พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 20 คนของจวนอ๋อง
ตอนที่ 20 คนของจวนอ๋อง
อันหลิงเกอแสร้งเอ่ยถามด้วยท่าทีตกใจ
“เหตุใดข้าถึงจะต้องอยู่ตรงนั้นด้วยเล่า ? ”
เมื่อฮูหยินหมิงได้ฟังคำเอ่ยถามของอันหลิงเกอ ก็รู้สึกโมโหขึ้นมายิ่งกว่าเดิม พร้อมกับส่งสายตาบางอย่างให้กับแม่นมของตน
แม่นมเห็นเยี่ยงนั้นก็ก้าวไปข้างหน้าทันที แล้วใช้มือตบลงไปที่ใบหน้าของชายผู้นั้น
“เจ้าคนสารเลว ยังมิรีบสารภาพความจริงออกมาอีก ใครเป็นคนส่งเจ้ามาใส่ร้ายคุณหนูใหญ่แห่งจวนโหว ห๊ะ ! ”
ชายผู้นั้นเมื่อโดนตบไปหนึ่งฉาดก็มีท่าทีตื่นตกใจ แต่ก็ยังคงยืนยันคำเดิม
“ฮูหยินทุกท่านได้โปรดให้ความเป็นธรรมกับข้าน้อยด้วย คุณหนูใหญ่จวนโหวเป็นคนนัดข้าน้อยมาพบ ข้าน้อยจึงห้ามตัวเองไว้มิอยู่……”
ไป๋อวี่ที่อยู่ด้านข้างเงยหน้ามองฮูหยินหมิงจูด้วยท่าทีหวาดกลัวจึงได้ร้องออกมาว่า “คุณหนูรองช่วยข้าน้อยด้วยเจ้าค่ะ ข้าทำตามคำสั่งของคุณหนู ถึงได้จัดการให้คนผู้นี้เข้ามาได้ ตอนนี้เรื่องออกมาเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ฮูหยินรองต้องมิปล่อยข้าเอาไว้เป็นแน่เลยเจ้าค่ะ”
นางร้องไห้ไปก็คลานเข้าหาอันหลิงอีไป
คำพูดที่กล่าวออกมาราวกับเสียงระเบิดที่ดังอยู่ข้างหูของทุกคนตรงนั้น สายตาของฮูหยินหมิงจูมองไปยังอันหลิงอี สายตาที่มองเต็มไปด้วยความสงสัยและดูถูกดูแคลน นั่นทำให้อันหลิงอีสั่นสะท้านไปทั้งตัว นางจึงอดมิได้ที่จะตะโกนออกมาด้วยความโมโห
“ข้าให้เจ้าไปทำเรื่องเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? นังสาวใช้สารเลว กล้าใส่ร้ายเจ้านายตนเองเยี่ยงนั้นหรือ มีคนบงการเจ้ามาใช่หรือไม่?”
ประโยคนั้นของนางเท่ากับหมายถึงอันหลิงเกอ แต่เมื่อทุกคนคิดถึงเรื่องที่นางได้ก่อไว้เมื่อวานแล้ว จึงมิมีใครเชื่อในสิ่งที่นางกล่าว
อันหลิงเกอดูคล้ายกับผิดหวังเป็นอย่างมาก จึงตอบกลับอย่างระอาว่า “สาวใช้ของน้องหญิงเกิดเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้น เจ้ามิเห็นใจนางก็แล้วไป แต่นี่กลับสงสัยว่านางถูกคนบงการมา เจ้าว่าจะมีหญิงสาวคนใดกันที่กล้าเอาความบริสุทธิ์ของตัวเองมาแลกกับการใส่ร้ายคนอื่นกัน”
ฮูหยินหมิงจูร้อง เหอะ ออกมาเสียงเย็น
“ดูท่าว่าคงถึงเวลาที่ข้าควรจะส่งคนไปแจ้งท่านโหวสักทีว่าเขาควรจะสั่งสอนบุตรีของตนเองให้ดีกว่านี้หน่อย อย่าได้เที่ยวมาทำร้ายคนอื่นและทำเรื่องน่าขายหน้าทุกเมื่อเชื่อวันเยี่ยงนี้ ! ”
พูดจบนางก็หมุนตัวเดินจากไป เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้ทำให้นางอารมณ์เสียอย่างมาก
ส่วนฮูหยินและเหล่าคุณหนูคนอื่น ๆ เมื่อมองดูเรื่องสนุกจนพอใจแล้ว ก็แค่รอกลับจวนแล้วเอาเรื่องนี้ไปนินทาหลังมื้ออาหาร และคุยขบขันกับเพื่อนสนิทก็เท่านั้น
ใบหน้าของอันหลิงอีซีดเผือดขณะยืนอยู่ที่เดิม ทันใดนั้นก็เงยหน้าขึ้นแล้วใช้สายตาอาฆาตแค้นจ้องไปทางอันหลิงเกอ
“นังตัวดี เจ้ากล้าใส่ร้ายข้าเยี่ยงนั้นหรือ”
กล่าวจบก็พุ่งตัวเข้าหาอันหลิงเกอทันที พร้อมเล็บอันแหลมคมที่จ้องโจมตีไปยังดวงตาของอันหลิงเกอ
ปี้จูเห็นดังนั้นจึงดึงเจ้านายของตนหลบออกมาอย่างรวดเร็ว เป็นเหตุให้อันหลิงอียั้งตัวเอาไว้มิทัน จึงล้มลงไปบนพื้นอย่างแรง
อันหลิงเกอมีท่าทีผ่อนคลาย แต่สายตากลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“น้องหญิงคิดให้ดี ๆ ดีกว่า ว่าฮูหยินหมิงจูจะไปบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อว่าเยี่ยงไรบ้าง”
นางหันไปสั่งปี้จูที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“มัดสองคนนั้นไว้แล้วส่งกลับไปที่จวน กล้าใส่ร้ายเจ้านายก็สมควรได้รับผลตอบแทนที่สาสม”
อันหลิงอีมองอันหลิงเกอนำตัวสองคนนั้นไปด้วยความตกตะลึง จากนั้นอันหลิงอีก็ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากพื้นช้า ๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
อันหลิงเกอ เจ้าทำให้ข้าอับอายขายหน้าถึงเพียงนี้ ข้าจะมิปล่อยเจ้าเอาไว้แน่ !
นางเช็ดฝุ่นบนใบหน้าออก จากนั้นจึงกลับไปที่ห้องของตัวเอง หลี่ซื่อที่มาหาลูกสาวก็รีบโผเข้าหาทันที
“ลูกสาวสุดที่รักของแม่ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ ? ”
หลี่ซื่อมองท่าทางกระเซอะกระเซิงของอันหลิงอีด้วยความสงสาร แล้วรีบเรียกคนมาอาบน้ำแต่งตัวให้นางใหม่
อันหลิงอีเมื่อเห็นแม่ของตนก็เก็บความคับข้องใจไว้มิไหวอีกต่อไป
“ท่านแม่ เป็นเพราะนังสารเลวอันหลิงเกอนั่นมันใส่ร้ายข้า ! ”
นางปาดน้ำตาบนใบหน้า พร้อมกับเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งสองวันมานี้อย่างใส่สีตีไข่
หลี่ซื่อเมื่อได้ฟังก็รู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก
“นังตัวดี แม่อุตส่าห์เห็นแก่ที่มันอายุยังน้อยถึงได้ไว้ชีวิต แต่มันกลับกล้ามารังแกเจ้าเยี่ยงนี้ได้”
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านต้องแก้แค้นแทนข้าให้ได้นะเจ้าคะ”
อันหลิงอียังคงร้องไห้ฟูมฟาย ทั้งเก็บซ่อนความเกลียดชังในแววตาไว้มิมิด
หลี่ซื่อพยักหน้าตอบรับ
“เจ้าวางใจเถอะ ตั้งแต่ที่แม่รู้ว่าเจ้ามิได้เป็นโรคฝีดาษ แม่ก็คิดแผนการแก้แค้นนังตัวดีนั่นเอาไว้แล้ว”
“จริงหรือเจ้าคะ ? ท่านแม่ ท่านรีบเล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ”
อันหลิงอีดีใจจนเก็บอาการไว้มิอยู่ เมื่อได้ฟังสิ่งที่แม่ของตนกระซิบบอกที่ข้างหู รอยยิ้มชั่วร้ายก็ปรากฏออกมา เมื่อแม่ของนางบอกว่าจะให้อันหลิงเกอแต่งกับอี้ซือจื่อผู้โง่เขลา ส่วนนางก็แต่งเข้าจวนอ๋องมู่
ช่างเป็นความคิดที่วิเศษเสียจริง
สองคนในห้องกำลังกระซิบกระซาบวางแผนกันอยู่ จึงมิทันสังเกตเงาคนที่ผ่านไปด้านนอกหน้าต่าง
มู่จวินฮานได้ยินคนสองคนแม่ลูกในห้องวางแผนเรื่องงานแต่งของเขาแล้ว สีหน้าก็พลันเย็นชาขึ้นมา เขาเหลือบมองห้องนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งตัวไปยังอีกห้องหนึ่งในทันที
อันหลิงเกอที่กำลังเตรียมตัวกลับจวน จู่ ๆ กลับมีร่างคนผู้หนึ่งปรากฏขึ้น เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็พบกับใบหน้าอันหล่อเหลาของมู่จวินฮาน
“ท่านมาทำอันใดที่นี่อีก ? ”
เมื่อคิดถึงจูบเมื่อครั้งก่อนของมู่จวินฮาน อันหลิงเกอก็ชักสีหน้าเย็นชาใส่ทันที
“ข้ามีข่าวจะมาบอกเจ้า”
มู่จวินฮานยกยิ้มออกมาเล็กน้อย ที่เพียงแค่เห็นก็เหมือนกับมีดอกไม้มากมายกำลังผลิบาน เปล่งประกายให้ห้องทั้งห้องสว่างไสวขึ้นมาในชั่วพริบตา
ปีศาจชัด ๆ
อันหลิงเกอแอบก่นด่าเขาภายในใจ พร้อมละสายตาจากใบหน้าของมู่จวินฮานทันที
“อ้อ ซื่อจื่ออุตส่าห์มาถึงที่นี่ มิทราบว่ามีข่าวอันใดจะแจ้งให้ข้าน้อยทราบเยี่ยงนั้นหรือเจ้าคะ ? ”
คำชมเชยที่แฝงไว้ด้วยความเยาะเย้ย แตกต่างจากท่าทางที่สงบนิ่งและมักจะครุ่นคิดอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้โดยสิ้นเชิง
สายตาของมู่จวินฮานแฝงรอยยิ้มเอาไว้ และกล่าวด้วยเสียงกังวานว่า “ได้ยินว่าอี๋เหนียงของเจ้าจะยกเจ้าให้แต่งงานกับอี้ซือจื่อผู้โง่เขลา นี่ถือว่าเป็นข่าวใหญ่หรือไม่ ? ”
อันหลิงเกอได้ฟังดังนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้นด้วยความประหลาดใจ เรื่องนี้นางรู้อยู่แล้ว มิเช่นนั้นคงมิวางแผนมาที่วัดชิงอวิ๋นแห่งนี้หรอก ประการแรกเพื่อจะได้หลบจากแผนชั่วของอี๋เหนียง ส่วนประการที่สองก็เพื่อที่จะเลี่ยงการแต่งงานในครานี้
หลี่ซื่อสองแม่ลูกนั่นจริงจังกับเรื่องการแต่งงานของนางอย่างมาก และนางเองก็รู้ดีว่าอันหลิงอีนั้นอยากแต่งงานกับมู่จวินฮานมาโดยตลอด ถึงแม้นางอยากหนีให้ห่างจากมู่จวินฮาน แต่ก็มิได้หมายความว่านางจะยอมให้หลี่ซื่อมาบังคับให้นางแต่งกับคนโง่เขลาเช่นนั้นได้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้ามู่จวินฮาน อันหลิงเกอกลับมิได้เผยความคิดนั้นออกมาให้เขาได้รู้ นางทำเป็นถามราวกับมิใส่ใจ
“เรื่องนี้ข้ารู้มานานแล้ว เหตุใดซื่อจื่อจึงได้สนใจเรื่องการแต่งงานของข้าถึงเพียงนี้กัน ? ”
มู่จวินฮานจึงได้เปิดปากอธิบาย
“อย่างไรซะเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นว่าที่ชายาของข้า ข้าก็ต้องสนใจเรื่องของเจ้าอยู่แล้ว แม้จวนอ๋องอี้จะมิได้คุมกำลังทหารเหมือนกับจวนอ๋องมู่ แต่กลับร่ำรวยมหาศาล น่าเสียดายที่ท่านอ๋องอี้แม้จะร่ำรวย แต่กลับมีบุตรชายผู้โง่เขลาเพียงคนเดียว อี๋เหนียงของเจ้ากล่อมท่านโหวให้ยกเจ้าให้แต่งเข้าจวนอ๋องอี้แล้ว ส่วนน้องสาวของเจ้าก็ให้แต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนเจ้า”
อันหลิงเกอกลอกตาขึ้น
“งานแต่งของเจ้ากับข้ากำหนดไว้แล้ว ต่อให้พ่อของข้าจะอยากกลับคำ ก็ต้องดูว่าจวนอ๋องมู่จะยอมหรือไม่ ? ”
มุมปากของนางปรากฏรอยยิ้มขึ้น
“ดูท่าซื่อจื่อคงมิอยากให้อันหลิงอีแต่งเข้าจวนอ๋องมู่กระมัง จึงได้มาบอกข่าวนี้แก่ข้า เพื่อให้ข้าไปทำลายแผนการของพวกเขาใช่หรือไม่”
มู่จวินฮานมิได้ปฏิเสธ และยังคงมีท่าทางเช่นหนุ่มเจ้าสำราญดังเดิม
“จวนอ๋องมู่ของข้ามิอยากได้คนใจดำอำมหิตเช่นน้องสาวของเจ้าหรอก”
ใจดำอำมหิต ?
เมื่อได้รับฟัง ในดวงตาของอันหลิงเกอก็ฉายแววเย็นชาขึ้น
“หรือว่าท่านอ๋องคิดว่าข้าเป็นคนมีจิตใจที่บริสุทธิ์เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
นางมิใช่อันหลิงเกอที่อ่อนแอและขี้ขลาดอย่างในชาติก่อนอีกแล้ว เพราะความเมตตาจะฆ่านางเสียเอง ในน้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความเย้ยหยันตัวเองและความโศกเศร้า
มู่จวินฮานถึงกับนิ่งไปทันที และสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ลอยออกมาจากภายในหัวใจของนาง
มิรู้ว่าเพราะเหตุใด มู่จวินฮานได้ยื่นมือไปกุมมือของอันหลิงเกอไว้และกล่าวว่า “หากชายาของข้าเป็นเจ้า มิว่าเจ้าจะเป็นเยี่ยงไร ข้าก็รับได้ทั้งนั้น”