พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 46 แอบแฝงไปด้วยความคิดก่อกรรมทำชั่ว
ตอนที่ 46 แอบแฝงไปด้วยความคิดก่อกรรมทำชั่ว
“พี่หญิงมอบของขวัญให้กับข้า ข้าก็มีของขวัญที่จักมอบให้พี่หญิงเช่นกันเจ้าค่ะ ดีมาก็ต้องดีกลับถึงจะถูกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
นางกล่าวไปพลางหยิบถุงเงินที่ปักอย่างวิจิตรออกมา แล้วส่งให้กับอันหลิงเกอ
“นี่เป็นถุงเงินที่ข้าทำเองเมื่อตอนที่อยู่บ้านเก่าเจ้าค่ะ ข้ามิรู้ว่าพี่หญิงจะชอบหรือไม่”
“ถุงเงินที่เฉ่วเอ๋อทำเอง ข้าต้องชอบแน่นอนอยู่แล้ว “
อันหลิงเกอกล่าวตอบออกไปอย่างเอาใจพร้อมกับรับถุงเงินมาแล้วพลิกดู ทันใดนั้นที่ก็ได้กลิ่นแปลก ๆ ที่ปลายจมูก แต่อันหลิงเกอก็แสร้งรับถุงเงินมาราวกลับมิรู้เรื่องอันใด และกล่าวชมเชยความเป็นกุลสตรีและฝีมือเย็บปักถักร้อยของอันหลิงเฉ่ว
“งานปักบนถุงเงินนี้ช่างวิจิตรบรรจง แสดงว่าเฉ่วเอ๋อนั้นมีพื้นฐานที่ดีมาก”
อันหลิงเฉ่วตื่นเต้นจนใจเต้นแรง และเมื่อเห็นอันหลิงเกอรับถุงเงินไปแบบมิลังเลสักนิด
ถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกออกมา
เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวชม นางก็แสร้งยิ้มให้อันหลิงเกออย่างเขินอายออกมา
“ถุงเงินนี้เป็นแค่ของที่ข้าทำในยามว่างเพียงเท่านั้น พี่หญิงมิรังเกียจข้าก็ดีใจมากแล้ว มิคู่ควรแก่การยกย่องเยี่ยงนี้หรอกเจ้าคะ”
หลังจากนั้นทั้งสองพูดคุยกันกันอีกมินาน อันหลิงเฉ่วก็ขอตัวกลับเรือนของตน
เมื่ออันหลิงเฉ่วกลับไป อันหลิงเกอหยิบถุงเงินในอ้อมแขนออกมาแล้วโยนลงไปบนโต๊ะ
ปี้จูหันไปมองด้วยสีหน้าแปลกใจแล้วกล่าวออกมาว่า “นึกมิถึงนะเจ้าคะ ว่าฝีมือการเย็บปักของคุณหนูรองจะดีมากถึงเพียงนี้ “
เมื่อได้ฟังปี้จูกล่าวออกมา อันหลิงเกอก็ได้จ้องมองพิจารณา
ถุงเงินที่ปักลายปลาคาร์ฟสีแดง กำลังแหวกว่ายอยู่ในน้ำ ล้อมรอบด้วยดอกบัวสีชมพูอ่อน ด้ายสีแดง สีชมพู และสีน้ำเงินสลับพันกัน กลายเป็นภาพที่งดงาม งานปักนี้ช่างพิเศษเสียงจริง แม้ฝีมืองานปักของอันหลิงเฉ่วจะเทียบมิได้กับทักษะการปักผ้าในวังหลวง แต่สำหรับบรรดาคุณหนูสูงศักดิ์ที่อายุเพียงเท่านี้ก็ถือได้ว่ามิเป็นหนึ่งสองรองใคร
อันหลิงเกอเมื่อได้พิจารณาถุงเงินที่อันหลิงเฉ่วให้มานั้นแล้ว ภายในดวงตาที่ลึกล้ำดั่งทะเลลึกนั้น มองแล้วยากจะคาดเอาว่านางกำลังคิดอันใดอยู่ จากนั้นนางก็เอ่ยบอกกับปี้จูว่า “ของในถุงเงินใบนั้นมิใช่ของดี”
หลังจากที่นางกล่าวคำนี้ออกมา ปี้จูที่ได้ฟังก็ยังมึนงงและถามด้วยความสงสัยว่า “มีอันใดผิดปกติกับถุงใบนี้หรือเจ้าคะ ? “
อันหลิงเกอพยักหน้า และตอบกลับปี้จูไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ด้านในใส่กลิ่นชะมดไว้ ซ่อนไว้ท่ามกลางกลิ่นดอกไม้ ถึงแม้มิชัดเจนแต่ก็ได้กลิ่น”
ถ้าเป็นคนอื่นบางทีอาจจะมิสามารถค้นพบความลับของถุงใบนี้ได้ แต่สำหรับอันหลิงเกอซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านยา นางจะมิได้กลิ่นแม้แต่กลิ่นชะมดเชียวหรือ ?
เมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้น ปี้จูก็รีบโยนถุงเงินใบนั้นทิ้งไปทันที เหมือนถูกน้ำร้อนลวก แต่มิรู้ด้วยเหตุใด เมื่ออันหลิงเกอเมื่อเห็นท่าทีเยียงนั้นของปีจู้ ก็อดหัวเราะออกมามิได้
“คุณหนูหัวเราะเยาะบ่าวหรือเจ้าคะ ? ”
ปี้จูก็ยังรู้สึกว่าเมื่อสักครู่ตัวเองมีปฏิกิริยาตอบสนองมากเกินไป จึงอดที่จะเขินอายมิได้
“ข้ามิได้หัวเราะเยาะเจ้า”
อันหลิงเกอกล่าวบอกออกไปแล้วหุบยิ้ม จากนั้นกลับมานั่งอย่างสงบเสงี่ยม แสดงทีท่าว่าจริงใจและมิพูดปด
แต่สายตาขี้สงสัยของปี้จูก็ยังมองอันหลิงเกอไปมา แล้วก็อดมิได้ที่จะเอ่ยถามออกมา
“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดถุงเงินที่คุณหนูรองมอบให้ถึงมีกลิ่นชะมดได้ละเจ้าคะ”
ถึงแม้นางจะเป็นแค่สาวใช้คนหนึ่ง แต่ก็พอรู้ว่ากลิ่นชะมดนั้นมิดีต่อหญิงสาว
หากคุณหนูพกถุงเงินติดตัว นานวันไปก็อาจตกอยู่ในภาวะมีบุตรยากได้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่คุณหนูของนางกับคุณหนูรองได้พบหน้ากัน เหตุใดคุณหนูรองถึงได้คิดทำร้ายนางเยี่ยงนี้ ?
แววตาของอันหลิงเกอเรียบเฉย มิมีอาการเสียใจเลยแม้แต่น้อย แล้วกล่าวตอบปี้จูไปว่า “บนโลกใบนี้มันต้องมีสาเหตุ หากใครสักคนมาทำดีต่อเจ้าหรือทำมิดีต่อเจ้าก็ต้องมีเหตุผลด้วยเช่นกัน เจ้าลองคิดดูว่าเหตุใดอันหลิงอีถึงคิดที่จะทำร้ายข้ากันล่ะ ? ”
ปัญหาข้อนี้ปี้จูรู้ดี
“คุณหนูรอง… คุณหนูสามต้องการแต่งงานเข้าจวนอ๋องมู่แทนคุณหนูเยี่ยงไรล่ะเจ้าคะ นางถึงได้คิดร้ายต่อคุณหนูเจ้าค่ะ”
“หึ เจ้าคิดดูว่าอันหลิงเฉ่วนั้นแก่กว่าอันหลิงอีมิกี่เดือนเอง ถ้านางมีความคิดเช่นเดียวกันล่ะ ? ”
เมื่อได้ฟังปี้จูถึงกับอ้าปากกว้าง ตกตะลึงงันถึงกับควบคุมสติมิได้ คุณหนูรองเพิ่งกลับมาถึงจวนเมื่อวาน ก็เกิดชอบท่านมู่ซื่อจื่อขึ้นมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?
“แต่คุณหนูรองมิเคยเห็นท่านมู่ซื่อจื่อเลยนะเจ้าคะ ! ”
ปี้จูมิเอ่ยถามออกไปอย่างมิเข้าใจ ก็ในเมื่อคุณหนูรองมิเคยเห็นแม้แต่หน้าท่านมู่ซื่อจื่อด้วยซ้ำ เหตุใดถึงได้เกิดมีความคิดเยี่ยงนี้ขึ้นมาได้ ?
“เจ้านะ ยังไร้เดียงสาเกินไป”
อันหลิงเกอกล่าวตอบออกไป พร้อมกับเคาะศีรษะของปี้จูเบา ๆ ไปทีหนึ่ง
“ถึงแม้อันหลิงเฉ่วจะมิเคยเห็นมู่ซื่อจื่อ แต่นางต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของมู่ซื่อจื่อมาบ้าง
และต้องรู้เรื่องการแต่งงานระหว่างมู่ซื่อจื่อกับข้าเป็นแน่”
เมื่อนึกย้อนกลับไปเมื่อชาติก่อน อันหลิงอีและอันหลิงเฉ่ว เมื่อได้เจอกันครั้งแรกดวงก็สมพงศ์กัน
แต่มิรู้ด้วยเหตุใดในชาตินี้จู่ ๆ ถึงได้บาดหมางกันเสียได้
ในเวลานั้นอันหลิงเกอคิดยังไงก็มิเข้าใจ แต่เมื่อมามองดูเรื่องนี้อีกครั้งในเวลานี้ก็คาดเดาความคิดของนางได้ง่ายมาก
บางทีการอยากแต่งงานกับใครซักคนก็มิจำเป็นเพราะรูปร่างหน้าตาของบุคคลนั้นเสมอไป แต่เป็นเพราะฐานะของบุคคลนั้นด้วย
ก็เหมือนกับการเลือกหญิงงามประจำปี หลายคนมิเคยพบเห็นรูปร่างหน้าตาของสาวงามเลยว่างามจริงหรือไม่ แต่ก็ยังกระโจนเข้าไปในวังหลวงเพื่อมุ่งสู่ความหรูหราและความเจริญก้าวหน้า
สายตาของอันหลิงเกอจับจ้องมองไปที่ถุงเงินที่ถูกโยนทิ้งใบนั้น ดวงตาสีดำเข้มใสแฝงไปด้วยความเย็นชา
“ในตอนนั้นอันหลิงอีต้องการทำลายความบริสุทธิ์ของข้า และคิดที่จะแต่งเข้าจวนอ๋องมู่แทนข้า
ตอนนี้อันหลิงเฉ่วก็มีความคิดเช่นเดียวกันกับนาง แต่แค่ใช้วิธีการอื่น”
ปี้จูเมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวก็ยังคงค่อนข้างงุนงง อันหลิงเกอจึงอธิบายเสริมว่า “เจ้าลองคิดดู ถ้าวันนี้ข้ามิพบความผิดปกติในถุงเงินใบนั้น รอวันที่ข้าแต่งงานแล้วเข้าไปอยู่ที่จวนอ๋องมู่นั้น สุขภาพร่างกายของข้านั้นคงจะทรุดโทรมลงไปมากแล้ว”
“ตระกูลของจวนอ๋องมู่นั้นมีขนาดใหญ่โต จำเป็นต้องมีทายาทสืบทอด ถ้าข้ามิสามารถมีลูกได้ เมื่อถึงเวลานั้นมันก็จะเป็นโอกาสของอันหลิงเฉ่ว”
อันหลิงเฉ่วคิดแผนการนี่ไว้ดีมาก รอให้อันหลิงเกอแต่งงานเข้าจวนอ๋องมู่ได้สัก 2 ปี แต่กลับมิสามารถให้กำเนิดลูกได้ เมื่อถึงเวลานั้นจวนอ๋องมู่ก็ต้องหย่าขาดจากนาง และแต่งภริยาอีกคนมาใหม่
เมื่อถึงเวลานั้น อันหลิงอีที่เป็นเพียงบุตรีของอนุคนหนึ่ง มิมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะแต่งงานเข้าจวนอ๋องมู่ ในบรรดาลูกสาวที่เกิดจากภริยาเอกที่เหลืออยู่ก็มีเพียงอันหลิงเฉ่วเท่านั้นซึ่งมีอายุเหมาะสมที่สุด
ตราบใดที่เรื่องกลิ่นชะมดยังมิมีใครค้นพบ อันหลิงเฉ่วรออยู่เงียบ ๆ สัก 2 ปีก็สามารถแต่งงานเข้าจวนอ๋องมู่ได้อย่างง่ายดาย
แต่น่าเสียดายที่อันหลิงเฉ่วมิมีวันรู้ว่าตัวยาที่ตัวเองคิดว่าเชี่ยวชาญนั้นกลับถูกอันหลิงเกอรับรู้ถึงกลิ่นชะมดได้ตั้งแต่ตอนที่ถือถุงเงินนั้นแล้ว เช่นนั้นแผนการของนางจึงต้องล้มเหลวมิเป็นท่า
เมื่ออันหลิงเกอได้อธิบายให้กับปี้จูได้ฟัง ปี้จูนางก็ได้เข้าใจและรู้สึกโกรธและแค้นเคืองขึ้นมา
“ข้านึกว่าคุณหนูรองจะเป็นคนดีเสียอีก ที่แท้ก็อยากจะงานแต่งกับท่านมู่ซื่อจื่อแทนคุณหนูพอ ๆ กับคุณหนูสาม”
เมื่อเห็นท่าทีโกรธแค้นของปี้จู อันหลิงเกอก็ได้ครุ่นคิดภายในใจ
หึ ! ในเมื่อพวกนางต้องการที่จะแต่งงานในครั้งนี้แทนนางแล้ว เหตุใดต้องให้พวกนางสมหวังด้วยเล่า
“ต่อให้อันหลิงอีหรืออันหลิงเฉ่ว อยากจะได้มู่ซื่อจื่อมาเป็นของตัวเองสักเท่าไรมันก็ไร้ประโยชน์ ” อันหลิงเกอปลอบโยนปี้จูที่โมโหเดือดดาลอยู่
“เจ้าอย่ามัวคิดมากในเรื่องนี้เลย รีบไปจัดการถุงเงินใบนั่นก่อน ถ้าอันหลิงเฉ่วรู้ว่าข้าทำถุงเงินหาย มิแน่บางทีนางอาจจะคิดหาวิธีอื่นที่จะมาจัดการกับข้าอีกก็เป็นได้”
“สู้ปล่อยให้อันหลิงเฉ่วคิดว่าแผนการของนางประสบความสำเร็จดีกว่า ข้าจะได้รอดพ้นจากปัญหาเรื่องนี้ไป”
ปี้จูเข้าใจความหมายของอันหลิงเกอต้องการจะสื่อ จากนั้นนางหยิบถุงเงินใบนั้นขึ้นมา แล้วเทขี้ชะมดและสมุนไพรในนั้นออกมา หลังจากนั้นก็ใส่กลิ่นสมุนไพรใหม่แทนที่เข้าไป
แม้จะทำเยี่ยงนี้แล้ว แต่นางก็กลัวว่ากลิ่นของชะมดจะมิจางหายไป ปี้จูจึงตั้งใจตากถุงเงินไว้ในที่อากาศถ่ายเท และตากแห้งไว้ตลอดทั้งคืน ก่อนจะนำถุงเงินไปผูกไว้ตรงเอวของอันหลิงเกอ
เมื่อถึงเวลากินข้าวในเช้าวันรุ่งขึ้น อันหลิงเฉ่วก็ได้พบกับอันหลิงเกอก็ส่งยิ้มอย่างเป็นมิตรให้กับนาง และสายตาก็จับจ้องไปที่ถุงเงินตรงเอวของอันหลิงอย่างมิตั้งใจ เมื่อเห็นถุงเงินที่ตนให้นั้นผูกไว้บริเวณเอวของอันหลิงเกอ พลันริมฝีปากก็แย้มยิ้มกว้างกว่าเดิม