พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 14 ฉากระทึกขวัญ
ตอนที่ 14 ฉากระทึกขวัญ
ภายในรถม้า ปี้จูหอบห่อผ้าขนาดใหญ่ นั่งอยู่ข้างกายของอันหลิงเกอ ยกผ้าคลุมขึ้นแล้วมองออกไปยังด้านนอก พร้อมเอ่ยถามอันหลิงเกอด้วยเสียงอันเบาว่า “คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดพวกเราถึงต้องออกมาจากจวนด้วยล่ะเจ้าคะ ? ”
นางมิเข้าใจเสียจริง มีจวนโหวให้อยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดคุณหนูมิอยู่แต่กลับวางแผนเพื่อจะได้ย้ายไปอยู่ในพื้นที่ที่มันลำบากอย่างวัดชิงอวิ๋นด้วย
อันหลิงเกอที่กำลังพักสายตาอยู่ เมื่อได้ฟังจึงลืมตาขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่สุกสกาวราวกับดวงดาว นางยิ้มขึ้นที่มุมปากเล็กน้อย ภายในรอยยิ้มแฝงไว้ด้วยความหมายบางอย่าง “ปี้จู เรื่องที่ข้าตกน้ำก่อนหน้านี้ เจ้าคิดเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
อันหลิงเกอมิตอบแต่กลับย้อนถามปี้จูออกไป แต่เพียงมินานนางก็ตอบกลับมาว่า “เรื่องนี้พิสูจน์จนกระจ่างแล้วมิใช่หรือเจ้าคะ ? ว่าคุณหนูรองเป็นคนสั่งให้คนไปผลักคุณหนูจนตกน้ำ แล้วยังใส่ร้ายเพื่อทำลายชื่อเสียงของคุณหนูอีกด้วยเจ้าค่ะ”
“มันก็ถูก แต่เหตุใดอันหลิงอีถึงต้องปองร้ายข้าด้วยล่ะ ? ในมุมมองของคนภายนอก พวกเราเปรียบเสมือนพี่น้องแท้ ๆ ควรจะใกล้ชิดสนิทสนมกันถึงจะถูก”
อันหลิงเกอเอ่ยออกไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย มิรู้สึกเศร้าโศกกับเรื่องนี้แม้แต่น้อย เมื่อชาติก่อนนางตายด้วยน้ำมือของอันหลิงอี จากนั้นนางก็ตระหนักได้ในทันทีว่านอกจากอันหลิงอีจะมินับถือตนเป็นพี่สาวแล้ว ยังถึงกับอยากให้ตนนั้นตายเสียด้วยซ้ำ เป็นเหตุให้สายสัมพันธ์อันน้อยนิดภายในใจอันหลิงอีนั้น ตัดขาดหายไปนานแล้วจนมิเหลือเศษซากอันใดอีก
เมื่อถูกถามปี้จูจึงได้ครุ่นคิดตามแล้ว แล้วเอ่ยตอบออกมาอย่างอึกอักว่า “ข้าน้อยก็มิรู้ว่าเหตุใดคุณหนูรองถึงทำเรื่องเยี่ยงนี้ได้ บางที คุณหนูรองอาจจะแค่เล่นซุกซน แล้วเกิดความคิดหลงผิดขึ้นมาชั่วขณะก็เป็นได้เจ้าค่ะ”
สายตาของอันหลิงเกอจ้องมองไปที่ปี้จู ด้วยแววตาที่กระจ่างและล้ำลึก ราวกับสามารถเห็นถึงก้นบึ้งของจิตใจคนได้
“ปี้จูเจ้าเป็นสาวรับใช้ที่แม่ของข้าไว้ใจให้ดูแลข้า คุณหนูรองและอี๋เหนียงคิดเรื่องมิดีอันใด เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้บ้าง”
นางเอื้อมมือไปจับมือปี้จูที่นั่งอยู่ข้างกายด้วยท่าทางอ่อนโยนแต่หนักแน่น
“ในเมื่อพวกนางอยากให้ข้าตาย แล้วเหตุใดข้าจะต้องอดทนและอ่อนแอเหมือนดั่งเช่นเมื่อก่อนด้วยเล่า ? เมื่อฟ้าลิขิตให้อยู่ร่วมกันมิได้ เยี่ยงนั้นก็สู้ให้ตายกันไปข้างหนึ่ง เพียงแต่หนทางนี้ช่างเต็มไปด้วยการฟาดฟัน เจ้าแน่ใจนะว่าจะมิเสียใจที่ติดตามข้า ? ”
“คุณหนู”
ในดวงตาของปี้จูนั้นคลอไปด้วยน้ำตา
“ข้าเคยกล่าวไปแล้วว่าถ้าตอนนั้นมิใช่คุณหนูที่เกลี้ยกล่อมให้ฮูหยินซื้อตัวข้าแล้วพาเข้าจวน ตัวข้าคงตายท่ามกลางหิมะตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว หนี้ชีวิตนี้ต่อให้ต้องบุกน้ำลุยไฟ ข้าก็จะขออยู่เคียงข้างคุณหนู มิจากไปไหนแน่นอนเจ้าค่ะ”
“เจ้าเด็กโง่”
อันหลิงเกอมองไปยังใบหน้าอ่อนเยาว์แต่จริงใจของนาง แล้วทอดถอนหายใจออกมาเบา ๆ
“ในเมื่อเป็นเยี่ยงนั้น เจ้าก็จงเตรียมตัวไว้ให้ดี ที่วัดชิงอวิ๋นนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นที่ข้าจะเริ่มตอบโต้อันหลิงอี และพวกเราจะได้เห็นกัน”
เมื่อนางกล่าวจบ ทางด้านนอกก็บังเกิดเสียงร้องของม้าดังขึ้น พร้อมกับรถม้าทั้งคัน เริ่มกระแทกตัวแรงขึ้น
“เกิดเหตุอันใดขึ้น ? ”
ปี้จูชะโงกศีรษะออกไปถาม แต่กลับถูกแรงกระแทกเข้าทำให้ทั้งตัวเองนั้นเกือบจะตกลงไปที่พื้น
โชคดีที่อันหลิงเกอนั้นตาไวเห็นเข้าเสียก่อนจึงรีบคว้ามือของนางเอาไว้ คาดมิถึงว่าม้าจะไปชนเข้ากับก้อนหินพอดี รถม้าที่เดิมทีก็กระแทกแรงอยู่แล้วถึงกับสั่นสะเทือนมากยิ่งขึ้น จนทำให้อันหลิงเกอก็กระเด็นออกไปด้านนอกด้วยเช่นกัน
“คุณหนู ! ”
ปี้จูถึงกับร้องเรียกเสียงหลง และร่างทั้งร่างของนางก็ถูกเหวี่ยงออกไปนอกรถม้า มีเพียงมือคู่เดียวที่ถูกอันหลิงเกอจับเอาไว้แน่น ถึงได้ยังมิตกลงไปจากรถม้าแล้วโดนม้าเหยียบ
“หยุดรถ ! หยุดรถบัดเดี๋ยวนี้”
อันหลิงเกอสั่งคนขับรถม้า ดวงตาที่นิ่งสงบฉายแววตื่นตกใจที่มิได้พบเห็นบ่อยนัก นางมองใบหน้าที่ซีดขาวของปี้จู พลางนึกย้อนถึงภาพที่ปี้จูต้องตายอย่างอนาถต่อหน้าต่อตา ราวรู้สึกกับมีเหงื่ออันเย็นเฉียบไหลออกมาจากฝ่ามือ
“จับมือข้าใว้ให้ดี”
อันหลิงเกอใช้มือหนึ่งดึงปี้จูเอาไว้ มืออีกข้างจับขอบรถม้าเอาไว้แน่น
“ม้าพยศ ม้าพยศแล้ว ! ”
คนขับรถม้าตะโกนลั่นออกมาด้วยใบหน้าซีดเผือด มือที่จับบังเหียนสั่นอย่างควบคุมมิอยู่
เขาตะโกนอย่างสุดเสียง พยายามที่จะให้ม้าหยุด แต่ทำได้เพียงมองดูม้าพุ่งไปข้างหน้า จนวิ่งไปทางกำแพงเมือง
อันหลิงเกอพึ่งจะสังเกตเห็นว่าม้ามิปกติ ม้าคล้ายกับถูกกระตุ้นด้วยอันใดบางอย่าง จึงพุ่งไปข้างหน้าโดยมิสนใจอันใดทั้งสิ้น ราวกับว่ามองมิเห็นกำแพงเมืองอันแข็งแกร่งที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และมิมีทีท่าว่าจะหลบหลีกแม้แต่อย่างใด
แย่แล้ว !
อันหลิงเกอรู้สึกหนาวเหน็บภายในใจ หากมิรีบหยุดม้า พวกนางจะต้องชนกำแพงไปพร้อมกับม้าเป็นแน่ ด้วยความเร็วของรถม้าในตอนนี้ หากพุ่งชนถ้ามิตายก็ต้องบาดเจ็บอย่างหนักเป็นแน่นอน
คิดได้เยี่ยงนั้นก็หันไปมองทั้งสองข้างทาง ผู้คนที่สัญจรไปมาต่างหลบม้าที่กำลังพยศไปหมดแล้ว ถนนที่ปกติคึกคักอยู่ตลอด บัดนี้กลับเงียบลงไปถนัดตา
“ปี้จู อีกประเดี๋ยวเจ้ากระโดดลงไปทางด้านข้างนะ”
นางเห็นโอกาสเหมาะแล้วจึงจับมือของปี้จูเหวี่ยงไปอย่างแรง ทำให้ปี้จูตกลงไปยังถนนที่ว่างเปล่า เมื่อเห็นปี้จูกลิ้งกับไปพื้นและลุกขึ้นมาได้โดยมิเป็นอันใดมาก นางจึงได้ยกมือขึ้นดึงปิ่นปักผมออก จากนั้นก็กระโดดไปทางด้านหน้าอย่างรวดเร็ว ร่างอันบอบบางกระโดดข้ามคนขับรถม้าขึ้นไปนั่งอยู่บนหลังม้าทันที
ในขณะที่คนขับรถม้ายังมิทันได้ตะโกนอันใด นางก็ใช้ปิ่นปักผมอันแหลมคมแทงเข้าไปที่คอม้าเต็มแรงเป็นเหตุให้เลือดสีแดงฉานไหลพุ่งกระทบเข้าที่ใบหน้าของนาง เมื่อม้าบาดเจ็บ มันก็ยิ่งพยศขึ้นกว่าเดิม มันต้องการจะทำให้คนที่อยู่บนหลังของมันตกลงมา แต่อันหลิงเกอเกาะเอาไว้แน่นอยู่บนหลังม้า โอบรอบคอของมันไว้ จากนั้นนำปิ่นในมือแทงลึกเข้าไปอีกหลายนิ้ว
“คุณหนูเจ้าคะ มันอันตรายรีบลงมาเถิดเจ้าค่ะ ! ”
ปี้จูเอ่ยออกไปด้วยใบหน้าซีดเผือดและรู้สึกเย็นเฉียบไปทั้งกาย แต่อันหลิงเกอคล้ายกับมิได้ยินเสียงเรียกของนาง จึงได้ใช้ปิ่นในมือก็แทงลึกลงไปอีกจนสุดความยาวของปิ่น จึงเป็นเหตุให้ม้าตัวนั้นจึงค่อย ๆ อ่อนแรงลง ในที่สุดม้าตัวนั้นก็หยุดนิ่งมิไหวติงพร้อมกับเสียงล้มดัง ตึง !
อันหลิงเกอเองก็ล้มลงมาบนพื้นพร้อมกับม้าด้วยเช่นกัน
ปี้จูเมื่อเห็นเช่นนั้นจึงรีบวิ่งเข้าไปหาเจ้านายตนทันที เพื่อตรวจดูอาการบาดเจ็บของนาง เมื่อเห็นรอยแดงขนาดใหญ่ที่หลังมือของอันหลิงเกอ น้ำตาของปี้จูก็ไหลออกมาทันที
“ข้ามิดีเอง ทำให้คุณหนูต้องบาดเจ็บ”
พูดไปน้ำตาของนางก็ไหลรินออกมามิหยุด จากนั้นจึงได้นำยารักษาบาดแผลออกมาจากห่อผ้า เพื่อทาแผลให้อันหลิงเกอ อันหลิงเกอแค่รู้สึกเจ็บที่มือเล็กน้อยเพียงเท่านั้น เมื่อได้ทายาแล้วความเจ็บที่ว่าก็ลดลง และเวลานี้มิใช่เวลาจะมาปลอบโยนปี้จู นางเดินเข้าไปหาคนขับรถม้า เมื่อเห็นคนขับรถม้ากุมขาแล้วร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด นางจึงได้ถอนหายใจอย่างโล่งอก
“ปี้จู เจ้าไปตามหมอมารักษาเขาที”
อันหลิงเกอสั่งความอย่างสงบ สายตาจับจ้องไปยังม้าที่ล้มลงอยู่ที่พื้น
“แต่ว่าคุณหนู บาดแผลของท่านจะทำเยี่ยงไรดีเจ้าคะ ? ”
ปี้จูยังคงยืนอยู่ที่เดิมมิไปไหน และแสดงความเป็นห่วงนางอย่างเห็นได้ชัด
อันหลิงเกอยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย
“ข้ามีเพียงแค่บาดแผลภายนอก มิใช่เรื่องใหญ่โตอันใด แต่เขาน่าจะบาดเจ็บถึงกระดูกก็เป็นได้ หากรักษามิทันเกรงว่าต่อไปอาจพิการได้”
ปี้จูยังอยากจะเอ่ยบางอย่างออกมา แต่เมื่อสบกับสายตาที่แน่นแน่ของอันหลิงเกอแล้ว จึงทำได้เพียงวิ่งไปตามหมอที่โรงหมอที่ใกล้ที่สุด เมื่อรอจนปี้จูเดินไปไกลแล้ว แววตาของอันหลิงเกอก็แปรเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นในทันที พร้อมกับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า
“หึ ! นี่แค่ระหว่างทางก็ลงมือกับข้าเสียแล้ว อี๋เหนียงนี่ช่างใจร้อนเสียจริง”