตอนนี้มิได้เป็นเรื่องของข้าคนเดียวแล้ว ทว่าเป็นเรื่องของจวนโหว หากฮ่องเต้ทราบว่าคนที่อยู่เบื้องหลังคือน้องหญิงสาม แล้วจวนโหวของพวกเราอาจโดนลงโทษไปด้วย”
จักผิดจากนี้ไปได้หรือ ?
ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกโกรธยิ่งสิ่งใด หากมิเป็นเพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮ่องเต้ นางคงมิเรียกเฉว่เอ๋อมาด้วย นี่ก็เพราะนางอยากเตือนทุกคนสักครั้งว่ามิควรก่อเรื่องอันใดขึ้นมาอีก
“เรื่องนี้มิได้ร้ายแรงเยี่ยงที่พี่หญิงกล่าวเสียหน่อย” อันหลิงอีเกลียดชังการซ้ำเติมของอันหลิงเฉว่และขบกรามแน่นเพราะเกลียงชังอันหลิงเกอเช่นกัน
อันหลิงอีอยากกล่าวมากกว่านี้ ทว่ามารดาเคยบอกไว้ว่าให้นางทำตัวเป็นเด็กดีต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า แสร้งทำเป็นหลานสาวที่ดีแม้จักคว้าใจฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ แต่ก็ช่วยเลี่ยงมิให้ฮูหยินผู้เฒ่ารังเกียจ ตอนนี้นางจึงมิกล้าแม้แต่แสดงท่าทีโกรธเกรี้ยวออกมาด้วยซ้ำ
“มิได้ร้ายแรงงั้นหรือ ? ” ฮูหยินผู้เฒ่าถามกลับ ขณะเดียวกันก็ฉีกยิ้มด้วยความโมโห มิว่ามองเยี่ยงไรใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าก็ดูมิดีเลย
“นี่คือสำนักศึกษาจิงตูที่ฮ่องเต้ทรงออกพระราชโองการพิเศษจัดตั้งขึ้นมาและยังรวมบุตรหลานตระกูลชั้นสูงทั้งหมดในเมืองหลวงเอาไว้ ตั้งแต่จวนขุนนางคนสำคัญในราชสำนักจนถึงเชื้อพระวงศ์ มีผู้ใดมิมาจากครอบครัวอันทรงเกียรติบ้าง ? ตอนนี้เจ้ากลับทำตัวดีเหลือเกิน ฮึ ให้คนวางยาม้าจนเป็นเหตุให้การทดสอบหยุดลง แล้วพวกอาจารย์จักมิเอาเรื่องนี้ทูลรายงานฮ่องเต้ได้เยี่ยงไร ? ฮ่องเต้จักมิส่งคนมาสืบหรือ ? เมื่อสาวมาถึงตัวเจ้าก็ต้องทำให้จวนโหวของพวกเราลำบากไปด้วย ! ”
ในบรรดาคุณหนูมิกี่คนในจวนโหว มีเพียงเกอเอ๋อเท่านั้นที่มองเรื่องนี้ออกอย่างแท้จริง ลูกอนุภรรยาเยี่ยงอันหลิงอีก็อารมณ์ร้อนจนมิสามารถควบคุมโทสะของตนได้ ส่วนเฉว่เอ๋อก็เติบโตมาในบ้านบรรพบุรุษที่ห่างไกลความเจริญจึงมิรู้ถึงความน่ากลัวและความยิ่งใหญ่ของอำนาจจักรพรรดิ
สุดท้ายก็ทำให้รู้ว่าคุณหนูใหญ่แห่งจวนอ๋องอันช่างแตกต่างจากคุณหนูคนอื่นทั้งด้านความคิดและวิสัยทัศน์จึงทำให้นางโดดเด่นกว่าผู้ใด
ฮูหยินผู้เฒ่าคิดได้เยี่ยงนี้ก็ถอนหายใจออกมา นางรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจในเวลาเดียวกัน
ส่วนอันหลิงเหมิงมีตัวตนอยู่ก็ราวกับมิมีอยู่จริง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมิสนใจแต่อย่างใด
“ท่านย่า หลานมีทางออกอยู่ทางหนึ่งที่จักทำให้จวนโหวหลุดออกจากเรื่องนี้ได้เจ้าค่ะ” อันหลิงเกอพูดขึ้นมา
ทันใดนั้นสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าก็หันมาทางอันหลิงเกอ “เจ้ามีวิธีอันใดก็กล่าวมาได้เลย” แม้ฮูหยินผู้เฒ่าจักกล่าวเยี่ยงนี้ ทว่าแท้ที่จริงนางก็มิได้คาดหวังต่อวิธีการของอันหลิงเกอ
เพราะอันหลิงอีเป็นคนทำเรื่องนี้ จวนโหวก็ต้องเข้าไปมีส่วนร่วมด้วยแน่นอน เพียงแต่บทลงโทษจากฮ่องเต้จักหนักหรือเบาก็เท่านั้น
อันหลิงเกอมองไปทางอันหลิงอีแล้วฉีกยิ้ม “แม้รู้แล้วว่าเรื่องนี้น้องหญิงสามกระทำ ทว่าตอนนี้มีแค่พวกเราที่รู้ความจริง ผู้อื่นยังมิทราบเรื่องและพวกเราสามารถใช้ช่องว่างนี้ผลักปัญหาไปไว้บนตัวผู้อื่นได้เจ้าค่ะ”
“ผลักปัญหาให้ผู้อื่น พี่หญิงใหญ่ก็กล่าวง่ายเกินไปหรือไม่เจ้าคะ ? ” อันหลิงเฉว่เถียงออกมา จากนั้นก็แสดงสีหน้าเหลือทน “อย่าเพิ่งกล่าวว่าจักผลักปัญหาไปไว้บนตัวผู้อื่นสำเร็จหรือไม่ แม้พี่หญิงใหญ่มีวิธีทำให้คนบริสุทธิ์ตกเป็นแพะรับบาปได้ แต่ท่านมินึกถึงจุดจบของผู้บริสุทธิ์บ้างหรือเจ้าคะ ? ”
นี่เป็นการแสดงของอันหลิงเฉว่เพื่อให้เห็นว่าบนโลกใบนี้มีเพียงนางเท่านั้นนึกถึงใจผู้อื่น เป็นเหตุให้อันหลิงเกอที่มองอยู่ถึงกับฉีกยิ้มเย็นชา แต่ใบหน้ามิแสดงอารมณ์อันใดออกมา เพียงแสร้งทำเป็นตกใจเท่านั้น
“น้องหญิงรองคิดได้เยี่ยงไรว่าข้าจักผลักปัญหาให้ผู้บริสุทธิ์ ข้าแค่คิดว่าในเมื่อน้องหญิงสามให้สาวใช้คนสนิทไปทำเรื่องนี้ก็เท่ากับสาวใช้ลงมือด้วยตนเอง ขอเพียงตั้งข้อหาให้สาวใช้ผู้นั้น น้องหญิงสามก็จักรอดพ้นจากเรื่องนี้ ทางฮ่องเต้ก็มิอาจลงโทษจวนโหวของพวกเราเพียงเพราะสาวใช้ผู้เดียวหรอก”
“มิได้ ! ” อันหลิงอีรีบแย้งออกมาทันที
นางมิได้สงสารสาวใช้ของตนหรอก เพียงแต่หลังจากไป๋หยูโดนมารดาสั่งฆ่า สาวใช้ข้างกายนางก็เหลือเพียงผู้เดียว ถ้ายังเอาไปรับโทษอีกก็จักมิเหลือสาวใช้คนสนิทสักคน
ฮูหยินผู้เฒ่าเผยใบหน้าอ่อนโยนได้มินานก็ต้องทำหน้าเคร่งขรึมอีกครั้งเพราะคำกล่าวของอันหลิงอี ดวงตาฉายแววโทสะจับจ้องไปที่อีกฝ่ายทันที “เจ้าทำเรื่องที่เกือบถึงแก่ชีวิตของเกอเอ๋อ แต่เกอเอ๋อมิเพียงมิถือสา อีกทั้งยังคิดวิธีให้เจ้ารอดพ้นจากความผิดด้วย ทว่าเจ้ามิยอมทำตาม หรือเจ้าต้องสังหารทุกคนในจวนก่อนถึงจักพอใจ ? ”
ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนแล้วยกไม้เท้าในมือขึ้นหมายจักฟาดอันหลิงอี
อันหลิงอีเห็นเยี่ยงนี้ก็รีบไปหลบด้านข้างทันที
“ดีดีดี เจ้ายังกล้าหลบอีกหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวคำว่าดีสามครั้งติดด้วยท่าทีโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา จากนั้นก็รีบออกคำสั่งกับสาวใช้ข้างกาย “เจ้าไปนำตัวสาวใช้คนสนิทของคุณหนูสามมาแล้วโบย 50 ไม้ จากนั้นก็ส่งให้ทางการโดยบอกว่าจวนโหวจัดการกับบ่าวที่วางแผนทำร้ายเจ้านายได้แล้ว”
โบย 50 ไม้ถือเป็นโทษสถานหนัก
แม้อันหลิงอีอยากเถียงกลับ แต่ขณะมองไปที่ไม้เท้าของฮูหยินผู้เฒ่า นางก็มิกล้ากล่าวอันใดออกมา
ได้แต่คิดในใจว่าช่างเถิด ก็แค่สาวใช้คนเดียวโดนโบยจนตาย นางค่อยให้มารดาหาใหม่อีกสักคนก็ได้
“ท่านย่า ในเมื่อสาวใช้ผู้นั้นคิดฆ่าหลานก็ให้หลานได้ดูการลงโทษด้วยตนเองเถิดเจ้าค่ะ” อันหลิงเกอกล่าวด้วยเสียงอ่อนโยน ดวงตาลึกล้ำทำให้ผู้อื่นมิทราบว่านางกำลังคิดอันใดอยู่
อันหลิงเกอเป็นเหยื่อในเรื่องนี้และยังคิดเพื่อจวนโหวจึงยอมปล่อยอันหลิงอีไป เพียงคำขอเล็ก ๆ เยี่ยงนี้ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมิปฏิเสธอยู่แล้วจึงอนุญาตในทันที