พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 129 ฮ่องเต้หวาดระแวง
ตอนที่ 129 ฮ่องเต้หวาดระแวง
หลังจากโดนอันอิงเฉิงตำหนิ หลี่ซื่อก็มิกล้าพูดมากอีก นางได้แต่เก็บความมิพอใจไว้ แล้วฝืนหัวเราะออกมา “ท่านโหวอย่าเพิ่งโมโหเลยเจ้าค่ะ ข้าก็คิดเพื่อจวนโหวของพวกเรา แต่ข้าเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่งย่อมคิดได้มิรอบคอบเท่าท่านโหวอยู่แล้วเจ้าค่ะ”
อันอิงเฉิงเค้นเสียง ฮึ อย่างเย็นชาออกมา เมื่อนึกถึงท่าทางบีบบังคับขององค์ชายเจ็ด ไฟโทสะก็ปรากฏขึ้นในใจอีกครา
“ข้าหลงคิดว่าความสัมพันธ์ของเจ้ากับหลี่กุ้ยเฟยจักดีเสียอีก ที่แท้ในใจองค์ชายเจ็ดก็มิได้นึกถึงมิตรภาพว่าเจ้าเป็นพระมาตุจฉา ต้องการยัดเยียดความผิดให้เกอเอ๋อก็เหมือนอยากทำร้ายจวนโหว และมิได้นึกถึงความปลอดภัยของเจ้าแม้แต่น้อย”
องค์ชายเจ็ดมิสนความปลอดภัยของพระมาตุจฉาผู้นี้ได้เยี่ยงไร ?
หลี่ซื่อได้แต่ยิ้มเยาะอยู่ในใจและมิโดนคำกล่าวของอันอิงเฉิงทำร้ายจิตใจแต่อย่างใด
เดิมทีนางก็เป็นคนขอให้องค์ชายเจ็ดมาทำเรื่องนี้เอง เช่นนั้นก็ต้องคิดหาทางเอาตัวรอดไว้อยู่แล้ว
นางวางแผนว่ารอให้องค์ชายเจ็ดกล่าวโทษอันหลิงเกอ หลังจากนั้นพอจับตัวไปแล้วนางค่อยให้องค์ชายเจ็ดลอบวางยาพิษอันหลิงเกอ แล้วทำเป็นว่าอันหลิงเกอฆ่าตัวตายเพราะกลัวความผิด
เมื่อถึงเวลานั้นผู้อื่นในจวนโหวก็น่าจักโดนฮ่องเต้ออกราชโองการให้คนจับตามองและมิมีผู้ใดสงสัยมาถึงตัวนาง
น่าเสียดายที่คนชั้นต่ำอันหลิงเกอมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว ข้ากับองค์ชายเจ็ดร่วมมือกันแล้วก็ยังสู้ฝีปากของนางมิได้
ในเมื่อองค์ชายเจ็ดยอมรับของขวัญอันล้ำค่าของนางไปแล้วก็คงมิปล่อยให้เรื่องนี้จบลงอย่างง่ายดาย
เมื่อคิดได้เยี่ยงนี้นางก็กำผ้าเช็ดหน้าในมือแน่นคล้ายกำลังบีบคออันหลิงเกอไว้ สองมือออกแรงจนสุดกำลัง
อันอิงเฉิงเห็นหลี่ซื่อมิได้กล่าวอันใดออกมาอีกจึงรู้สึกว่าคำกล่าวของตนไปแทงใจนาง เนื่องจากอยู่ด้วยกันมานานหลายปีและหลี่ซื่อก็มิเคยทำเรื่องอันใดเกินเหตุ เขาจึงมิอยากตำหนินางมากนัก ได้แต่สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกจากโถงเรือนหน้าทันที
ทว่าเรื่องมิได้จบลงเพียงเท่านี้เพราะเช้าวันรุ่งขึ้นจ้าวหลานหยู่ก็นำเรื่องมาทูลต่อฮ่องเต้ในท้องพระโรง
ฮ่องเต้ประทับบนบัลลังก์มังกร ภายใต้ฉลองพระองค์มังกรเหลืองทองเป็นสง่า แม้เข้าสู่วัยกลางคนแล้วก็ยังน่าเกรงขามและทรงพลังอยู่มาก
เมื่อได้ยินคำกล่าวของจ้าวหลานหยู่ พระพักตร์ของฮ่องเต้ก็มิได้แสดงอารมณ์อันใดออกมาทั้งสิ้น พระองค์เพียงหันไปทางอันอิงเฉิงด้วยแววพระเนตรอ่อนโยนทว่าเฉียบคม
“อ๋องอัน องค์ชายเจ็ดบอกว่าคุณหนูใหญ่ของจวนท่านกักตุนยาสมุนไพรและสมคบคิดกับศัตรู ท่านมีอันใดจักกล่าวหรือไม่ ? ”
ขุนนางชั้นผู้น้อยทั้งหลายในท้องพระโรงเงียบเสียงทันที ทุกคนพากันก้มหน้าก้มตา แกล้งทำเป็นว่ามิได้อยู่ ณ ที่แห่งนี้
การที่องค์ชายเจ็ดและท่านโหวปะทะกันมิใช่เรื่องเล็กน้อย หากเทพเซียนสู้กันแล้ว คนธรรมดาเยี่ยงพวกตนมิเข้าไปยุ่งจักดีกว่า มิเยี่ยงนั้นอาจลำบากไปด้วย
เรื่องนี้อันอิงเฉิงก็คิดไว้อยู่แล้ว เพราะเมื่อวานองค์ชายเจ็ดเสียหน้า เช้าวันนี้จึงนำเรื่องมาทูลต่อฮ่องเต้เป็นธรรมดา
ทว่าเขาทราบสาเหตุที่แท้จริงแล้วจึงมิได้กระวนกระวายอันใด เพียงแค่ใบหน้าเริ่มมีสีแดงระเรื่อเพราะความตื่นเต้นปนโทสะ “ทูลฝ่าบาท เมื่อวานนี้องค์ชายเจ็ดมาที่จวนของกระหม่อมเพราะเรื่องนี้ แต่กระหม่อมมิเชื่อว่าบุตรสาวจักทำเรื่องขายแผ่นดินได้ กระนั้นองค์ชายเจ็ดก็ยังดึงดัน กระหม่อมเองก็ทำอันใดมิได้ จึงให้องค์ชายเจ็ดและบุตรสาวได้พบกันพ่ะย่ะค่ะ”
อันอิงเฉิงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอย่างละเอียดและมององค์ชายเจ็ดด้วยสายตาโกรธเคือง “คาดมิถึงว่าใจกตัญญูของบุตรสาวกระหม่อมจักกลายเป็นโทษกบฏทรยศแผ่นดินในสายตาองค์ชายเจ็ด ! หากทำตามหลักการขององค์ชายเจ็ดแล้ว บนแผ่นดินนี้ยังมีที่ยืนให้คนกตัญญูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ? ”
ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันใช้ความกตัญญูปกครองแผ่นดิน คุณธรรมและความกตัญญูเป็นตัวบ่งชี้สำคัญในการเลือกขุนนาง อันหลิงเกอมีใจกตัญญูเยี่ยงนี้กลับโดนองค์ชายเจ็ดสาดโคลน ฮ่องเต้ย่อมมินิ่งเฉยต่อไปอย่างแน่นอน
พระพักตร์ของฮ่องเต้เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นปรากฏรอยแย้มพระโอษฐ์ขึ้นมา “ที่แท้บุตรสาวคนโตของท่านก็เป็นคนกตัญญู ทว่าองค์ชายเจ็ดกลับทำตัววู่วามเข้าใจผิดเสียได้”
“ทูลฟู่หวง ทรงอย่าเชื่อคำกล่าวไร้สาระของท่านโหวพ่ะย่ะค่ะ ! ”
องค์ชายเจ็ดรีบเดินไปด้านหน้า “เมื่อวานนี้ ตอนที่กระหม่อมพบคุณหนูใหญ่อัน นางมิได้บอกว่ากักตุนยาสมุนไพรเพราะต้องการทำยาบำรุงให้ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนโหว มิว่าลูกจักถามเยี่ยงไรนางก็บอกแค่ว่าเพื่อศึกษาการปรุงยา นี่ต่างจากที่ท่านโหวกล่าวพ่ะย่ะค่ะ”
ท่าทีของฮ่องเต้มิได้เปลี่ยนไป เพียงแค่โบกพระหัตถ์แล้วเอนวรกายพิงบัลลังก์ราวกับพร้อมชมทั้งสองคนโต้เถียงกันแล้ว
“อ๋องอัน ท่านจักอธิบายเรื่องที่ลูกเจ็ดกล่าวเยี่ยงไร ? ”
อันอิงเฉิงเผยใบหน้าละอายใจออกมาและก้มหน้าลงทันที “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้กระหม่อมผิดเองพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิได้กล่าวให้ชัดเจนเพราะเมื่อวานหลังจากองค์ชายเจ็ดเสด็จกลับด้วยความโมโห กระหม่อมก็ถามบุตรสาวอีกครั้ง เดิมทีนางมิอยากบอกอยู่แล้ว แต่หลังได้ยินกระหม่อมบอกว่าจักส่งตัวนางให้องค์ชายเจ็ดลงโทษ นางถึงยอมเล่าออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
“บุตรสาวกระหม่อมเป็นคนอ่อนน้อม มิชอบป่าวประกาศให้ผู้ใดทราบ แม้แต่เรื่องกตัญญูเช่นนี้นางก็มิกล่าว เพราะมิอยากให้ผู้อื่นใส่ร้ายว่าเสแสร้งเอาใจผู้ใหญ่พ่ะย่ะค่ะ”
ในท้องพระโรงแห่งนี้ อันอิงเฉิงถือเป็นผู้รักสันติมาโดยตลอด มิว่าผู้ใดในราชสำนักจักแย่งชิงกันเยี่ยงไร เขาก็เป็นผู้ที่อยู่ตรงกลาง ท่าทางโมโหในตอนนี้จึงเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยครั้งเหลือเกิน
ดูเหมือนฮ่องเต้เข้าพระทัยในอารมณ์ของอันอิงเฉิง พระพักตร์จึงเปื้อนด้วยความปลอบโยน “พอแล้ว เมื่อเรื่องกระจ่างแล้ว หลังจากเลิกประชุมข้าจักให้ลูกเจ็ดไปขอโทษที่จวนโหว อ๋องอันคิดว่าเช่นไร ? ”
“กระหม่อมมิบังอาจพ่ะย่ะค่ะ”
อันอิงเฉิงก้มหน้าก้มตา เขาจักยอมให้องค์ชายเจ็ดมาขอโทษตนได้เยี่ยงไร นี่ถือเป็นการฉีกหน้าองค์ชายเจ็ดและด้วยนิสัยพยาบาทของอีกฝ่ายจักต้องเคียดแค้นตนมิเลิกอย่างแน่นอน
อนาคตตนยังหวังว่าหลี่กุ้ยเฟยจักช่วยกล่าวถึงต่อหน้าฮ่องเต้เพื่อขอผลงาน ดังนั้นจักสร้างความแค้นต่อองค์ชายเจ็ดได้เยี่ยงไร
มิเพียงสร้างความแค้นด้วยมิได้ แต่เขาต้องช่วยแก้ต่างให้องค์ชายเจ็ดด้วย
เขาเรียบเรียงคำพูด ใบหน้าเต็มไปด้วยความท้อถอย “ทูลฝ่าบาท เรื่องนี้องค์ชายเจ็ดก็ถูกคนต่ำทรามหลอกมาเช่นกัน สุดท้ายองค์ชายเจ็ดก็ทำเพราะเป็นห่วงฝ่าบาทและห่วงแผ่นดิน ความจริงใจเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งพ่ะย่ะค่ะ ! ”
“อืม ตามที่ท่านกล่าวมาก็คือลูกท่านมิผิด องค์ชายเจ็ดก็มิผิด ทั้งหมดเป็นเพียงข่าวลือที่คนชั่วสร้างขึ้นจนลูกเจ็ดเข้าใจบุตรสาวท่านผิดใช่หรือไม่ ? ”
หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็แย้มพระสรวลออกมา พระองค์ตรัสกับอันอิงเฉิงแต่สายพระเนตรพุ่งตรงไปที่ตัวอ๋องมู่แทน “อ๋องมู่ คุณหนูใหญ่จวนโหวต่อไปจักกลายเป็นคนของจวนท่าน แล้วท่านคิดเยี่ยงไรกับเรื่องนี้ ? ”
ฮ่องเต้ตรัสถามอ๋องมู่ด้วยพระพักตร์ที่แต้มไปด้วยความภาคภูมิพระทัย ทว่ารอยยิ้มกลับมิปรากฎในแววพระเนตรซึ่งมิมีผู้ใดคาดเดาได้ว่าพระองค์กำลังดำริอันใดอยู่
แม้มีผู้คาดเดาได้ก็มิกล้ากล่าวออกมาอยู่ดี
ฝ่ายอ๋องมู่รีบก้าวออกมาด้านหน้าทันที
“ทูลฝ่าบาท กระหม่อมเห็นด้วยกับอ๋องอันว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดพ่ะย่ะค่ะ”
หากเขาบอกว่าองค์ชายเจ็ดเป็นฝ่ายผิดก็จักทำให้ผิดใจกับองค์ชาย แต่ถ้าบอกว่าอ๋องอันเป็นคนผิดก็จักผิดใจกับจวนโหวอีก
สุดท้ายทางออกดีที่สุดก็คือการกล่าวไปตามน้ำนั่นเอง