พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 45 แผนซ้อนแผน
ตอนที่ 45 แผนซ้อนแผน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยถาม เป็นเหตุให้หวังซื่อจ้องมองปิ่นทองนั้นแล้วถึงกับหน้าถอดสีไปทันที !
ปิ่นทองที่หักอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเหล็กที่เคลือบผงทองคำไว้ด้านนอก มันคือปิ่นทองที่ทำปลอมขึ้นมา เมื่อกาลเวลาผ่านไปจึงขึ้นสนิม
หลี่ซื่อแสร้งทำท่าทางตกใจ แล้วก้มลงไปหยิบ ‘ปิ่นทอง’ ที่ร่วงหล่นลงขึ้นมา และหยิบขึ้นมาดูใกล้ ๆ อย่างระมัดระวัง ในตอนนี้น้ำตาบนใบหน้าก็เหือดแห้งไปแล้ว
จากนั้นนางก็จ้องมองมาทางหวังซื่อ แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “หวังซื่อ เจ้าเอาแต่กล่าวหาว่าข้าให้บ่าวรับใช้ไปขโมยทรัพย์สินในห้องเก็บสมบัติ แล้วนำหลักฐานออกมาพิสูจน์ หลักฐานที่เจ้านำมาเป็นของเยี่ยงนี้หรอกรึ ? ”
เมื่อถูกหลี่ซื่อเอ่ยถาม หวังซื่อก็มิรู้จะกล่าวตอบออกไปเยี่ยงไร เมื่อเห็นหลักฐานตรงหน้า เดิมทีนางแสร้งทำเป็นเศร้าเสียใจและโกรธเคือง แต่ในเวลานี้สีหน้านางก็มิสู้ดีนัก มือที่แนบอยู่ข้างกายสั่นไหว
มิอยากเชื่อเลยว่าของที่ตนเองพยายามค้นหาอย่างยากลำบาก กลับกลายมาเป็นสิ่งของพวกนี้ไปได้ !
หรือว่าเรื่องทั้งหมดนี้หลี่ซื่อวางแผนการเอาไว้หมดแล้ว ! ?
เมื่อนึกได้เช่นนั้น นางก็ชายตาขึ้นมอง ก็เห็นรอยยิ้มตรงมุมปากของหลี่ซื่อ เหมือนกับกำลังหัวเราะเยาะเย้ยตนที่โง่เขลาและกระโดดลงไปในกับดักที่นางได้ขุดไว้อย่างง่ายดาย
ในเวลานี้เมื่อเห็นท่าทีของหวังซื่อ หลี่ซื่อก็รู้สึกสาแก่ใจเสียจริง เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อวาน เริ่มจากที่นางวางแผนจะจัดการกับหวังซื่อ นางก็มิคิดที่จะปล่อยให้หวังซื่อรอดพ้นเงื้อมมือของนางไปได้อย่างแน่นอน
นางจึงได้วางแผนเยี่ยงนี้ขึ้น นางคิดว่าถ้าหวังซื่อตรวจมิเจอของบนตัวหงหยิงนั้น ก็แสดงว่ามิมีความสามารถที่จะดูแลจัดการห้องเก็บสมบัติ เพียงแค่ดูแลห้องเก็บสมบัติวันแรกก็ทำของหายและยังหากลับมามิได้อีก
แต่ถ้าหากหวังซื่อตรวจเจอของจากตัวหงหยิงได้ ก็จะยิ่งดีเพราะนางได้วางแผนให้หงหยิงเตรียมหลักฐานเท็จไว้นานแล้ว เพียงเพื่อจะใส่ร้ายหวังซื่อ
เมื่อเป็นเยี่ยงนั้นแล้วมิว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะลำเอียงไปหาหวังซื่อเพียงใด ก็ต้องดุด่าสั่งสอนนาง ด้วยวิธีนี้มันคงมิง่ายแล้ว ถ้าหวังซื่อคิดที่จะมาสร้างฐานอำนาจอยู่ในจวนโหวแห่งนี้
ในตอนนี้เมื่อเรื่องราวนั้นเป็นไปตามที่ตนวางเอาไว้ นี่ถือเป็นโอกาสดีที่จะได้แก้แค้นหวังซื่อ เมื่อนึกได้เช่นนั้นหลี่ซื่อก็แสร้งตีหน้าเศร้า ตาแดงก่ำนั้นมีน้ำตานองหน้า ทำท่าอย่างกับว่าถูกปรักปรำและมิได้รับความเป็นธรรม จากนั้นก็ได้กล่าวเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับตนเองต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า
“ท่านแม่เจ้าคะ ท่านช่วยให้ความเป็นธรรมกับข้าด้วยเจ้าค่ะ หวังซื่อมิได้ดูแลจัดการดูแลห้องเก็บสมบัติให้ดี ปล่อยให้ห้องเก็บสมบัติโดนขโมยสมบัติไป ถ้าติดตามกลับมาดี ๆ ต้องสามารถหาทรัพย์สินที่หายไปกลับมาได้”
นางกล่าวออกมาพร้อมกับถือหลักฐานในมือกวัดแกว่งไปมาต่อหน้าของฮูหยินผู้เฒ่า
“แต่หวังซื่อมิรีบร้อนตามหาของที่หายไป แต่กลับให้คนทำของพวกนี้ปลอมขึ้นมาใส่ร้ายข้า มิรู้ว่านางกำลังคิดอะไรกันอยู่เจ้าค่ะ ? “
หลี่ซื่อพูดเพียงมิกี่ประโยค ก็โยนความผิดทั้งหมดให้หวังซื่อได้
คำกล่าวของนางที่กล่าวออกมานั้นสามารถตีความหมายว่า เป็นเพราะหวังซื่อกลัวถูกฮูหยินผู้เฒ่าตำหนิ เยี่ยงนั้นถึงได้สร้างหลักฐานเท็จเพื่อมาใส่ร้ายนาง มิแน่บางทีของในห้องเก็บสมบัติที่หายไป อาจจะเป็นการแสดงฉากหนึ่งของหวังซื่อก็เป็นได้ !
เมื่อคำกล่าวของนางบ่งบอกออกมาเยี่ยงนี้ ก็ทำเอาหวังซื่อที่ได้ฟังก็รู้สึกโกรธจนหน้าสั่น ขบกรามแน่นจนเกิดเสียงดังออกมา แต่กลับกล่าวอันใดมิออก
แต่ตรงข้ามกับฮูหยินผู้เฒ่าที่เมื่อได้ฟังแล้วก็มองมายังหลี่ซื่อด้วยแววตาแปลกใจ ดูมิเหมือนสายตาที่พร่ามัวของคนในวัยนี้ที่ควรจะมี นางนั้นมิรู้จักหลี่ซื่อดีพอ แต่หวังซื่ออาศัยอยู่กับนางที่บ้านเก่ามานานหลายปีแล้ว นางจะมิรู้จักนิสัยของหวังซื่อเชียวรึ ?
ถ้าหวังซื่อสามารถทำเรื่องให้ร้ายใครเยี่ยงนี้ได้ ก็คงมิให้พวกอนุของบุตรชายคนรองของตนนั้นหยิ่งผยองอยู่เช่นทุกวันนี้หรอก
เมื่อนึกมาจนถึงตอนนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าก็พอจะมองออกแล้วว่าเรื่องนี้ถ้ามิใช่หลี่ซื่อวางแผนการเอาไว้ หลี่ซื่อก็คงรู้เบื้องหน้าเบื้องหลังของเรื่องนี้ดี แต่ก็ยังเสแสร้งต่อไป มิว่าจะเป็นเยี่ยงไร หลี่ซื่อผู้นี้ก็มิมีความบริสุทธิ์ใจทั้งนั้น
แต่ในสถานการณ์ตอนนี้คือหลี่ซื่อนั้นถูกใส่ร้าย นางมิเพียงจะมิสามารถตำหนิหลี่ซื่อได้แล้วนั้น
แต่ยังต้องมากล่าวปลอบใจนางอีกด้วย
ในเมื่อเรื่องเป็นเยี่ยงนี้แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าก็ได้แต่กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “เอาล่ะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ถือว่าลูกสะใภ้รองทำมิถูก ทำให้หลี่ซื่อถูกใส่ร้าย”
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวพร้อมเหลือบมองใบหน้าที่มิสู้ดีนักของหวังซื่อ เมื่อเห็นเช่นนั้นนางจึงได้กล่าวเสริมอีก เพื่อจงใจที่จะปรับเปลี่ยนนิสัยของหวังซื่อ และอีกในหนึ่งคือเพื่อสั่งสอนและเตือนสติของนาง
“สะใภ้รอง เจ้าก็ต้องปรับเปลี่ยนนิสัยนี้ด้วยอย่ามองแค่เพียงตื้นเขิน แล้วคิดว่าตัวเองมีความสามารถควบคุมไปได้เสียหมดทุกอย่าง หากมิรู้ดีพออาจจะกลายเป็นหมากตัวหนึ่งบนกระดานหมากรุกของผู้อื่น และเดินตามความคิดของผู้อื่นทีละขั้นตอนเอาได้”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวสั่งสอนของฮูหยินผู้เฒ่า หวังซื่อก็ได้เพียงเม้มปาก ถึงแม้จะมิเต็มใจที่ถูกหลี่ซื่อเล่นงานเยี่ยงนี้ แต่นางรู้ดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าทำเพื่อตนเอง นางจึงพยักหน้าและกล่าวออกมาด้วยความเคารพว่า “ท่านแม่สั่งสอนถูกแล้วเจ้าค่ะ ลูกจะจดจำเอาไว้เจ้าค่ะ”
แผนซ่อนแผนนี้ออกแบบมาอย่างแยบยล นางจะมิจดจำได้เยี่ยงไร ?
“ในเมื่อเรื่องในวันนี้เจ้าใส่ความสะใภ้หลี่ เจ้าก็ต้องขอโทษนาง และเรื่องนี้ให้มันผ่านไปเสีย”
หวังซื่อพยักหน้า และกัดฟันส่งยิ้มให้หลี่ซื่อ
“เรื่องนี้ข้าเข้าใจเจ้าผิดไป ข้าขอโทษเจ้า ณ ที่ตรงนี้ด้วยแล้วกัน”
หลี่ซื่อทำโบกมืออย่างใจกว้าง แต่ก็ยังแสร้งขมวดคิ้วอย่างน้อยใจ
“แค่ข้าสามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวข้าเองได้ก็ดีแล้ว มีหรือจะกล้าขอให้เจ้ามาขอโทษขอโพยข้าเยี่ยงนี้”
เมื่อได้ฟังท่าทีและคำกล่าวของหลี่ซื่อ ฮูหยินผู้เฒ่ารู้สึกมิค่อยพอใจ แม้วิธีการของหลี่ซื่อจะมิเลว แต่จิตใจนั้นช่างคับแคบเกินไป
โชคดีนะที่หลายปีมานี้หลี่ซื่อมิได้เลื่อนสถานะขึ้นมาเป็นภริยาเอก มิเยี่ยงนั้น การที่นางเป็นเช่นนี้มันคงทำให้ผู้อื่นหัวเราะเยาะในความใจแคบของสะใภ้ใหญ่แห่งจวนโหวเอาได้เป็นแน่ ?
“เอาล่ะ ในเมื่อเรื่องนี้คลี่คลายแล้ว พวกเจ้าทั้งสองก็กลับไปเถอะ ควรทำอันใดก็ไปทำเสีย อย่าทำให้ในจวนวุ่นวาย”
ทั้งสองรีบขานรับ และกลับไปที่เรือนของตัวเอง
….
เรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เรือนชิงเฟิง ก็มาเข้าหูของอันหลิงเกออย่างรวดเร็ว
ปี้จูบรรยายการต่อสู้ระหว่างทั้งสองอย่างสมจริงสมจัง และในตอนท้าย ก็ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความเสียดาย
“ถ้าหากนายหญิงรองพบของพวกนั้นที่ถูกขโมยไปจริง จะต้องทำให้ฮูหยินรองพบกับการสูญเสียครั้งใหญ่เป็นแน่เจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอส่ายหน้า นัยน์ตาขึงขัง
“อี๋เหนียงขุดหลุมรออาสะใภ้รองกระโดดลงมาอยู่แล้ว เป็นธรรมดาที่จะมิมีทางปล่อยให้อาสะใภ้รองค้นหาของพวกนั้นเจอได้โดยง่าย”
เมื่อย้อนนึกกลับไปตอนที่อาสะใภ้รองเอ่ยถามเรื่องราวจากตน ตนก็แสร้งทำเป็นเปิดเผยข้อมูลของหงเถาอย่างมิได้ตั้งใจ ใครจะคาดคิดถึงว่ามันอยู่ในแผนการของอี๋เหนียงอยู่แล้ว ดูเหมือนว่าการมาถึงของอาสะใภ้รอง จะทำให้อี๋เหนียงระมัดระวังตัวขึ้น และมิทำให้ตัวเองประมาทอีกต่อไป และเมื่ออี๋เหนียงโจมตีอย่างสุดกำลังนั้น มันก็ยากที่จะป้องกันจริง ๆ
อันหลิงเกอที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ ๆ นอกประตูก็มีสาวใช้เข้ามารายงานว่า คุณหนูอันหลิงเฉ่ว บุตรีของท่านอาสะใภ้สามมาหา
อันหลิงเกอยังมิได้กล่าวตอบกลับสาวใช้ ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นมา
“เฉ่วเอ๋อมาโดยมิได้รับเชิญ พี่หญิงคงมิว่านะเจ้าคะ”
พร้อมกับอันหลิงเฉ่วที่เดินเขามา ในเวลานี้นางมองมาที่อันหลิงเกอ ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มเผยให้เห็นเขี้ยวเล็ก ๆ สองซี่ที่มุมปาก รูปลักษณ์ที่ไร้เดียงสาและน่ารักทำให้ใครที่ได้มองต่างก็รู้สึกชอบ
ปีนี้อันหลิงเฉ่วอายุเพียง 13 ปี อยู่วัยเดียวกับอันหลิงอี แต่แก่กว่าอันหลิงอีไปมิกี่เดือน ในบรรดาคุณหนูในจวนเมื่อจัดลำดับแล้ว อันหลิงเกอเป็นคุณหนูใหญ่ อันหลิงเฉ่วเป็นคุณหนูรอง อันหลิงอีจึงกลายมาเป็นคุณหนูสามแทน และบุตรสาวของอนุภรรยาของท่านอาสาม อันหลิงเหมิง คือคุณหนูสี่
อันหลิงเกอเงยหน้าขึ้นมองมาทางนาง ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้ามาหาพี่หญิง พี่นั้นย่อมดีใจเสียมากกว่า จักต่อว่าเจ้าได้เยี่ยงไรกัน”
นางยืนขึ้นและจับมือของอันหลิงเฉ่ว และพานางมานั่งลงข้างตัวเอง อันหลิงเฉ่วมีท่าทีที่จะชักมือกลับเล็กน้อยโดยมิรู้ตัว แต่ก็ตั้งสติกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
นางนั่งอยู่ข้างกายอันหลิงเกอ กำลังคิดถึงเรื่องที่จะทำต่อไป จู่ ๆ ฝ่ามือก็ค่อย ๆ มีเหงื่อซึมออกมา
“ของขวัญที่พี่หญิงให้คนนำมาให้ในวันนี้ ข้าชอบมันมากเลยเจ้าค่ะ”
นางฉีกยิ้ม แววตาก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม แต่มือข้างหนึ่งกลับขยำมุมเสื้ออย่างอย่างประหม่า อันหลิงเกอเหลือบมองมือที่ขยำมุมเสื้อของนาง แต่ก็ยังยิ้มราวกับว่ามองมิเห็น
“ข้าคิดว่าปิ่นอันนั้นสวยมาก ดูเหมาะสมกับเจ้า อันที่จริงข้ายังกลัวเลยว่าเจ้าจะมิชอบ แต่เมื่อได้ฟังเจ้าเอ่ยเยี่ยงนี้ ข้าก็สบายใจ”