พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 311 หลี่อี๋เหนียงยอมจำนน
ตอนที่ 311 หลี่อี๋เหนียงยอมจำนน
“ภาพวาดของอาจารย์จางหายากและล้ำค่ามาก ตอนยังเด็กข้าเคยเห็นอยู่บ้างและท่านแม่ก็เคยวาดเลียนแบบภาพนี้เช่นกัน ดังนั้นข้าจึงจำได้ขึ้นใจ” อันหลิงเกอมิได้บีบคั้นหลี่อี๋เหนียงต่อและเลือกเปลี่ยนหัวข้อสนทนาแทน
ที่นางเลือกทำให้หลี่อี๋เหนียงอับอายในเวลานี้ก็แค่ต้องการให้ทุกคนได้รู้ว่าอีกฝ่ายยังควบคุมห้องเก็บสมบัติอยู่และต้องการให้ทุกคนได้รู้ว่าอีกฝ่ายเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน หาใช่คนมีจิตใจดีเปี่ยมเมตตาอย่างที่แสดงออกมา
แต่เพราะตอนนี้ยังอยู่ในงานวันเกิดของติ้งกั๋วกง หากอันหลิงเกอทำเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ คนที่จักอับอายหาใช่แค่เพียงหลี่อี๋เหนียง แต่ยังเป็นทั้งจวนโหวอีกด้วย
ต่อให้นางจักมิให้ความสำคัญกับหน้าตาของจวนโหว แต่อันอิงเฉิงและฮูหยินผู้เฒ่าย่อมมิยอมให้จวนโหวอับอายเป็นแน่
ว่ากันว่าไฟในอย่านำออก เพียงแค่อันหลิงเกอยกเรื่องนี้ขึ้นมาก็สังเกตได้ว่าสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ามิสู้ดีนัก เห็นได้ชัดว่ามิเห็นด้วยกับการที่นางทำเช่นนี้
หากนางยังไล่ต้อนสืบสาวราวเรื่องมิหยุด มิแน่ว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงได้โกรธขึ้นมาจริง ๆ
อันหลิงเกอเห็นดังนั้นจึงได้เอ่ยด้วยใบหน้าที่ยังมีรอยยิ้มดังเดิม “ในเมื่อท่านติ้งกั๋วกงสนใจภาพนี้ หากหลี่อี๋เหนียงมีเวลาว่างเมื่อใดรบกวนสั่งคนนำภาพมามอบให้ท่านติ้งกั๋วกงด้วย ถือว่าเป็นของที่จวนโหวอันมอบเป็นของขวัญอีกชิ้นหนึ่ง”
แม้ภาพเลียนแบบเด็กหรรษาของนางจักไร้ที่ติถึงขั้นว่าเหมือนของจริงแทบทุกอย่าง แต่อย่างไรมันก็มิใช่ของจริงอยู่ดี การให้หลี่อี๋เหนียงนำภาพของจริงมามอบให้ติ้งกั๋วกงย่อมถือเป็นการแสดงความจริงใจอย่างแท้จริง
ติ้งกั๋วกงรีบโบกมือพร้อมกล่าวปฏิเสธ “สุภาพบุรุษมิควรแย่งของรักผู้อื่น ข้าอายุปูนนี้แล้วหากแย่งของรักจากเด็กเยี่ยงพวกเจ้าแล้วจักเอาหน้าไปไว้ที่ใด”
แม้กล่าวเช่นนั้น ทว่าแววตาของติ้งกั๋วกงก็เต็มไปด้วยความเสียดาย
ภาพของจริงของอาจารย์จางเกือบตกมาอยู่ในมือเขาแล้ว เขากลับปฏิเสธมันเสียเอง เช่นนี้เป็นใครจักมิปวดใจกันเล่า ?
อันหลิงเกอยกมุมปากขึ้นแล้วยิ้มให้เขาอย่างอ่อนน้อม “ท่านติ้งกั๋วกง ผลงานจริงของอาจารย์จางควรได้อยู่กับคนที่เข้าใจและชื่นชอบจริง ๆ เพราะหากตกอยู่ในมือคนมิรู้เรื่องศิลปะก็เหมือนไก่ได้พลอยเท่านั้นเจ้าค่ะ”
หลี่ซื่อมองรอยยิ้มบนใบหน้าของอันหลิงเกอแล้วแสนรู้สึกคับแค้นใจ
นางอุตส่าห์เก็บของโบราณที่มีค่าทั้งภาพวาดและอัญมณีเหล่านั้นไว้ เดิมคิดว่าจักใช้เป็นสินเดิมตอนที่อันหลิงอีออกเรือน ตอนนี้กลับโดนอันหลิงเกอนำเรื่องนี้ออกมาแฉ นอกจากต้องนำภาพเด็กหรรษามามอบให้ติ้งกั๋วกง มิหนำซ้ำยังถูกอันหลิงเกอกล่าววาจาเสียดสีเรื่องนางมิมีความรู้ทางศิลปะอีกด้วย !
แต่คนเยี่ยงนางเคยยอมแพ้อันใดง่าย ๆ ที่ไหนเล่า
หลี่ซื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ ดวงตาฉายรังสีอำมหิตออกมา นางถูกอันหลิงเกอยั่วโทโสจนแทบเก็บอาการไว้มิอยู่
ทว่าต่อให้เจ็บแค้นเพียงใดก็ยังต้องปั้นหน้าฝืนยิ้มอยู่เช่นนั้น
เมื่ออันหลิงเกอกล่าวออกมาถึงเพียงนี้ ติ้งกั๋วกงย่อมมิมีทางปฏิเสธซ้ำสองเป็นแน่ เขาจึงตอบรับอย่างอารมณ์ดี ดังนั้นท่าทีที่มีต่ออันหลิงเกอจึงดูใจดีมีเมตตามากขึ้นอีกและแววตาก็ดูเอาใจใส่เสียยิ่งกว่ายามมองลูกหลานของตน
ฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่จึงค่อย ๆ มีสีหน้าดีขึ้น แม้อันหลิงเกอเอ่ยถึงเรื่องห้องเก็บสมบัติขึ้นมาจนเกือบทำให้หลี่ซื่อไปต่อมิถูก แต่การที่นางบอกว่าจักมอบภาพของจริงให้ติ้งกั๋วกงก็นับว่ายังช่วยมิให้จวนโหวอับอายขายหน้าผู้คนไปมากกว่านี้
ติ้งกั๋วกงยิ้มอย่างยินดี จากนั้นจึงกล่าวทักทายแขกก่อนจักกลับไปยังฝั่งของแขกบุรุษอีกครั้ง
บรรยากาศภายในโถงหลังจากที่เงียบมาพักใหญ่ก็ครึกครื้นอีกครั้ง เหล่าคุณหนูที่อายุยังน้อยต่างก็นั่งมิค่อยติดเก้าอี้กันแล้ว
พวกนางมากสุดก็อายุสิบสี่สิบห้าเท่านั้น ที่อายุน้อยกว่านี้ก็เพียงเจ็ดถึงแปดขวบและกำลังเป็นช่วงซุกซนอย่างมาก
การโดนบังคับให้มานั่งอยู่กับที่นาน ๆ แรกเริ่มยังยอมอยู่นิ่งพลางคุยกันเรื่องงานเย็บปักถักร้อยบ้าง คุยเรื่องคุณชายบ้านใดรูปงาม บ้างก็ว่าขนมร้านใดอร่อย แต่เมื่อผ่านไปมินานก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา
ติ้งกั๋วกงฮูหยินเข้าใจดี เมื่อเห็นคุณหนูหลายคนมีสีหน้าเบื่อหน่ายก็หัวเราะออกมาพร้อมสั่งหลานสาวของตน “อวิ๋นเอ๋อ เซียนเอ๋อ เจ้าสองคนพาบรรดาคุณหนูไปเดินเล่นในสวนดีกว่า สาว ๆ ควรเดินไปเดินมา จักให้มานั่งอยู่กับที่นาน ๆ มิดีหรอก”
อวิ๋นเอ๋อคือบุตรีของบุตรชายคนโตจวนติ้งกั๋วกง นางมีนามว่าซุนเมิ้งอวิ๋น ส่วนเซียนเอ๋อคือบุตรีของบุตรชายคนรองจวนติ้งกั๋วกง นางมีนามว่าซุนเมิ้งเซียน พวกนางมีใบหน้ารูปไข่ ปากคิ้วคางมีส่วนคล้ายคลึงกันหลายส่วน เพียงแต่จมูกของซุนเมิ้งอวิ๋นโด่งเป็นสันมากกว่าจึงทำให้ดูเป็นคนเปิดเผยร่าเริง ส่วนซุนเมิ้งเซียนจมูกงุ้มลงเล็กน้อยดูเป็นคนที่ละเอียดละออมากกว่า
เมื่อได้ยินติ้งกั๋วกงฮูหยินสั่ง พวกนางก็รับคำอย่างพร้อมเพรียง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มสุภาพได้หันไปยิ้มให้บรรดาคุณหนู
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นดังนั้นก็หันไปหาพวกอันหลิงเกอ ใบหน้าที่ได้รับการบำรุงมาอย่างดีกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน “เกอเอ๋อ เฉว่เอ๋อและอีเอ๋อ พวกเจ้าไปเถิด ไปเล่นสนุกกันเสียหน่อย”
ติ้งกั๋วกงฮูหยินทำเช่นนี้เพื่อเป็นการบอกว่านางมีเรื่องสนทนาตามประสาผู้ใหญ่และเด็กมิควรฟัง ฮูหยินทั้งหลายจึงสั่งบุตรสาวให้ตามพวกซุนเมิ้งอวิ๋นออกไปเดินเล่นในสวนทันที
เหล่าคุณหนูแต่งกายงดงามจับใจ ทุกคนรับคำและลุกขึ้นยืนจากนั้นก็เดินตามซุนเมิ้งอวิ๋นและซุนเมิ้งเซียนออกไป
ซินเจียวเจียวก็เช่นกัน แต่นางแสดงชัดเจนว่ามิสนใจชมดอกไม้ สายตาของนางกวาดมองไปทั่วจนพบอันหลิงเกอ นางจึงผ่อนเท้าให้ช้าลงเพื่อเดินไปอยู่แถวเดียวกับอันหลิงเกอ
“หลิงเกอ น้องสาวของเจ้าทั้งสองคนนี้ช่างน่ารำคาญเสียจริง”
นางมองไปทางอันหลิงเฉว่และอันหลิงอี สายตาแสดงความรังเกียจอย่างมิปิดบัง
เริ่มแรกก็เป็นอันหลิงเฉว่มาแย่งที่นั่งของอันหลิงเกอ ต่อมาก็มีเรื่องหลี่ซื่อเข้ามายึดสินเดิมที่ท่านแม่ของอันหลิงเกอทิ้งไว้อีก ซินเจียวเจียวแค่คิดก็อดโมโหขึ้นมามิได้
มีพี่น้องนิสัยเช่นนี้ นอกจากมิรักใคร่ปรองดองกันแล้ว แค่อยู่ร่วมกันได้โดยไร้เรื่องราวอันใดก็ถือว่าสวรรค์คุ้มครอง
อันหลิงเกอมิได้ใส่ใจสองคนนั้นสักเท่าไร เพราะถึงอย่างไรระหว่างพวกนางทั้งสามก็มิได้มีสายสัมพันธ์ฉันท์พี่น้องลึกซึ้งต่อกันอยู่แล้ว พวกนางต่างก็ตั้งตนเป็นศัตรูกันอย่างเปิดเผยมานาน เพียงแค่ต้องจับมือกันในบางเวลาเพื่อแสดงให้คนภายนอกเห็นว่ายังพอสามัคคีกันบ้างเท่านั้น
ริมฝีปากของนางยกขึ้น ดวงตาดำขลับราวกับบรรจุดวงดาวไว้เต็มไปหมด มันเป็นประกายเสียจนทำให้คนมิกล้าสบตาตรง ๆ
“ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราเป็นเช่นไร คิดว่าเจ้าก็คงรู้ พวกนางมิชอบข้า ข้าเองก็มิชอบพวกนาง เช่นนี้ก็มิจำเป็นต้องมาคอยทำตัวอยู่ติดกันตลอดเวลา”
เมื่อออกจากโถงรับแขกก็มิมีสายตาของเหล่าฮูหยินคอยจับจ้อง พวกนางจักเสแสร้งทำเป็นรักใคร่ปรองดองกันไปเพื่อเหตุใด มิมองกันอย่างเอาเป็นเอาตายก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว
ซินเจียวเจียวลองนึกตามก็พบว่าสถานการณ์ในจวนโหวเป็นเช่นนั้นจริง นางจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาแล้วพูดปลอบใจอันหลิงเกอ “วางใจเถิด พวกนางมีจิตใจสกปรก ดังนั้นการอยู่ห่างพวกนางก็ดีเหมือนกัน”
อันหลิงเกอส่งเสียง อืม รับคำ แล้วอยู่ ๆ ก็หันไปมองหน้าอีกฝ่าย “ใช่สิ เรื่องที่ครั้งก่อนเจ้าเคยบอกข้า ฮวนฮวนกับเล่อเล่อกลับมาที่จวนหรือยัง ? ”
เมื่อเอ่ยถึงเด็กสองคนนั้น สีหน้าของซินเจียวเจียวก็มีความกังวลทันที “ข้าให้บ่าวข้างกายที่ไว้ใจได้ไปตามหาพวกเขาแล้ว”