พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 42 เกิดเรื่องที่คลังเก็บสิ่งของ
ตอนที่ 42 เกิดเรื่องที่คลังเก็บสิ่งของ
เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นภายในจวนโหว ร่วมกับเสียงกระซิบกระซาบของกลุ่มสาวใช้กลุ่มหนึ่ง ทำให้จวนโหวนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นในยามเช้าตรู่
เมื่อวานหวังซื่อเพิ่งกลับมาถึงจวนและได้ยึดอำนาจจากมือของหลี่ซื่อมาได้ กำลังอยู่ในช่วงเวลาฮึกเหิมระเริงใจ นางอาบน้ำภายใต้ความช่วยเหลือและปรนนิบัติรับจากสาวใช้แล้วเสร็จ จากนั้นก็สวมกระโปรงยาวสุดหรูหราที่ทำด้วยผ้าไหมปักสีทอง และกำลังเดินออกมา ก็พบเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น จึงเอ่ยถามออกไปว่า “พวกเจ้าตะโกนโหวกเหวกโวยวายด้วยเรื่องอันใดกัน ? ”
น้ำเสียงของหวังซื่อที่กล่าวถามออกไปมิได้เข้มงวดมาก แต่เต็มไปด้วยความสงสัย นางเพิ่งกลับมาที่จวนและกำลังจะสร้างฐานอำนาจ จะให้คนอื่นคิดว่านางเป็นคนนิสัยมิดีได้เยี่ยงไร
เมื่อบรรดาบ่าวรับใช้ได้ยินต่างก็มองหน้ากันเลิ่กลั่ก อ้ำอึ้งมิพูดมิจา
“พวกเจ้าหูหนวกเป็นใบ้ไปกันหมดแล้วหรือ ? ”
หวังซื่อคิดว่าบ่าวรับใช้พวกนี้มิเห็นนางอยู่ในสายตา จึงชี้นิ้วไปทางสาวใช้ที่อยู่ด้านหน้าแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เจ้าบอกข้ามาสิว่าพวกเจ้าเอะอะโวยวายอันใดตั้งแต่เช้าเยี่ยงนี้ ? ”
สาวใช้คนนั้นถึงกับสะดุ้งโหยงโดยมิรู้ตัวเมื่อถูกหวังซื่อชี้นิ้วมา แต่ก็ก้าวไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง
“เรียนนายหญิงรองเจ้าค่ะ เกิดปัญหาบางอย่างขึ้นที่ห้องเก็บสมบัติ ฮูหยินรองกำลังส่งคนไปดูเจ้าค่ะ…”
“เมื่อวานท่านแม่ส่งมอบห้องเก็บสมบัติให้ข้าเป็นผู้ดูแลจัดการแล้ว เหตุใดหลี่ซื่อถึงได้เข้ามายุ่งอีก ? ”
หวังซื่อขมวดคิ้วเรียวขึ้น จากนั้นใช้มือแตะกุญแจที่อยู่ในแขนเสื้ออีกข้างของตน แล้วยืดหลังตรง พร้อมกับความรู้สึกโมโหหลี่ซื่อที่เข้ายุ่งในเรื่องนี้ ทั้งที่มันเป็นหน้าที่รับผิดชอบของตน
“ไป ! ตามข้าไปดูสิว่าหลี่ซื่อกำลังทำอันใดอยู่ ! ”
หวังซื่อออกคำสั่งเดินนำสาวใช้ไปยังห้องเก็บสมบัติ ด้วยน้ำเสียงที่มิสบอารมณ์ ระหว่างเดินทางนางได้แต่นึกในใจว่า หากนางจับได้ว่าหลี่ซื่ออยากได้อยากมี โลภมากอยากได้อำนาจคืนและมิเต็มใจปล่อยให้นางเป็นผู้ดูแลห้องเก็บสมบัติแล้วละก็ นางจะไปร้องห่มร้องไห้กับท่านแม่ มิแน่บางทีอาจจะได้อำนาจส่วนอื่นมาเพิ่มอีกก็เป็นได้
เมื่อนึกได้เช่นนี้ ฝีเท้าของหวังซื่อเหมือนดั่งลมพัด ยิ่งเดินเร็วขึ้น กลัวว่าหากไปช้าเกินกว่านี้จะจับพิรุธของหลี่ซื่อมิได้ เมื่อเห็นนายหญิงรองเร่งฝีเท้าขึ้น บ่าวรับใช้ก็เหลือบมองหน้ากันเลิ่กลั่ก จากนั้นก็เดินตามหวังซื่อไปอย่างกระหืดกระหอบ มุ่งหน้าไปทางห้องเก็บสมบัติ
หลี่ซื่อเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่กระหืดกระหอบมาแต่ไกล แต่เมื่อนางแสร้งหันกลับไปก็ทักทายหวังซื่ออย่างอ่อนโยน แต่ตรงข้ามกับใบหน้าของหวังซื่อที่ดูมิค่อยอ่อนโยนนัก นางจ้องมองหน้าหลี่ซื่อที่อยู่ตรงหน้าอย่างมิพอใจ แล้วเอ่ยถามออกไปด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า “ท่านแม่ส่งมอบห้องเก็บสมบัติให้ข้าดูแลแล้ว หลี่ซื่อ เจ้ามาทำอันใดอยู่ที่นี่ ?”
เมื่อวานยามเว่ย นางได้รับกุญแจจากสาวใช้ของหลี่ซื่อ นางยังคิดอยู่เลยว่าถึงแม้หลี่ซื่อจะงี่เง่าไปบ้าง แต่ก็เป็นคนรู้จักประเมินสถานการณ์และเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ได้ดี แต่เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น นางก็รับรู้ได้ในทันทีว่ามันมิได้เหมือนที่ตนคาดเอาไว้
ทางด้านหลี่ซื่อที่แสร้งทำเหมือนฟังมิได้ยินน้ำเสียงเยาะเย้ยของหวังซื่อ ใบหน้าของนางยังคงเปื้อนยิ้มอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็แสร้งกล่าวออกมาด้วยท่าทีอ่อนน้อมว่า “วันนี้มีคนมาแจ้งกับข้าตั้งแต่เช้าตรู่ ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นที่ห้องเก็บสมบัติ ข้าถึงได้มาดู ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเรื่องนี้ก็ขอมอบหมายให้เจ้าจัดการต่อก็แล้วกัน”
คำกล่าวนี้ของนางเหมือนกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม แต่แฝงไปด้วยความเย้ยหยัน เมื่อครุ่นคิดตามที่นางกล่าวมาดูเหมือนหลี่ซื่อนั้นกำลังตบหน้านางชัด ๆ !
เนื่องจากห้องเก็บสมบัติเกิดเรื่องขึ้น แต่คนรับใช้มิมาแจ้งแก่นางที่เป็นผู้ดูแลห้องเก็บสมบัติ แต่กลับไปหาหลี่ซื่อแทน นั้นหมายความว่าพวกบ่าวรับใช้เชื่อมั่นในตัวหลี่ซื่อมากกว่าและมิสนใจนายหญิงรองที่เพิ่งกลับมาถึงจวนเยี่ยงนาง ?
เมื่อคิดได้เช่นนั้นใบหน้าของหวังซื่อก็ซีดลง หากมิกังวลว่าอยู่ต่อหน้าผู้คนมากมาย นางคงตบหน้าหลี่ซื่อไปแล้วจริง ๆ นางพยายามสูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มอารมณ์โกรธเอาไว้ จากนั้นเดินไปรอบตัวของหลี่ซื่อ และเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าบ่าวรับใช้คนหนึ่ง แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นที่ห้องเก็บสมบัติ เจ้าอธิบายมาให้ข้าฟังอย่างชัดเจนสิ ! ”
บ่าวรับใช้ผู้นั้นเห็นสีหน้าของหวังซื่อมิสู้ดีนัก จึงมิกล้าที่จะประมาทจากนั้นก็รีบเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบให้นางฟัง
เมื่อหวังซื่อได้ฟังเรื่องราวจากต้นจนจบ ใบหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันตา และก็เข้าใจได้ในทันทีว่าห้องเก็บสมบัติถูกขโมยและมีของมีค่าหลายชิ้นหายไป จากนั้นนางก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นออกไปว่า “มีอันใดขาดหายไปบ้าง เจ้าได้จดรายละเอียดออกมาแล้วใช่หรือไม่?”
“ขอรับ ! บ่าวได้ตรวจสอบดูแล้วสิ่งที่ขาดหายไป คือด้ามจับหยูอี้1 สัญลักษณ์แห่งสิริมงคลด้ามหนึ่ง กระบี่หยกชิงเฟิงหนึ่งด้าม และกำไลเกลียวทองแกะสลักสามคู่ขอรับ”
เมื่อได้ฟังที่บ่าวรับใช้กล่าวรายงาน หวังซื่อนางก็ได้คิดตริตรองอย่างถ้วนถี่แล้ว ว่าสิ่งของเหล่านี้มีค่ามากเมื่อวางไว้ในบ้านของคนทั่วไป แต่เมื่อวางไว้ในจวนโหว สิ่งของพวกนี้มันก็เป็นเพียงสิ่งของที่ฝุ่นเกาะ ราคาแพงก็จริงแต่มิถือว่าหายากอันใด
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจคือสิ่งของเหล่านี้หายไปอย่างไร้ร่องรอย ก็เป็นธรรมดาที่นางต้องค้นหาให้ชัดเจน มิฉะนั้นจะพิสูจน์ความสามารถของตัวเองได้เยี่ยงไร และจะต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจในมือมาจากหลี่ซื่อมาได้เยี่ยงไร ?
เมื่อนางหันไปมองหน้าของหลี่ซื่อ ที่มิรู้ว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ และได้เอ่ยถามนางออกไปว่า
“มิทราบว่าเจ้าพบเบาะแสอันใดหรือไม่ ? ”
หลี่ซื่อเมื่อได้ฟังหวังซื่อเอ่ยถาม ก็ได้ส่งยิ้มไปให้แล้วกล่าวออกมาว่า “ข้าก็เพิ่งมาถึงที่นี่ ในเมื่อเจ้ามาแล้ว ข้าจะสามารถหาเบาะแสอันใดได้ จะว่าไปแล้วข้าก็ส่งมอบกุญแจห้องเก็บสมบัติให้แก่เจ้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นห้องเก็บสมบัติก็ควรอยู่ในการตัดสินใจของเจ้า ข้ามิกล้าเข้าไปแทรกแซงหรอก”
มิกล้าแทรกแซงเยี่ยงนั้นหรือ ?
เมื่อได้ฟังหลี่ซื่อกล่าว ภายในใจของหวังซื่อก็เกิดความรู้สึกเย้ยหยันขึ้นมา
“ที่เจ้ากล่าวมานั้นก็ถูก ท่านแม่เชื่อมั่นในตัวข้า ถึงได้ส่งมอบห้องเก็บสมบัติให้ข้าจัดการดูแล เวลานี้มีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ข้าก็ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนแล้วนำทรัพย์สินที่สูญหายกลับคืนมา ถึงจะมิเสียความไว้วางใจที่ท่านแม่มีให้ข้า”
“ถ้าเช่นนั้นก็ขอให้เจ้าค้นพบและหาเจอโดยเร็วที่สุด เพื่อที่ท่านแม่จะได้สบายใจ”
หลี่ซื่อรับคำเห็นด้วยกับสิ่งที่หวังซื่อกล่าวออกมา จากนั้นก็หันหลังกลับพาสาวใช้เดินจากไป
หวังซื่อที่อยู่ด้านหลังมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นเมื่อเห็นหลี่ซื่อเดินจากไป นางบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแน่น
“นายหญิงรอง ดูสิขอรับ…”
คนรับใช้หน้าด้านเข้าไปยืนอยู่ตรงหน้า และชี้นิ้วไปที่ห้องเก็บสมบัติ
เมื่อได้ยินเสียงเรียกของบ่าวรับใช้ หวังซื่อก็ได้สติกลับมา จากนั้นนางก็ได้แต่ขบกรามแน่นและพูดรอดไรฟันออกมา
“ตรวจสอบให้ข้าอย่างชัดเจนว่าของพวกนั้นหายไปอย่างไรร่องรอยได้เยี่ยงไร”
ถึงแม้จวนโหวจะมิได้มีกำลังทหารจำนวนมากอยู่ในมือเหมือนจวนอ๋องมู่ แต่องค์รักษ์ในจวนก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี คิดจะขโมยของจากจวนโหวไปนั้นมันมิใช่เรื่องง่ายเลย
บ่าวรับใช้ขานรับด้วยสีหน้าที่อมทุกข์ ตั้งแต่รู้ว่ามีของหายไปจากห้องเก็บสมบัติ เขาก็นำคนออกค้นหาอย่างละเอียด ถ้าสามารถหาเบาะแสเจอคงจะพบของนานแล้ว
เมื่อสั่งการบ่าวรับใช้เสร็จ หวังซื่อกลับมาที่เรือนตัวเองด้วยความกลัดกลุ้มใจ รินน้ำชาหลายถ้วยดื่มติดต่อกัน แต่ก็มิทำให้ความรู้สึกกลัดกลุ้มใจลดลงไปได้เลย วันนี้เป็นวันแรกที่นางเข้ามาดูแลห้องเก็บสมบัติ แต่กลับถูกขโมยของในห้องนั้นไป ต่อให้เป็นใครก็อารมณ์มิดีกันทั้งนั้น
ในขณะที่กลัดกลุ้มใจอยู่นั้น จู่ ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่าอันหลิงเกอมาหา หวังซื่อรีบเก็บอาการกลัดกลุ้มใจบนใบหน้าลง และเผยรอยยิ้มแย้มออกมา
“เกอเอ๋อ เจ้ามาที่นี่มีเรื่องอันใดกับข้ารึ ? ”
อันหลิงเกอเดินเข้ามาในห้องด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส
“เกอเอ๋อไปทำความเคารพต่อท่านย่ามาเจ้าค่ะ พอดีเดินผ่านมาทางเรือนอาสะใภ้รองพอดี จึงแวะมาเยี่ยมเจ้าค่ะ”
“อาสะใภ้รองมีอันใดให้ดูกัน ”
หวังซื่อยิ้มอย่างอ่อนโยน
“สู้ไปเล่นน้องสาวของเจ้านั้นดีกว่า พวกเจ้าคนหนุ่มสาวเล่นด้วยกันน่าจะสนุกกว่า”
“อันที่จริงเกอเอ๋อนำของขวัญมาให้อาสะใภ้รองเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอกล่าวไป ทางด้านปี้จูก็หยิบกล่องเล็ก ๆ ขึ้นมาทันที
“อันที่จริงของชิ้นนี้ควรจะมอบให้อาสะใภ้รองและพี่หญิงตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้วเจ้าค่ะ แต่ตอนนั้น…”
อันหลิงเกอเงียบไปสักพัก ก็ตัดบทเรื่องนี้ไปเลย
“ดังนั้นวันนี้เกอเอ๋อเลยนำของมามอบให้อาสะใภ้รองเจ้าค่ะ”
เมื่อหวังซื่อเห็นท่าทีของอันหลิงเกอ ก็เข้าใจทันทีว่านี่เป็นการแสดงออกมาถึงความเอาอกเอาใจและชักนำมาเป็นพวกเดียวกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ดวงตาของหวังซื่อเป็นประกาย แล้วส่งยิ้มให้นางอย่างสนิทสนมมากขึ้น
“ดูเจ้าสิ มิได้มีเงินเก็บส่วนตัว ยังจะเอาของพวกนี้มาให้ข้าอีก และมิกลัวตัวเองจะจนหรือเยี่ยงไร”
1 หยูอี้หมายถึงคทาที่ฮ้องเต้พระราชทานแก่ขุนนางผู้ใหญ่เพื่อที่จะเข้าเฝ้าได้ หยูอี้จึงเป็นเหมือนป้ายตำแหน่งของขุนนางฝ่ายบุ๋นที่จะเข้าเฝ้ากราบบังคมทูลเฉพาะในท้องพระโรง