พลิกชะตาชายาสยบแค้น - ตอนที่ 61 แค่ยิ้มโลกก็สดใส
ตอนที่ 61 แค่ยิ้มโลกก็สดใส อันหลิงอียังมิยอมหยุดเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเข้าข้างอันหลิงเฉ่ว ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่าให้พี่หญิงใหญ่กล่าวขอโทษพี่หญิงรองเพียงแค่นี้เรื่องก็จบแล้วเจ้าค่ะ พี่หญิงเป็นคนใจกว้างมีเมตตามาตลอด ท่านคงมิถือสาเรื่องพวกนี้หรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ” อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงอีก็หันไปจ้องมองสายตาที่มุ่งร้ายของอันหลิงอี หากวันนี้นางเอยปากขอโทษอันหลิงเฉ่ว พรุ่งนี้ข่าวลือก็คงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเป็นแน่ “น้องสามกล่าวอันใดออกมาช่างน่าขันเสียจริง” นางกล่าวออกไปพร้อมกับชายตามองดูทางอันหลิงอี ราวกับเป็นพี่สาวใจดีที่สั่งสอนน้องสาวตนเอง “เรื่องนี้ข้ามิได้ทำผิดอันใดแม้แต่นิดเดียว เหตุใดต้องขอโทษน้องรองด้วยเล่า ? ” “ประการแรก ที่ข้ามักจะมองไปทางฝั่งขุนนางผู้ใหญ่ มิใช่ว่าข้ามองคุณชายท่านใด เพียงแต่ข้านั้นจ้องมองดูจุนเกอร์เพียงเท่านั้น ประการที่สองน้องรองบอกว่าข้าใจดีมีเมตตา แค่กล่าวขอโทษมันมิเป็นอันใดหรอก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของข้าและชื่อเสียงของจวนโหว ข้าจะใจกว้างยอมสารภาพผิดนี้และกล่าวขอโทษน้องรองได้เยี่ยงไร ? ” อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่สิ่งที่กล่าวออกมากลับทำให้ใบหน้าของอันหลิงอีถอดสีไปเลยทีเดียว มิว่าอันหลิงอีจะคิดเยี่ยงไรก็คิดมิถึง นางเองนึกว่าจับจุดอ่อนของอันหลิงเกอได้ แต่กลับกลายเป็นว่าทำอันใดมิได้เลย อันหลิงเฉ่วที่ตอนนี้เก็บอาการที่เหมือนจะร้องไห้อยู่นั้น เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นทำทีแปลกใจ “จุนเกอร์ก็คือน้องชายของพี่หญิงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ” เมื่อครั้งตอนที่นางอยู่ที่บ้านเก่าเคยได้ยินพ่อแม่เอ่ยถึงบุตรชายคนโตของผู้สืบทอดจวนโหวถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวังให้ไปทำหน้าที่เป็นสหายเรียนขององค์ชาย ในตอนนั้นท่านพ่อยังหัวเราะเยาะท่านลุงอยู่เลย อยู่ในฐานะโหวแล้วไง แม้แต่บุตรชายที่เกิดจากภริยาเอกก็ยังต้องถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นตัวประกัน มิรู้จะมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้หรือไม่ ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงนั้นเมื่อได้ฟังอันหลิงเกอเอ่ยถึงน้องชายของตนขึ้นมา พลันความทรงจำในอดีตก็ปรากฏขึ้น วันนั้นนางยังจำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อหลายปีก่อนนางย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเก่า แต่ข่าวคราวในเมืองหลวงก็ยังคงถูกส่งกลับไป ครั้งนั้นเมื่อได้ข่าวว่าฮ่องเต้สั่งให้เด็กน้อยอันหลิงจุนเข้าวังในฐานะสหายเรียนขององค์ชายก็เศร้าเสียใจไปอยู่พักใหญ่ มิใช่ว่ารู้สึกสงสารอันหลิงจุน แต่เสียใจเพราะจวนโหวถูกฮ่องเต้หวาดระแวงสงสัย มาวันนี้เมื่ออันหลิงเกอเอ่ยถึงอันหลิงจุนขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านางยังมีหลานชายคนนี้อยู่ นางจึงรู้สึกเศร้าใจอย่างมิรู้ว่าจะเอ่ยอันใดออกมาดี อันหลิงเกอพยักหน้าตอบอันหลิงเฉ่ว ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองแล้วเอ่ยบอกออกไปว่า “จุนเกอร์เข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบเพื่อเป็นพระสหายเรียนขององค์ชายเก้า ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 4 ปีแล้ว ข้าได้เห็นเขาเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น” อันหลิงเกอรู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่น้องชายได้รับในวัง หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง “ท่านย่ามิรู้ว่าจุนเกอร์อยู่ในวังลำบากเพียงใด” นางหันไปมองหน้าหลี่ซื่อ แววตานั้นทำให้หลี่ซื่อใจสั่นรู้สึกว่าคำกล่าวของอันหลิงเกอต้องมิส่งผลดีสำหรับนางเป็นแน่ เป็นอย่างที่คาดการไว้จริง ๆ น้ำเสียงของอันหลิงเกอทุ่มต่ำ เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเล่าออกมาว่า “เมื่อตอนที่จุนเกอร์ถูกส่งตัวเข้าวัง อี๋เหนียงยังปลอบโยนข้าว่ามีหลี่กุ้ยเฟยอยู่ในวังคอยดูแลอยู่ จุนเกอร์ต้องมีชีวิตอยู่อย่างดีแน่นอน” “แต่ท่านย่าทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่าครั้งก่อนตอนที่หลี่กุ้ยเฟยเรียกตัวข้าเข้าวัง ข้าบังเอิญเจอจุนเกอร์ เขาถูกคนรังแก คิดมิถึงว่าองค์ชายเก้าจะเรียกจุนเกอร์ว่าเป็นทาสผู้ต่ำต้อย ! ทายาทจวนโหวผู้สง่าผ่าเผยกลับถูกองค์ชายเก้าเหยียดหยามเยี่ยงนี้ ข้านึกภาพมิออกเลยเจ้าค่ะว่าจุนเกอร์ถูกทำร้ายในวังมากแค่ไหน” น้ำเสียงที่กล่าวของอันหลิงเกอสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อมิให้ใครเห็นความเศร้าในดวงตาของนาง ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเคร่งขรึมขึ้นในทันที นางก็คิดมิถึงเช่นกันว่า ทายาทจวนโหวจะถูกผู้อื่นรังแกจนได้รับความอับอายขายหน้าในวังหลวงเยี่ยงนี้ ! ยังมีหลี่ซื่อที่สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะให้หลี่กุ้ยเฟยดูแลจุนเกอร์อย่างดี แต่สุดท้ายจุนเกอร์กลับถูกดูหมิ่นอย่างมิมีใครแยแส ถ้าหลี่กุ้ยเฟยมีใจที่จะช่วย ด้วยสถานะของนางในวังหลัง คงมิทำให้จุนเกอร์ลำบากขนาดนี้ ! หลี่ซื่อมิเคารพฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนางมิว่า ยังมิมีความเมตตาต่อบุตรชายภริยาเอกอีก ! คิดมิถึงว่าผู้หญิงเยี่ยงนี้จะมาดูแลรับผิดชอบหลังบ้านของจวนโหวทุกอย่าง มันช่างเลอะเทอะสิ้นดี ! ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองหลี่ซื่อด้วยแววตาที่เย็นชา กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจะเลือกบุตรีของภริยาเอกตระกูลไหนมาแต่งงานกับอันอินเฉิงให้อยู่ในฐานะภริยาเอกดี จะได้สยบความเย่อหยิ่งของหลี่ซื่อไปเสีย และให้นางรู้ว่าจวนโหวยังมิให้สิทธิอนุผู้ใดมาชี้ไม้ชี้มือสั่งทำโน้นนี้ได้ หลี่ซื่อรู้สึกเพียงว่าอันหลิงเกอนั้นเลวร้าย กล่าวเพียงสองสามคำก็จุดประกายไฟทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดชังนางถึงเพียงนี้ นางอ้าปาก รีบกล่าวปกป้องตัวเองอย่างเร็ว “มิใช่ว่าน้องสาวจะมิเต็มใจช่วย แต่นาง…เป็นเพียงคนต่ำต้อย คำพูดย่อมมิมีน้ำหนัก สุดท้ายจึงมิกล้าเข้าไปแทรกแซงมากไป” คนต่ำต้อยคำพูดย่อมมิมีน้ำหนัก มิกล้าเข้าไปแทรกแซงเยี่ยงนั้นรึ ? เมื่อสักครู่ทุกคนต่างก็เห็นหลี่กุ้ยเฟยวางสถานะตนเองอยู่เหนือฮองเฮาเสียด้วยซ้ำ อาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีให้ ท้าทายอำนาจฮองเฮาอย่างโจ่งแจ้ง คนเยี่ยงนี้รึถือว่าเป็นคนต่ำต้อย คำกล่าวมิมีน้ำหนัก ? ฮูหยินผู้เฒ่ามิพูดอันใด แต่เหลือบตาที่แหลมคมดั่งมีดกวาดมองหลี่ซื่อ ทำเอาหลี่ซื่อนั้นหายใจติดขัด ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากตำหนินาง นางก็ยังพอจะกล่าวแก้ต่างให้ตัวเองได้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้กล่าวอันใด นั่นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดนาง ซึ่งราวกับกำลังการประณามนางให้ตาย หลี่ซื่อกำลังรู้สึกหดหู่ใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิสนใจความรู้สึกของนาง แต่กลับหันไปจับมือของอันหลิงเกอแทนแล้วกล่าวออกมาว่า “จุนเกอร์อยู่ที่ไหน ชี้ให้ย่าดูเขาหน่อยสิ” แม้ว่าจะมิเคยเห็นหลานชายคนนี้มาก่อน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังห่วงใยเขา ทายาทเพียงผู้เดียวของจวนโหว ถ้าถูกผู้อื่นดูถูกกลั่นแกล้งต่อไป มันก็เปรียบเสมือนกับการตบหน้าจวนโหว เช่นนี้จะให้ฮูหยินผู้เฒ่าทนอยู่ได้เยี่ยงไรกัน ? อันหลิงเกอจะเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า นางชี้ไปทางทิศทางหนึ่ง “คนที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินยาวตรงนั้นก็คือจุนเกอร์เจ้าค่ะ” สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ามองตามมือของอันหลิงเกอ และเห็นเพียงเด็กหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นกำลังมองมาทางนี้พอดี จุนเกอร์ของนาง ! น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่าไหลรินออกมาทันที ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมากกับอันอินเฉิงเมื่อยามเด็ก ทำให้นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที จุนเกอร์ของนางถูกส่งตัวเข้าวังตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ยังต้องมาทนทุกข์อีก ฮ่องเต้ต้องการให้ทายาทจวนโหวเข้าวังเพื่อไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์ชาย อันที่จริงคือให้ไปเป็นตัวประกันก็เท่านั้น เพราะเยี่ยงไรเสียจวนโหวก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์เสมอมา มิได้มีความคิดที่มิสมควรกระทำ ตราบใดที่อันหลิงจุนยังอยู่ในวังอย่างสงบสุข ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยอมรับการเตรียมป้องกันที่เกิดจากความหวาดระแวงที่ฮ่องเต้มีเช่นนี้ได้ แต่ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นรูปร่างหน้าตาของอันหลิงจุนที่เป็นเช่นนี้ ช่างผอมบางกว่าเพื่อนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันยิ่งแสดงให้เห็นว่ามีชีวิตความเป็นอยู่มิดีเลย จะให้ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงนั่งนิ่งอยู่ได้เยี่ยงไรกัน อันหลิงเกอรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้หญิงชรา “ท่านย่า จุนเกอร์ยิ้มให้ท่าน ท่านจะร้องไห้มิได้นะเจ้าคะ” ฮูหยินผู้เฒ่ารีบซับน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองเป็นอย่างที่คาดการไว้ อันหลิงจุนหันมาส่งยิ้มกว้างให้ทางนี้ นางรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเศร้าใจ กำลังครุ่นคิดว่าจะทำเยี่ยงไรให้ฮ่องเต้ปล่อยอันหลิงจุนออกจากวัง อันหลิงเกอก็หันไปส่งยิ้มกลับไปให้อันหลิงจุน ที่มิใช่ยิ้มจาง ๆ แต่เป็นรอยยิ้มสดใสที่เปรียบเหมือนดอกไม้เบ่งบาน งดงามมาก รอยยิ้มนี้ของนางงดงามมาก ทำเอาหลายคนอดมิได้ที่จะจ้องไปที่ใบหน้าของนาง และถึงกับมีบุตรชายของขุนนางมองมายังนางอย่างหลงใหล มู่จวินฮานถึงกับหน้าดำคล่ำเครียด แล้วแสยะยิ้มมาดร้ายขึ้น
ตอนที่ 61 แค่ยิ้มโลกก็สดใส
อันหลิงอียังมิยอมหยุดเมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเข้าข้างอันหลิงเฉ่ว ก็เอ่ยแทรกขึ้นมาว่า “ข้าคิดว่าให้พี่หญิงใหญ่กล่าวขอโทษพี่หญิงรองเพียงแค่นี้เรื่องก็จบแล้วเจ้าค่ะ พี่หญิงเป็นคนใจกว้างมีเมตตามาตลอด ท่านคงมิถือสาเรื่องพวกนี้หรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ”
อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงอีก็หันไปจ้องมองสายตาที่มุ่งร้ายของอันหลิงอี
หากวันนี้นางเอยปากขอโทษอันหลิงเฉ่ว พรุ่งนี้ข่าวลือก็คงแพร่สะพัดไปทั่วเมืองหลวงเป็นแน่
“น้องสามกล่าวอันใดออกมาช่างน่าขันเสียจริง”
นางกล่าวออกไปพร้อมกับชายตามองดูทางอันหลิงอี ราวกับเป็นพี่สาวใจดีที่สั่งสอนน้องสาวตนเอง
“เรื่องนี้ข้ามิได้ทำผิดอันใดแม้แต่นิดเดียว เหตุใดต้องขอโทษน้องรองด้วยเล่า ? ”
“ประการแรก ที่ข้ามักจะมองไปทางฝั่งขุนนางผู้ใหญ่ มิใช่ว่าข้ามองคุณชายท่านใด เพียงแต่ข้านั้นจ้องมองดูจุนเกอร์เพียงเท่านั้น ประการที่สองน้องรองบอกว่าข้าใจดีมีเมตตา แค่กล่าวขอโทษมันมิเป็นอันใดหรอก แต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์ของข้าและชื่อเสียงของจวนโหว ข้าจะใจกว้างยอมสารภาพผิดนี้และกล่าวขอโทษน้องรองได้เยี่ยงไร ? ”
อันหลิงเกอกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น แต่สิ่งที่กล่าวออกมากลับทำให้ใบหน้าของอันหลิงอีถอดสีไปเลยทีเดียว
มิว่าอันหลิงอีจะคิดเยี่ยงไรก็คิดมิถึง นางเองนึกว่าจับจุดอ่อนของอันหลิงเกอได้ แต่กลับกลายเป็นว่าทำอันใดมิได้เลย
อันหลิงเฉ่วที่ตอนนี้เก็บอาการที่เหมือนจะร้องไห้อยู่นั้น เมื่อได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอ ใบหน้าก็พลันเปลี่ยนเป็นทำทีแปลกใจ
“จุนเกอร์ก็คือน้องชายของพี่หญิงใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”
เมื่อครั้งตอนที่นางอยู่ที่บ้านเก่าเคยได้ยินพ่อแม่เอ่ยถึงบุตรชายคนโตของผู้สืบทอดจวนโหวถูกฮ่องเต้เรียกตัวเข้าไปในวังให้ไปทำหน้าที่เป็นสหายเรียนขององค์ชาย ในตอนนั้นท่านพ่อยังหัวเราะเยาะท่านลุงอยู่เลย อยู่ในฐานะโหวแล้วไง แม้แต่บุตรชายที่เกิดจากภริยาเอกก็ยังต้องถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นตัวประกัน มิรู้จะมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ได้หรือไม่
ฮูหยินผู้เฒ่าที่อยู่ตรงนั้นเมื่อได้ฟังอันหลิงเกอเอ่ยถึงน้องชายของตนขึ้นมา พลันความทรงจำในอดีตก็ปรากฏขึ้น วันนั้นนางยังจำเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี เมื่อหลายปีก่อนนางย้ายกลับไปอยู่ที่บ้านเก่า
แต่ข่าวคราวในเมืองหลวงก็ยังคงถูกส่งกลับไป ครั้งนั้นเมื่อได้ข่าวว่าฮ่องเต้สั่งให้เด็กน้อยอันหลิงจุนเข้าวังในฐานะสหายเรียนขององค์ชายก็เศร้าเสียใจไปอยู่พักใหญ่ มิใช่ว่ารู้สึกสงสารอันหลิงจุน แต่เสียใจเพราะจวนโหวถูกฮ่องเต้หวาดระแวงสงสัย
มาวันนี้เมื่ออันหลิงเกอเอ่ยถึงอันหลิงจุนขึ้นมา ฮูหยินผู้เฒ่าเพิ่งนึกขึ้นมาได้ว่านางยังมีหลานชายคนนี้อยู่ นางจึงรู้สึกเศร้าใจอย่างมิรู้ว่าจะเอ่ยอันใดออกมาดี
อันหลิงเกอพยักหน้าตอบอันหลิงเฉ่ว ด้วยใบหน้าที่เศร้าหมองแล้วเอ่ยบอกออกไปว่า “จุนเกอร์เข้าไปอยู่ในวังตั้งแต่อายุได้ 8 ขวบเพื่อเป็นพระสหายเรียนขององค์ชายเก้า ตอนนี้ก็ผ่านมาได้ 4 ปีแล้ว ข้าได้เห็นเขาเพียงแค่ 2 ครั้งเท่านั้น”
อันหลิงเกอรู้สึกเสียใจอย่างมาก เมื่อนึกถึงความอัปยศอดสูที่น้องชายได้รับในวัง หัวใจก็รู้สึกเจ็บปวดราวกับถูกเข็มทิ่มแทง
“ท่านย่ามิรู้ว่าจุนเกอร์อยู่ในวังลำบากเพียงใด”
นางหันไปมองหน้าหลี่ซื่อ แววตานั้นทำให้หลี่ซื่อใจสั่นรู้สึกว่าคำกล่าวของอันหลิงเกอต้องมิส่งผลดีสำหรับนางเป็นแน่
เป็นอย่างที่คาดการไว้จริง ๆ น้ำเสียงของอันหลิงเกอทุ่มต่ำ เต็มไปด้วยความเศร้าโศกเล่าออกมาว่า “เมื่อตอนที่จุนเกอร์ถูกส่งตัวเข้าวัง อี๋เหนียงยังปลอบโยนข้าว่ามีหลี่กุ้ยเฟยอยู่ในวังคอยดูแลอยู่
จุนเกอร์ต้องมีชีวิตอยู่อย่างดีแน่นอน”
“แต่ท่านย่าทราบหรือไม่เจ้าคะ ว่าครั้งก่อนตอนที่หลี่กุ้ยเฟยเรียกตัวข้าเข้าวัง ข้าบังเอิญเจอจุนเกอร์ เขาถูกคนรังแก คิดมิถึงว่าองค์ชายเก้าจะเรียกจุนเกอร์ว่าเป็นทาสผู้ต่ำต้อย ! ทายาทจวนโหวผู้สง่าผ่าเผยกลับถูกองค์ชายเก้าเหยียดหยามเยี่ยงนี้ ข้านึกภาพมิออกเลยเจ้าค่ะว่าจุนเกอร์ถูกทำร้ายในวังมากแค่ไหน”
น้ำเสียงที่กล่าวของอันหลิงเกอสะอึกสะอื้น ดวงตาแดงขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางรีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็วเพื่อมิให้ใครเห็นความเศร้าในดวงตาของนาง
ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าเคร่งขรึมขึ้นในทันที นางก็คิดมิถึงเช่นกันว่า ทายาทจวนโหวจะถูกผู้อื่นรังแกจนได้รับความอับอายขายหน้าในวังหลวงเยี่ยงนี้ !
ยังมีหลี่ซื่อที่สัญญาอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะให้หลี่กุ้ยเฟยดูแลจุนเกอร์อย่างดี แต่สุดท้ายจุนเกอร์กลับถูกดูหมิ่นอย่างมิมีใครแยแส
ถ้าหลี่กุ้ยเฟยมีใจที่จะช่วย ด้วยสถานะของนางในวังหลัง คงมิทำให้จุนเกอร์ลำบากขนาดนี้ !
หลี่ซื่อมิเคารพฮูหยินผู้เฒ่าเยี่ยงนางมิว่า ยังมิมีความเมตตาต่อบุตรชายภริยาเอกอีก !
คิดมิถึงว่าผู้หญิงเยี่ยงนี้จะมาดูแลรับผิดชอบหลังบ้านของจวนโหวทุกอย่าง มันช่างเลอะเทอะสิ้นดี !
ฮูหยินผู้เฒ่าเหลือบมองหลี่ซื่อด้วยแววตาที่เย็นชา กำลังครุ่นคิดอยู่ในใจว่าจะเลือกบุตรีของภริยาเอกตระกูลไหนมาแต่งงานกับอันอินเฉิงให้อยู่ในฐานะภริยาเอกดี จะได้สยบความเย่อหยิ่งของหลี่ซื่อไปเสีย และให้นางรู้ว่าจวนโหวยังมิให้สิทธิอนุผู้ใดมาชี้ไม้ชี้มือสั่งทำโน้นนี้ได้
หลี่ซื่อรู้สึกเพียงว่าอันหลิงเกอนั้นเลวร้าย กล่าวเพียงสองสามคำก็จุดประกายไฟทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเกลียดชังนางถึงเพียงนี้
นางอ้าปาก รีบกล่าวปกป้องตัวเองอย่างเร็ว
“มิใช่ว่าน้องสาวจะมิเต็มใจช่วย แต่นาง…เป็นเพียงคนต่ำต้อย คำพูดย่อมมิมีน้ำหนัก สุดท้ายจึงมิกล้าเข้าไปแทรกแซงมากไป”
คนต่ำต้อยคำพูดย่อมมิมีน้ำหนัก มิกล้าเข้าไปแทรกแซงเยี่ยงนั้นรึ ?
เมื่อสักครู่ทุกคนต่างก็เห็นหลี่กุ้ยเฟยวางสถานะตนเองอยู่เหนือฮองเฮาเสียด้วยซ้ำ อาศัยความโปรดปรานของฮ่องเต้ที่มีให้ ท้าทายอำนาจฮองเฮาอย่างโจ่งแจ้ง คนเยี่ยงนี้รึถือว่าเป็นคนต่ำต้อย คำกล่าวมิมีน้ำหนัก ?
ฮูหยินผู้เฒ่ามิพูดอันใด แต่เหลือบตาที่แหลมคมดั่งมีดกวาดมองหลี่ซื่อ ทำเอาหลี่ซื่อนั้นหายใจติดขัด ถ้าฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากตำหนินาง นางก็ยังพอจะกล่าวแก้ต่างให้ตัวเองได้ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้กล่าวอันใด นั่นก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่าเกลียดนาง ซึ่งราวกับกำลังการประณามนางให้ตาย
หลี่ซื่อกำลังรู้สึกหดหู่ใจ แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิสนใจความรู้สึกของนาง แต่กลับหันไปจับมือของอันหลิงเกอแทนแล้วกล่าวออกมาว่า “จุนเกอร์อยู่ที่ไหน ชี้ให้ย่าดูเขาหน่อยสิ”
แม้ว่าจะมิเคยเห็นหลานชายคนนี้มาก่อน แต่ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยังห่วงใยเขา ทายาทเพียงผู้เดียวของจวนโหว ถ้าถูกผู้อื่นดูถูกกลั่นแกล้งต่อไป มันก็เปรียบเสมือนกับการตบหน้าจวนโหว เช่นนี้จะให้ฮูหยินผู้เฒ่าทนอยู่ได้เยี่ยงไรกัน ?
อันหลิงเกอจะเข้าใจความคิดของฮูหยินผู้เฒ่า นางชี้ไปทางทิศทางหนึ่ง
“คนที่สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินยาวตรงนั้นก็คือจุนเกอร์เจ้าค่ะ”
สายตาของฮูหยินผู้เฒ่ามองตามมือของอันหลิงเกอ และเห็นเพียงเด็กหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่ง ใบหน้าเด็กหนุ่มที่ดื้อรั้นกำลังมองมาทางนี้พอดี
จุนเกอร์ของนาง !
น้ำตาของฮูหยินผู้เฒ่าไหลรินออกมาทันที ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมากกับอันอินเฉิงเมื่อยามเด็ก ทำให้นางรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที
จุนเกอร์ของนางถูกส่งตัวเข้าวังตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ยังต้องมาทนทุกข์อีก ฮ่องเต้ต้องการให้ทายาทจวนโหวเข้าวังเพื่อไปเป็นพระสหายร่วมเรียนขององค์ชาย อันที่จริงคือให้ไปเป็นตัวประกันก็เท่านั้น เพราะเยี่ยงไรเสียจวนโหวก็ปฏิบัติหน้าที่อย่างซื่อสัตย์เสมอมา มิได้มีความคิดที่มิสมควรกระทำ
ตราบใดที่อันหลิงจุนยังอยู่ในวังอย่างสงบสุข ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยอมรับการเตรียมป้องกันที่เกิดจากความหวาดระแวงที่ฮ่องเต้มีเช่นนี้ได้
แต่ตอนนี้เมื่อได้มาเห็นรูปร่างหน้าตาของอันหลิงจุนที่เป็นเช่นนี้ ช่างผอมบางกว่าเพื่อนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน มันยิ่งแสดงให้เห็นว่ามีชีวิตความเป็นอยู่มิดีเลย จะให้ฮูหยินผู้เฒ่ายังคงนั่งนิ่งอยู่ได้เยี่ยงไรกัน
อันหลิงเกอรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมายื่นให้หญิงชรา
“ท่านย่า จุนเกอร์ยิ้มให้ท่าน ท่านจะร้องไห้มิได้นะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบซับน้ำตา เงยหน้าขึ้นมองเป็นอย่างที่คาดการไว้ อันหลิงจุนหันมาส่งยิ้มกว้างให้ทางนี้
นางรู้สึกทั้งภาคภูมิใจและเศร้าใจ กำลังครุ่นคิดว่าจะทำเยี่ยงไรให้ฮ่องเต้ปล่อยอันหลิงจุนออกจากวัง
อันหลิงเกอก็หันไปส่งยิ้มกลับไปให้อันหลิงจุน ที่มิใช่ยิ้มจาง ๆ แต่เป็นรอยยิ้มสดใสที่เปรียบเหมือนดอกไม้เบ่งบาน งดงามมาก รอยยิ้มนี้ของนางงดงามมาก ทำเอาหลายคนอดมิได้ที่จะจ้องไปที่ใบหน้าของนาง และถึงกับมีบุตรชายของขุนนางมองมายังนางอย่างหลงใหล
มู่จวินฮานถึงกับหน้าดำคล่ำเครียด แล้วแสยะยิ้มมาดร้ายขึ้น